บทที่ 6 – พบกับผู้กล้าที่แท้จริง
แน่นอนว่าที่ฉันเล่าไปไม่ใช่ทั้งหมดของความวุ่นวายที่ฉันเจอมาตลอดปีกว่า ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่ชวนปวดหัวเหลือหลาย
และเช่นเดียวกันตอนนี้.. หนึ่งขวบจะสองขวบของฉันควรจะเป็นวัยหัดเดินหัดพูด แต่ไอ้ตัวฉันก็ดันทำได้ทั้งสองอย่างตั้งแต่เกิด
ตอนนี้จึงอยู่ในสภาวะนั่งกินนอนกิน.. ตั้งแต่มาเกิดใหม่ในโลกนี้ฉันก็ได้รู้อะไรหลายๆ อย่างมากขึ้นเกี่ยวกับโลกนี้
ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ทุกๆ 100 ปี.. และตัวแทนแห่งเผ่ามนุษย์อย่างผู้กล้า ถ้าเป็นปีศาจก็จอมมาร
ในโลกนี้ผู้กล้าสามารถสร้างได้ เกิดจากการฝึกฝนมากจนทะลุขีดจำกัดเผ่าพันธุ์จนกลายเป็นตัวแทนเผ่า
ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถเป็นผู้กล้าได้หรอก เพราะคนที่จะเป็นผู้กล้านั้นต้องมีเมล็ดแห่งเผ่าพันธุ์ ซึ่งเกิดจากทั้งพรสวรรค์หรือพรแสวง
หรือแม้แต่กินผลไม้แห่งเผ่าตามตำนานก็ว่าไป ในทุกๆ 100 ปีจะบ่มผู้กล้าได้อย่างมากสุดและรุ่งเรืองสุดคือประมาณ 50 คน
แต่หลังๆ มาผู้กล้ามีไม่ถึง 20 คนด้วยซ้ำ แถมยังอ่อนแอลงกว่าแต่ก่อนเยอะมาก แน่นอนจากคำพูดของโอเรียทำให้ฉันรู้ว่าเผ่าอื่นก็อยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน
ก็คือยุคนี้เป็นช่วงยุคถดถอยนั่นแหละนะ แน่นอนว่าฉันก็ถูกตรวจสอบแล้วว่ามีเมล็ดของตัวแทนแห่งเผ่าไหม คำตอบก็ไม่ต้องสืบ
ไม่มี.. ก็ฉันไม่ใช่ทั้งมนุษย์หรือปีศาจนี่หว่า.. ในโลกนี้เผ่าพันธุ์มีหลากหลายแยกย่อยออกไปมากมาย.. มนุษย์ก็มีคนแคระขาว คนแคระเหลือง บลาๆ มากมาย
ปีศาจเองก็มีแยกเป็นปีศาจนั่นปีศาจนี่
แวมไพร์ก็มีแวมไพร์ขาว แวมไพร์ดำ.. เอาเป็นว่าเผ่าพันธุ์ในทวีปนี้มีเยอะมากถ้าจะให้ไล่ก็คงไล่ไม่หมดแต่เผ่าพันธุ์ที่มีประชากรเยอะสุดก็คือมนุษย์กับปีศาจ
เอาเป็นว่านั่นคือ setting คร่าวๆ ของโลกใบนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด เห็นแบบนี้ฉันก็มีความฝันอยู่..
นั่นคือการอยู่อย่างอิสระไม่เป็นแรงงานทาสให้ใคร เมื่อมีโอกาสครั้งที่สองฉันจะต้องทำให้ตัวเองไม่เป็นเหมือนเดิม
ยิ่งการร่วมสงครามอะไรแบบนั้นก็ฝันไปเถอะ!
ฉันไม่มีทางเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นแรงงานทาสจำเป็นแบบนั้นแน่!
มันควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ..
แล้วทำไมตอนที่ฉันอายุได้หนึ่งขวบกว่าถึงได้รับตำแหน่ง.. ผู้นำทัพไปได้วะคะเนี่ย… เรื่องมันเริ่มจากคำพูดพล่อยๆ ของฉันเองแหละ
ฉันดันไปพูดว่าคิดถึงเกมเดินสงครามที่เคยเล่น.. แล้วไอ้นินจาโอเรียดันได้ยินแล้วก็เอาไปบอกมิเกล เจ้ามิเกลก็บ้าจี้คิดว่าฉันมองสงครามเป็นแค่เกมง่ายๆ
เจ้าตัวเลยจัดสรรค์ตำแหน่งที่เรียกว่า ‘ผู้นำทัพสูงสุด’ ให้ฉันในวินาทีนั้นแถมประกาศอีกว่าฉันเป็นผู้นำทัพสูงสุดได้ด้วยอายุที่น้อยที่สุด
ก็เออสิวะ ตรูพึ่งขวบเศษๆ อ่ะ
แล้วก็ไอ้ตำแหน่งบ้านี่เป็นเหมือนตำแหน่งที่สูงสุดจริงๆ.. คือผู้นำทัพสูงสุดคือหมายถึงระดับเผ่าพันธุ์เลยก็ว่าได้
ตำแหน่งนี้ไม่มีมานานหลายร้อยปีแล้วเพราะว่ามนุษย์เองก็ใช่ว่าจะลงรอยกัน การจะมีผู้นำทัพสูงสุดต้องมีลายเซ็นยินยอมจากประเทศอื่นในเผ่ามนุษย์มากกว่า 7 ใน 10
ซึ่งการเสนอชื่อฉันก็ผ่านได้อย่างโคตรง่าย แล้วไม่พอตำแหน่งนี้ในบางกรณีอยู่เหนือกว่าราชาด้วยซ้ำ ยิ่งในการรบนี่ราชาดูเป็นตัวประกอบเลย
แต่ถ้านอกสนามก็ตำแหน่งเทียมพระราชา มีสิทธิ์ที่จะยุ่งเกี่ยวกับประเทศไหนก็ได้.. ว่าง่ายๆ ก็คือ.. จุดสูงสุดของเผ่ายิ่งกว่าพวกผู้กล้าซะอีก
อันที่จริงผู้นำทัพสูงสุดก็คือคนนำทัพผู้กล้านั่นแหละนะ ใช่.. ตอนนี้ฉันพึ่งขวบเศษๆ แต่ก็เป็นคนที่สูงพอหรือมากกว่าราชาไปซะแล้ว
คนในโลกนี้เหมือนพวกเมากัญชากันเนี่ยสิ.. แน่นอนว่าตำแหน่งนี้ยังเป็นตำแหน่งที่ไม่มีกองทัพเป็นของตนเอง
เพราะงั้นในหน่วยจึงมีแค่ฉันที่เป็นทารกคนเดียวนั่นแหละนะ เป็นเหตุผลที่ฉันยังคงนั่งกินนอนกินแบบสุขสบายโดยไม่ต้องทำอะไร
ส่วนถ้าจะถามว่าฉันนำทัพได้ไหม คำตอบคือ.. จะไปทำได้ได้ยังไงเล่ากับพนักงานเงินเดือนในบริษัทกากๆ แบบฉัน
นอกจากในเกมก็ไม่เคยแตะเลย แล้วคิดว่าสงครามในเกมจะเหมือนในชีวิตจริงไหมล่ะ คำตอบคือไม่!
เพราะงั้นอย่าได้หวังว่าฉันจะแบกทีมเพื่อชนะสงครามได้.. ยังดีที่พวกบ้านี่ไม่ได้ส่งฉันไปร่วมสงครามเลยทันทีทันใด
ยังพอมีสามัญสำนึกกันอยู่บ้างนั่นแหละ
ในตอนนั้นเอง.. “ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันที่กำลังสุขสบายบนความเข้าใจผิดจากการเมากัญชาของคนในโลกนี้ในห้องแสนสุขสบายหรูหรา
“หือ.. ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วเหรอนี่?”
ฉันไม่ได้ตอบเสียงเคาะประตูออกไป แต่ประหลาดใจอยู่พักใหญ่ อาหารที่ฉันกินคือข้าวรวงทองเป็นข้าวที่แค่กินก็สามารถทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้
น่าเสียดายที่ฉันมีคำสาป God(t) slayer อยู่เลยทำให้ไม่มีผลอะไรกับฉันนอกจากมีดีที่เรื่องอร่อยอย่างกับข้าววิเศษ
ถึงมันจะเป็นข้าววิเศษจริงๆ ก็เถอะ พอฉันไม่ได้ตอบไปสักพักถึงประตูค่อยๆ เปิด.. น่าแปลกที่คนที่มาไม่ใช่เมดที่ฉันรู้จักแต่เป็น….
“เธอคือ..?”
เด็กผู้หญิงอายุราวๆ 5-6 ขวบเห็นจะได้.. ผมของเธอเป็นสีดำสั้นมีไฮไลท์สีแดงตัดไปมาค่อนข้างเยอะ สวมชุดลูกผู้ดีก็จริงแต่มือซ้ายกอดดาบ
ส่วนมือขวาถือของอะไรก็ไม่รู้เหมือนจะเป็นสร้อยละมั้ง… หน้าตาน่ารักและบริสุทธิ์ของเธอมีความเคารพฉันอย่างชัดเจน
“ฉันมีชื่อว่า คารินาลิส เรเดส ค่ะ.. ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ.. ท่านโรซาเ-แอ่ฟ”
เธอพูดด้วยความประหม่าจนกัดลิ้นตัวเอง.. ก่อนที่เจ้าตัวจะหน้าแดงฉ่าด้วยความอับอาย.. แต่เธอพยายามรวมสติแล้วพูดขึ้น
“เรียกฉันว่าคารินก็ได้ค่ะ”
มารยาทงามชะมัดเลย ถึงจะดูเด๋อๆ ไปหน่อยแต่น้องหนูก็น่าจะเป็นเด็กที่จริงจังพอสมควรเลยล่ะ…
“เธอต้องการอะไรเหรอ?”
“นี่เป็นมงกุฎแห่งการตื่นรู้ค่ะ.. เป็นสมบัติระดับเผ่าค่ะ เป็นของที่ตกทอดมาจากตระกูลเรเดสค่ะ.. ได้โปรดรับไว้ด้วยเถอะ”
“….?”
“แลกกับการสอนให้ฉันกลายเป็นผู้กล้าด้วยค่ะ”
“…..?”
อะไรอีกวะนิ อยู่ไม่เป็นสุขเลยเว้ยเฮ้ย… ไม่สิ คารินาลิส.. ชื่อนี้คุ้นๆ..อ้ะ! นึกออกแล้วเด็กที่เคยตรวจเมล็ดตัวแทนแห่งเผ่าพร้อมกับฉันนี่น่า
และผลของเธอคือเมล็ดตัวแทนแห่งเผ่าหล่อนเหมือนจะเป็นระดับที่หายากมากๆ ว่ากันว่าหากปลุกพลังผู้กล้าได้จะเป็นผู้กล้าที่เหนือกว่าผู้กล้าด้วย
แล้วก็มาขอฉันที่ไม่มีอะไรด้วยซ้ำให้สอนให้เนี่ยอะนะ ต้องขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วย อย่าว่าแต่สอนเลยขนาดวิธีจับดาบที่ถูกหนูยังไม่รู้เลยค่ะ
อยากจะร้องไห้ชะมัด.. แน่นอนว่าสิ่งที่ฉันทำได้ก็มีแต่ต้องปฏิเสธไป
“ขอโทษนะ คาริน… ฉันว่าเธอไม่มีอะไรให้ฉันสอนหรอก”
ก็แหงสิ หล่อนเป็นผู้กล้าแห่งดาบฉันที่จับดาบยังไม่เป็นด้วยซ้ำจะไปสอนได้ไงวะคะ ถามหน่อย.. พอฉันพูดแบบนั้นน้ำตาของคารินก็เริ่มไหล
“.. นะ.. นั่นสินะคะ.. ฉันไม่มีคุณสมบัติพอสินะคะ.. เป็นอย่างที่ท่านพี่บอกเลย ฮรือ..”
“ไหงกลายเป็นงั้นได้ละเฮ้ย?!”
“ก็.. ท่านพี่บอกว่า.. ฝีมือของฉัน.. มันห่วยเกินจนฝึกกับท่านพี่แทบไม่ได้ ท่านพี่แทบไม่เคยฝึกกับฉันเลยแล้วก็พูดเหมือนกับท่านโรซาเรียเลย ฮรือ”
“พี่เธอว่าไงนะ?”
“ก็แบบ ‘ยัยบ้า ฟันบ้าอะไรของเธอ ฉันเจ็บน— ฉันหมายถึงมันห่วยขนาดนั้นใครจะรับดาบเธอได้’ หรือแบบ ‘ถ้าจะฟันแร— ห่วยขนาดนี้ฉันไม่มีอะไรอยากจะสอนเธอแล้ว ไปไกลๆ ไป้! ความสามารถมันต่างกันเกินไปแล้ว’ แบบนี้…”
“…..”
อิแบบนี้หล่อนซัดคุณพี่จนปางตาย จนเขาไม่อยากฝึกซ้อมด้วยชัวร์ป้าบ.. เพื่อความแน่ใจฉันเลยถามไปอีกรอบว่า
“พี่เธออายุเท่าไหร่ เขาเป็นใคร?”
“พี่ฉันคือหัวหน้ากองอัศวินและเป็นหน่วยฝึกผู้กล้าประจำเกโบล์กค่ะ.. อายุประมาณ 25 เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะที่ฉันนับถือมากค่ะ”
“อืม.. แล้วหลังฝึกกับเธอพี่เธอไปเจอเหตุร้ายอะไรไหม?”
“ก็..ทุกครั้งที่ฝึกกับฉันเสร็จ พี่มักจะไปเจออสูรที่เก่งเทียมจอมมารเล่นงานจนกล้ามเนื้อฉีกขาดไปทั้งตัวน่ะ”
พอพูดถึงพี่ที่เก่งกาจเหมือนเจ้าตัวจะภูมิใจมากเลย… เจ้าตัวยังพูดต่อ
“ฝึกครั้งล่าสุดคือเมื่อวันก่อน พี่ไปเจอกับจอมมารฆ่าจอมมารไปได้คนหนึ่งแต่แลกมากับบาดเจ็บสาหัสลุกไม่ได้ไปน่าจะเป็นปีเลยค่ะ.. เพราะงั้นที่บ้านเลยให้ฉันแอบเข้ามาหาท่านโรซาเรียเพื่อฝึกน่ะค่ะ..”
ไม่หรอกอิหนู… ตอนนี้มีสัญญาห้ามรบของเทพอยู่พี่เธอฆ่าจอมมารไม่ได้หรอก ก็คือซ้อมกับเธอจนต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปเป็นปีอะแหละ
“เอ้ะ.. เดี๋ยวนะ แอบเข้ามาเหรอ..?”
“ค่ะ”
“…เธอต้องการอะไรจากฉันว่ามาเลยดีกว่า!”
คนที่คุ้มกันฉันส่วนใหญ่เป็นครึ่งก้าวผู้กล้ากันทุกคน.. ยัยเด็กนี่ก็ลอดจากกลุ่มคนที่เก่งระดับนั้นหลายสิบคนได้อย่างง่ายดาย..
เอาจริงซัดพี่ชายที่ฝึกพวกที่คุ้มกันฉันจนนอนหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายวัน จังหวะนี้ฉันก็คงต้องทำตามที่เจ้าตัวขอแล้วล่ะ
อีกฝ่ายยังเด็ก ขืนไม่พอใจอาจจะระเบิดอารมณ์ใส่ฉันจนตายโหงก็ได้
สรุปง่ายๆ คือ.. เด็กไม่น่าเมากัญชาเหมือนคนอื่นได้ พวกเด็กนั้นใช้เป็นแต่อารมณ์นั่นเอง.. ถึงฉันจะระดับทารกเลยก็เถอะ
MANGA DISCUSSION