บทที่ 104 บรรพบุรุษของคุณก็คือบรรพบุรุษของคุณ
“น่ารำคาญจริง ๆ คุณซากาตะชอบแกล้งฉัน” หญิงสาวแสร้งเอียงอาย แต่กลับขยับตัวเข้าหา ปลดซิปกางเกงของเขาพร้อมกับส่งยิ้มหวาน “จะรอถึงวันอื่นทำไม ลองวันนี้เลยสิคะ”
ซากาตะ ทาคาโยชิหัวเราะอย่างชอบใจ “ยัยตัวแสบ หลอกคนอื่นว่าเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ได้เนียนเชียวนะ ไหน ๆ เธอก็อยากเป็นพิธีกรรายการวาไรตี้ใหม่เดือนหน้า ฉันตกลงก็ได้”
หญิงสาวดีใจจนเนื้อเต้น รีบเร่งปรนนิบัติเขาอย่างเอาใจใส่ ท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่อง กลางห้องทำงาน…
“ที่นี่คือโรงพยาบาลไซเคียวเหรอ” เหอเจ๋อเงยหน้ามองอาคารสูงใหญ่ที่ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ สอบถามด้วยความสงสัย
“ใช่แล้ว” จางเสี่ยวเถาก้มมองที่อยู่ในมือ ยืนยันอย่างมั่นใจ
ที่อยู่นี้ เหอหย่งฝูเป็นคนให้คนมาส่งให้ ก่อนที่เหอเจ๋อจะขึ้นเครื่อง
ถึงแม้ว่าจะติดต่อจางเหวินฉีไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถใช้ฟังก์ชันระบุตำแหน่งได้ ผ่านการระบุตำแหน่งทั่วโลก ทำให้รู้ว่าโทรศัพท์อยู่ที่นี่
“งั้นเราเข้าไปดูกันเถอะ”
มีจางเสี่ยวเถาเป็นล่าม ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก พวกเขาถามพยาบาลแถวนั้น และทราบที่อยู่ของคนไข้ที่ชื่อจางเหวินฉีในเวลาไม่นาน
“ห้องผู้ป่วยพิเศษราคาแพง ห้องฉุกเฉิน” จางเสี่ยวเถาพูดอย่างประหลาดใจ “ดูเหมือนว่าพี่สาวของคุณจะรวยมาก”
“หมายความว่าไง” เหอเจ๋อถามอย่างไม่เข้าใจ
“ห้องผู้ป่วยพิเศษราคาแพง ห้องฉุกเฉินที่ญี่ปุ่น ราคาแพงมากนะ คนทั่วไปอยู่ไม่ได้หรอก”
เหอเจ๋อไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะจางเหวินฉีเป็นผู้บริหารของบริษัทภาพยนตร์เหอ แล้วยังเป็นลูกสาวบุญธรรมของเหอหย่งฝู จึงไม่แปลกที่จะมีเงิน
หลังจากถามที่อยู่จากพนักงานต้อนรับแล้ว ทั้งสองคนก็เดินตามป้ายบอกทางไปยังบ้านพักหลังเล็กที่ดูแปลกตา
“โอ้ มีบอดี้การ์ดด้วยเหรอเนี่ย” จางเสี่ยวเถาอุทานอย่างสงสัยเมื่อเห็นชายร่างยักษ์ในชุดดำยืนอยู่หน้าประตู
เหอเจ๋อขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้ามีบอดี้การ์ดปกป้อง ทำไมจางเหวินฉีถึงไม่โทรมาบอกให้สบายใจ
ในเมื่อมาถึงแล้ว คิดไปก็เท่านั้น เขาจึงเดินตรงไป
บอดี้การ์ดชุดดำสองคนขวางเขาไว้ตามคาด สีหน้าเคร่งขรึม พูดจ้อกแจ้กจอแจอะไรสักอย่าง
เหอเจ๋อฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว จึงได้แต่หันไปขอความช่วยเหลือจากจางเสี่ยวเถา
จางเสี่ยวเถากล่าวเสียงเบา “พวกเขาบอกว่าไม่ให้คุณเข้าไป”
“ทำไมถึงไม่ให้เข้า บอกเขาไปสิว่าฉันต้องการพบจางเหวินฉี”
จางเสี่ยวเถาแปลคำพูดของเขาไป บอดี้การ์ดชุดดำมีสีหน้าเยาะหยัน
แม้เหอเจ๋อจะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่เขาก็ดูออกจากสีหน้า จึงถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกนี้พูดอะไร”
สีหน้าของจางเสี่ยวเถาก็ไม่ค่อยดีนัก เธอพูดว่า “เขาบอกว่าคนจีนอย่างพวกเราไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งเขา”
เหอเจ๋อโมโหขึ้นมาทันที แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประสบกับประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นด้วยตัวเอง แต่เขาก็พอจะสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายจากเรื่องราวที่เล่าขานกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ดังนั้น การดูถูกเหยียดหยามของบอดี้การ์ดจึงเหมือนกับการตอกย้ำบาดแผลในใจเขา การไม่ได้เกิดในยุคนั้นเป็นหนึ่งในความเสียใจที่สุดในชีวิตเขา
“ไอ้ลูกหลานก็กล้ามาอวดเก่ง คงต้องสั่งสอนให้รู้จักสำนึกบ้างแล้วว่าใครเป็นบรรพบุรุษตัวจริง”
จางเสี่ยวเถาเห็นท่าทางที่เขาอยากจะใช้กำลัง จึงรีบเข้าไปห้าม “ใจเย็น ๆ นะ คุณดูสัญลักษณ์บนหน้าอกพวกเขานั่นสิ พวกเขาเป็นบริษัท รปภ. ชื่อดังของญี่ปุ่น ทุกคนผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี เชี่ยวชาญการต่อสู้ทั้งนั้น”
ตอนนี้บอดี้การ์ดก็สังเกตเห็นท่าทางของเขา พวกเขาจึงชี้หน้าเขา แล้วยั่วโมโห
เหอเจ๋อยักไหล่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาท้าทายขนาดนี้ ผมจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้เห็นก็กระไรอยู่”
จางเสี่ยวเถากัดริมฝีปากแน่น แม้แต่หุ่นดินเหนียวยังมีสามส่วนของความเป็นมนุษย์ เธอตบไหล่ของเหอเจ๋อ แล้วพูดว่า “จัดการมันเลย”
เหอเจ๋อไม่คิดเลยว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้จะมีด้านที่ดุดันเช่นนี้ เขาหัวเราะออกมาทันที “จัดไปสิ!”
สิ้นเสียง เขาก็ปล่อยหมัดเข้าใส่ใบหน้าของบอดี้การ์ดคนหนึ่งทันที
บอดี้การ์ดไม่ทันระวังตัว แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก พวกเขาจึงตอบโต้กลับอย่างไม่ลังเล เห็นว่าหลบไม่พ้นก็สู้กันไปเลย
ต้องยอมรับว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมาก เหอเจ๋อไม่อยากให้ตัวเองต้องใบหน้าฟกช้ำ จึงตัดสินใจล้มเลิกความคิดที่จะแลกหมัดกัน แล้วถอยกลับไป
แต่บอดี้การ์ดทั้งสองกลับคิดว่าเขากลัว จึงรุกไล่ตามเข้ามา หมัดทั้งสี่ข้างพุ่งตรงไปที่หน้าอกของเขา
เมื่อเหอเจ๋อเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมา ไม่คิดว่าเจ้าสองคนนี้จะอึดขนาดนี้ แถมยังรู้จักรุกอีกด้วย
เขาทรุดตัวลงต่ำอย่างรวดเร็ว หลบหมัดของคนทั้งสองได้ในเสี้ยววินาที จากนั้นขาขวาของเขาก็ฟาดออกไปเหมือนแส้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วราวกับสายฟ้าแลบ พวกบอดี้การ์ดชุดดำทั้งสองรู้สึกเพียงว่าข้อเท้าของพวกเขาเหมือนโดนรถเหยียบ ทรมานจนร่างกายรับน้ำหนักไม่ไหว ล้มลงกับพื้นทันที
คนที่รู้เรื่องการต่อสู้ต่างรู้ดีว่าการล้มลงนั้นเป็นข้อห้าม
เหอเจ๋อไม่พลาดโอกาสนี้ เขารัวหมัดลงมาจากด้านบนราวกับสายฝน ทุบตีพวกบอดี้การ์ดจนหน้าตาปูดบวม ทั้งสองกุมหัวหลบหนี วิงวอนขอความเมตตา
“ซัดมันให้เข็ด!”
จางเสี่ยวเถาที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ รู้สึกสะใจมาก ยกกำปั้นตัวน้อย ๆ ขึ้นเชียร์เขาไม่หยุด!
“ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าใครคือปู่ของพวกแก”
เหอเจ๋อมองไปที่บอดี้การ์ดชุดดำสองคนที่เมื่อครู่นี้ยังอวดดี แต่ตอนนี้นั่งตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง พูดด้วยรอยยิ้ม
จางเสี่ยวเถาแปลคำพูดของเขาแบบคำต่อคำ พวกบอดี้การ์ดทั้งสองหวาดกลัวจนก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร
“พวกขี้ขลาดตาขาว ไม่สั่งสอนด้วยกำปั้นก็ไม่รู้จักว่าใครคือปู่”
เหอเจ๋อส่ายหัวอย่างดูถูกผลักประตูห้องฉุกเฉินเข้าไป
เพื่อให้คนไข้ได้พักผ่อนอย่างสบายใจ ห้องฉุกเฉินระดับไฮเอนด์จึงมีฉนวนกันเสียงอย่างดี แม้ว่าข้างนอกจะเสียงดังแค่ไหน คนในห้องก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
ดังนั้นเมื่อเหอเจ๋อผลักประตูเข้ามา ซากาตะกับจางเหวินฉีที่กำลังคุยกันอยู่บนโซฟาก็ตกตะลึง
ซากาตะตบโต๊ะอย่างแรง ตะโกนอย่างอวดดีว่า “ใครอนุญาตให้แกเข้ามา ไสหัวไปซะ!”
จางเสี่ยวเถาทำหน้าที่ล่ามได้ดีมาก รีบกระซิบคำพูดของอีกฝ่ายให้เหอเจ๋อฟัง
พฤติกรรมของบอดี้การ์ดสองคนหน้าประตูสร้างความประทับใจที่แย่มากให้กับเหอเจ๋อ เขาขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ฉันจะไปไหนก็เรื่องของฉัน แกเสือกอะไรด้วย”
ซากาตะถึงกับอึ้ง เขาเคยชินกับการใช้อำนาจของครอบครัวมาโดยตลอด ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน จึงโกรธจัด ตะโกนว่า “ยามาโมโตะ มัตสึชิมะ! พวกแกสองคนยืนเซ่ออะไรอยู่ รีบโยนมันออกไป!”
MANGA DISCUSSION