บทที่ 103 บังเอิญพบคนรู้จัก
เขาจ้องมองท่าทางไม่วางใจ บ่นเป็นห่วงเป็นใยเหอหย่งฝูอยู่แบบนั้น ความรู้สึกอบอุ่นใจแล่นผ่านเข้ามาโดยไร้สาเหตุ รู้สึกได้ว่าตอนนี้เองที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองแก่แล้วจริง ๆ
เป็นเรื่องที่ไม่ควรชักช้า เหอเจ๋อจึงเก็บข้าวของอย่างง่าย ๆ แล้วตรงไปที่สนามบินทันที
ด้วยประสบการณ์การขึ้นเครื่องบินครั้งก่อน เหอเจ๋อถือว่าชำนาญแล้ว เพราะเวลากระชั้นชิด เขาจึงซื้อตั๋วเที่ยวบินที่เร็วที่สุด
เมื่อเขามาถึงสนามบิน ก็มีคนรออยู่แล้ว หลังจากได้บอร์ดดิ้งพาสมา เขาก็ตรงไปที่ห้องโดยสารโดยไม่หยุดพัก
ตั๋วชั้นประหยัดถูกจองเต็มหมดแล้ว เขาจึงนั่งชั้นธุรกิจ พอเขานั่งลง เสียงประหลาดใจก็ดังขึ้นข้าง ๆ หู
“เหอเจ๋อ?”
เหอเจ๋อหันไปมอง แล้วก็ตกตะลึงเช่นกัน ครู่หนึ่งจึงรู้สึกตัว ดีใจอย่างมาก “จางเสี่ยวเถา นี่เธอเหรอ? เธอไม่ได้เป็นแอร์โฮสเตสอยู่บนเครื่องบินอีกลำเหรอ?”
ไม่ได้เจอกันนาน จางเสี่ยวเถาดูผอมลง แต่กลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ชุดแอร์โฮสเตสที่เธอสวมใส่ก็ดูดีไม่น้อย
ได้พบเพื่อนเก่า เธอก็ดีใจมาก พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ฮ่าฮ่า ขอบคุณนายมาก ตอนนี้ฉันได้บินเที่ยวบินระหว่างประเทศแล้ว เงินเดือนสูงกว่าเดิมเยอะเลยละ”
โดยปกติแล้ว เที่ยวบินระหว่างประเทศจะได้รับค่าตอบแทนที่ดีกว่าเที่ยวบินในประเทศ มักจะต้องเป็นแอร์โฮสเตสที่มีประสบการณ์ หรือไม่ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อเส้นสาย
แต่เพราะจางเสี่ยวเถาได้รับจดหมายขอบคุณในวันแรกที่ทำงาน ทำให้เธอได้รับความสนใจจากหัวหน้าลูกเรือ เธอจึงมีโอกาสได้ย้ายมา
เหอเจ๋อก็รู้สึกดีใจกับเธอเช่นกัน จึงพูดคุยทักทายกัน
แตกต่างจากชั้นประหยัดที่ราคาเป็นมิตร ชั้นธุรกิจมีราคาแพงกว่า ดังนั้นจึงมีคนไม่กี่คน หลังจากจางเสี่ยวเถาเสิร์ฟอาหารเสร็จ เธอจึงพูดคุยกับเหอเจ๋ออย่างแผ่วเบา
“คราวนี้มาทำอะไรที่ญี่ปุ่น ทำธุรกิจเหรอ?”
เหอเจ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอ้างว่าญาติของเขาหายตัวไปในญี่ปุ่น เขาจึงมาตามหาเป็นพิเศษ
จางเสี่ยวเถาฟังจบก็ถามอย่างลังเล “นายพูดภาษาญี่ปุ่นได้เหรอ?”
เหอเจ๋อส่ายหัว นอกจากคำว่า “ยามาเตะ” ที่เขาเรียนมาจากภาพยนตร์แล้ว เขาก็ไม่รู้เรื่องภาษาเขียนของญี่ปุ่นเลย
จางเสี่ยวเถาเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “ถ้างั้นนายจะไปตามหาคนยังไง?”
“ก็เดินไปคุยไป คนเป็น ๆ จะโดนฉี่ตัวเองตายรึไง?”
“ใจกว้างดีนี่ งั้นตกลงแบบนี้แล้วกัน พอลงจากเครื่องบินแล้ว ฉันมีวันหยุดสามวันพอดี จะช่วยแปลให้นายเอง”
เหอเจ๋อกล่าวด้วยความดีใจอย่างมาก “ดีเลย งั้นต้องรบกวนเธอแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถ้าไม่ได้นายช่วยไว้ งานของฉันคงปลิวไปนานแล้ว” จางเสี่ยวเถาโบกมือปฏิเสธอย่างไม่ถือสา
หลังจากเครื่องบินลงจอด เหอเจ๋อยืนรออยู่ที่หน้าประตูทางออกของสนามบินครู่หนึ่ง จางเสี่ยวเถาในชุดลำลองสะพายเป้สะพายหลังก็วิ่งเข้ามาหา
เมื่อถอดเครื่องแบบสีดำที่ดูเป็นผู้ใหญ่ออกแล้ว เหอเจ๋อก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าจางเสี่ยวเถาดูเหมือนเด็กมัธยมปลาย เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เธออายุเท่าไรกันแน่”
เห็นได้ชัดว่าจางเสี่ยวเถาไม่ใช่เพิ่งเคยได้ยินคำถามทำนองนี้เป็นครั้งแรก เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วตอบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจนัก “ยี่สิบสี่ มองไม่ออกรึไง”
“ยี่สิบสี่เนี่ยนะ เธออย่ามาล้อเล่นเลย ฉันไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”
ใต้สายตาจับจ้องของเหอเจ๋อ จางเสี่ยวเถาจึงกลอกตาไปมา แล้วพูดด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “ลองทายดูสิ ฉันอายุเท่าไร”
“ไม่ต้องทายหรอก ยื่นมือเธอมาสิ ฉันจะรู้เองว่าเธออายุเท่าไร”
“เชอะ โม้จริง ถ้าทายผิดล่ะ”
“ทายผิดเหรอ งั้นเอาแบบนี้ดีกว่า พอดีเราต้องหาอะไรมาปกปิดตัวตนอยู่แล้ว ถ้าฉันทายผิด ฉันจะยอมเป็นน้องชายเธอ แต่ถ้าทายถูก เธอต้องยอมเป็นน้องสาวฉัน”
จางเสี่ยวเถาทำท่ามั่นใจ ตลอดหลายปีมานี้ นอกจากพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอแล้ว ก็ไม่เคยมีใครมองอายุเธอออกเลย เธอยื่นแขนขาวเนียนออกมา
เหอเจ๋อยื่นสองนิ้วมาแตะที่แขนเธอ ครู่ต่อมา คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“ฮ่า ๆ ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นคิดแล้ว ฉันรู้ว่านายทายไม่ออกหรอก ยอมแพ้ซะ” จางเสี่ยวเถาทำท่าทางผู้ชนะพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
เหอเจ๋อกลอกตาไปมา แล้วเคาะศีรษะเธอเบา ๆ พลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เด็กน้อยอายุสิบเจ็ด ขนยังไม่ทันขึ้นเต็มดี กล้าออกมาเพ่นพ่านข้างนอก”
จางเสี่ยวเถาเบิกตากว้าง เธอจ้องมองเหอเจ๋อด้วยความไม่อยากเชื่อ พร้อมกับพูดด้วยความตกใจอย่างสุดขีด “นะ… นายรู้ได้ยังไง”
“ฉันเป็นหมอ สามารถสัมผัสอายุจากกระดูกของเธอได้ แม้ว่าเธอจะตัวสูง แต่กระดูกของเธอยังพัฒนาไม่เต็มที่”
จางเสี่ยวเถาลูบจมูกตัวเองเบา ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ “ไม่คิดเลยว่าจะถูกจับได้ แต่นายต้องช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับนะ บัตรประชาชนของฉันระบุอายุไว้ยี่สิบสาม ถ้าบริษัทรู้ว่าฉันยังไม่บรรลุนิติภาวะ ฉันโดนไล่ออกแน่”
เหอเจ๋อคงไม่เปิดเผยความลับของเธอแน่นอน แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือ เด็กสาววัยนี้ควรจะตั้งใจเรียนอยู่ในโรงเรียน เสพสุขกับความอบอุ่นในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ใช่เหรอ ทำไมเธอถึงออกมาผจญภัยในสังคมแบบนี้แล้ว
เมื่อสังเกตเห็นสายตาแปลก ๆ ของเขา จางเสี่ยวเถาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “มีเหตุผลมากมายหลายอย่าง เอาไว้โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟังแล้วกัน”
ประเทศนี้เป็นประเทศที่ประกอบขึ้นจากเกาะหลาย ๆ เกาะ พื้นที่บนบกมีไม่มาก แต่กลับมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่าร้อยล้านคน
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่นี่แทบจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพียงแต่ว่าครั้งนี้ระดับความรุนแรงค่อนข้างสูง โรงพยาบาลเล็ก ๆ แห่งนั้นจึงเต็มไปด้วยผู้คน
ภายในห้องฉุกเฉินสุดหรูหราของโรงพยาบาลใหญ่ในเมืองหลวง จางเหวินฉี ใบหน้าสวยคมปรากฏแววเย็นชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ฉันแค่แขนถลอก ไม่ได้เป็นอะไรมาก ทำไมถึงไม่ให้ฉันออกไปจากที่นี่”
คุณหมอที่สวมเสื้อกาวน์รู้ดีว่าคนที่พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ล้วนไม่ใช่บุคคลธรรมดา จึงไม่กล้าละเลย แสดงท่าทีนอบน้อมพร้อมกล่าวว่า “คุณผู้หญิงครับ…”
“คุณผู้หญิง เป็นคำด่าในประเทศจีนนะ”
“คุณผู้หญิงครับ คุณซากาตะสั่งไว้ว่า กลัวว่าคุณจะมีอาการบาดเจ็บภายใน จึงต้องให้รอดูอาการอีกสักระยะครับ”
“มีอะไรให้รอดูอีกล่ะ” จางเหวินฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “และพวกคุณปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์ฉัน หมายความว่ายังไง”
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ทำเอาเธอแทบเป็นบ้า ส่งข้อความออกไปไม่ได้ งานการทุกอย่างไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
คุณหมอตอบด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “นี่เป็นกฎของโรงพยาบาลครับ เพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นสัญญาณรบกวนผู้ป่วย จึงปิดกั้นสัญญาณทั้งหมดครับ”
จางเหวินฉีโมโหจนแทบจะทนไม่ไหว ถ้าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลที่ใหญ่และได้มาตรฐานที่สุดในประเทศนี้ละก็ เธอแจ้งตำรวจไปนานแล้ว
“ถ้างั้นคุณก็ไปบอกคุณซากาตะสิ บอกให้เขามาพบฉัน ฉันจะถามให้รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ณ อาคารสำนักงานของบริษัทภาพยนตร์แห่งหนึ่งในเมืองหลวง ชายร่างผอมที่มีโหนกแก้มสูงวางโทรศัพท์ลง มือขย้ำหน้าอกใหญ่ของหญิงสาวที่แต่งหน้าจัดเต็มนั่งอยู่บนตักอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะใจว่า “ยัยเด็กนั่นทนไม่ไหวแล้ว สงสัยอยากเจอฉันเต็มแก่แล้วสิ”
แววตาของหญิงสาวฉายแววริษยาออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยชมด้วยท่าทีประจบประแจงว่า “เธอโชคดีที่คุณซากาตะมองเห็นคุณค่าในตัวเธอ”
ซากาตะบีบแก้มเธอพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ช่วงนี้ปากหวานขึ้นเยอะนะ ไว้คราวหน้ามาให้ฉันลองหน่อยสิว่าลีลาก็เด็ดขึ้นด้วยรึเปล่า”
MANGA DISCUSSION