***………………..***
สุดท้ายเจ้านั่นก็ได้ล้มลง แม้จะยังดูมีชีวิตอยู่แต่ก็โรยรินแทบจะหมดลมหายใจ
“เจ้าพูดได้หรือไม่”
“โฮ่ก!”
มีเพียงเสียงร้องครวญครางให้ได้ยินกัน เป็นสัญญาณว่าถูกควบคุมโดยสมบูรณ์
ปกติเผ่าเซนทอร์นั้นสามารถพูดกันได้เพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน ภาษาประจำเผ่าเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ภาษาอื่นได้พอรู้เรื่อง
ไม่นานนักหลังจากพยายามพูดคุยกับเจ้าตัวนั้น ลมหายใจอันรุนแรงของมันก็ได้ดับลงในที่สุด
“ขอให้เดินทางไปสู่แดนสุขาวดีอย่างสวัสดิภาพ…”
มิลาด้าฝังและทำพิธีแบบง่ายๆ ให้ด้วยความเห็นใจ
แต่ในใจลึกๆ ก็ร้อนรุ่มในอารมณ์กับใครบางคนที่มาควบคุมเซนทอร์ตัวนี้ให้มาก่อเรื่องดังกล่าว
แซ่กๆ
“ใคร!” ทันใดก็มีเสียงของตัวอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆ ในพุ่มไม้
มิลาด้าที่ยังคลายความระแวงไม่หาย ทั้งเซนทอร์ตัวนี้ และหลานแท้ๆ ของตนที่หายไป
“หนูเองค่ะคุณยาย”
แต่สเตฟานีก็ได้เผยตัวออกมาจากตรงนั้นจนทำให้โล่งใจเฮือกใหญ่
คุณยายพุ่งเข้าไปกอดหลานของตนพลางบอกขอโทษๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากความผิดพลาดของตนที่ไม่ระวัง
แต่สเตฟในตอนนี้นั้นก็แปลกไปจากท่ีเคยเป็น นางไม่ค่อยพูด ดูไม่ค่อยร่าเริง
ปกติมักจะทำตัวเด็กน้อยตามประสาทั่วไป แต่ตอนนี้นางกลับพยายามดันร่างของหญิงสาวซึ่งกอดเธออยู่ให้ออกไป
แม้จะแปลกไปบ้างแต่มิลาด้าก็ไม่ได้ติดใจเอามาคิดแต่อย่างใด กลับกันนางคิดว่านี่เป็นเพียงขั้นหนึ่งของการเติบโตของเด็กคนนี้ก็เท่านั้น
วัยต่อต้านแล้วงั้นเหรอ?
เสียดายจังเลยนะ
มิลาด้าเดินนสเตฟให้อย่างน้อยก็ถึงเมืองราเวนกลาสอย่างปลอดภัยก่อนเป็นอันดับแรก
เดินขึ้นเหนือไปอีกเล็กน้อยไม่นานก็ถึง…
เมืองนี้แม้ตอนมาในตอนแรกจะมีแสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่ว
แต่ในตอนนี้กลับมืดมนคล้ายว่ากำลังบ่งบอกเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีกเช่นกันเพราะมันก็เป็นปกติของที่นี่อยู่แล้วที่หิมะจะตก
กลับกันในตอนที่มากันตอนแรกที่แดดออกจ้ายิ่งแปลกกว่า
เราพักที่นี่กันก่อนเนอะ
ค่ะ
เพียงคำสั้นๆ แต่ก็ได้ใจความ มันแปลก แปลกจนไม่น่าเชื่อว่าเพียงคืนเดียวนางจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้…
อึก-
นี่เราถูกตัวอะไรโจมตีใส่กันน่ะ
สเตฟในตอนนี้มีบาดแผลเต็มตัว บริเวณที่เขาอยู่จะเรียกว่าเป็นจุดเดิมเลยก็ว่าได้
กระท่อมไม้หลังน้อยนั้นพอตื่นขึ้นมาไม่ทันไรก็ถูกลอบจู่โจมด้วยตัวอะไรบางอย่างที่รดเร็วเสียจนมองไม่ถนัดชัดดี
นอนจมกองหิมะสีแดงอยู่อย่างนั้นจนกว่าแผลจะหาย
ค่อนข้างลึกเลยทีเดียว
แม้จะมีการรักษาร่างกายที่ดีกว่ามนุษย์อยู่โข แต่ก็ใช่ว่าจะหายได้ทันทีทันใดเพราะจะยังไงก็ไม่ได้เป็นอมตะอย่างที่ตำนานว่ากันไว้
ยังคงมีเจ็บมีตายกันได้บ้าง ดังนั้นจำนวนคงไม่เหลืออยู่หลักหน่วยกันแบบนี้
พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก รู้เพียงสีโดยส่วนใหญ่เป็นสีดำรูปร่างมนุษย์แต่ก็คงไม่ใช่มนุษย์
มันพึมพำด้วยคำที่ดูมีน้ำโหคล้ายจะหงุดหงิดกับอะไรสักอย่าง
“แ-่งเอ้ย ตัวนั่นกว่าจะคุมมันได้”
เหมือนมันใช้สเตฟเป็นที่ปลดปล่อยความโกรธ ฟันมาไม่ยั้งไม่รู้กี่ครั้งจนได้แผลเหวอะหวะเต็มตัว
การฟันแต่ละครั้งนั้นช่างบอบบางอ่อนช้อย แต่ก็ตามมาด้วยความเร็วที่แม้จะเป็นเกล็ดของมังกโบราณก็เอาไม่อยู่
สงสัยคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกคืนแล้วล่ะ
ว่าแล้วเขาก็ได้นอนลงที่เดิมตรงนั้นพลางนึกเรื่องการเอาตัวรอด
อาหารนั้นไม่เท่าไหร่ในการเอาตัวรอด แต่กับน้ำน่ะสิ
เขาไม่ได้รับตั้งแต่เริ่มออกบินแล้ว แม้จะจำได้ว่าเอาน้ำใส่กระเป๋าเอาไว้ แต่ดันเป็นกระเป๋าของคุณยายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตอนนี้
ไม่รู้ว่าคุณยายอยู่ที่ไหน แต่ก็เอาตัวรอดให้นานที่สุดด้วยตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
จะหวังพึ่งเพียงพลังของผู้ใหญ่กว่าตลอดไปก็คงจะไม่ไหว
โอ๊ย เจ็บๆๆ
แล้วก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว…
อือ คุณยายคะ
ฝันร้ายเข้าครอบงำจิตใจ
เขาพยายามเรียกคุณยายที่อยู่หน้าแค่เอื้อมก็ถึงแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
ร่างกายนั้นหนักอึ้งอย่างเป็นปริศนาน่าแปลกใจกับเรื่องราวภายในนั้น
เขาขยับไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ แต่มันกลับขยับเองราวกับมันมีชีวิตความคิดเป็นของตน
คุณยายคะ ขอดูเวทย์ของคุณยายหน่อยสิ
เจ้าร่างนั้นมันพูดคุยกับคุณยายอย่างเป็นธรรมชาติทั้งที่เขานั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเลย
ทั้งหมดมันสมจริงจนแทบแยกไม่ออก
ทั้งเวทย์ที่คุณยายปล่อยออกมา ทั้งตัวของเขาเองที่พูดขึ้นเอง อะไรต่างๆ มันเกินกว่าฝันไปแล้ว…
เฮือก-
สุดท้ายก็ตื่นโดยไร้สาเหตุ แม้พยายามจะคิดทบทวนแต่ก็คิดออกเพียงความคิดถึงคุณยายที่ปกติแทบจะไม่เคยห่างกันหลังจากใช้ชีวิตมา
เขาหลับจนล่วงเลยมากลางดึก ในตอนนี้แผลสมานกันเกือบเต็มที่ แม้จะไม่ควรแต่ก็จำเป็นที่จะเดินให้รอดออกจากที่นี่
ยังดีที่แม้หิมะจะตกอยู่ปรอยๆ แต่อุณภูมิไม่ลดลงไปมากกว่านี้ จึงยังสามารถห่มตัวเองด้วยปีกคู่ใหญ่นี้ได้อุ่น
น้ำกินนั้นมีแล้วจากการตวงหิมะด้วยผ้าใบผืนใหญ่ที่มีในกระเป๋า
หากถามว่าทำไมไม่ตักเอาจากพื้น เพราะมันสกปรกและมีบางเกินกว่าจะตักได้โดยไร้ดินติดเข้ามาด้วย
เขาอุ่นหิมะนั้นด้วยเวทย์ของตนและดื่มมันด้วยความขอบคุณยินดี
เป็นน้ำที่มีคุณค่าทางจิตใจที่สุดเท่าที่เขาเคยดื่มมาเลยทีเดียว
เดินย่ำกองหิมะได้ไม่นานก็ผ่านพบกับกระท่อมนายพรานที่คราวนี้มีคนอยู่แน่ๆ
เขาพยายามมองหาในความมืดแต่ก็ไม่เจอใครเว้นแต่กองไฟที่ยังไม่มอดนั้น
ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นกับดักหรือเปล่าแต่ก็จำเป็นที่จะต้องเข้าหามนุษย์คนนี้ให้ได้
“สวัสดีค่ะ! มีใครอยู่ไหมม”
ตะโกนไปไม่มีเสียงตอบรับ เขานั่งลงตรงไม้ที่เหมือนจะเป็นเตียงนอนแข็งๆ สำหรับผู้ใช้งาน
เอนนอนลงไปด้วยความสบายแต่ก็หลับไม่ลงเพราะเพิ่งจะตื่นมาได้ไม่นานมานี้
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาแม้จะเป็นจันทร์เสี้ยวแต่ก็ยังสว่างจนแทบจะกลืนแสงดวงดาวไปหมด
เปลวไฟจากกองไฟเองก็เริ่มเบาลงแล้ว เชื้อเพลิงเริ่มใกล้หมด
ข้างๆ เตียงไม้นั้นมีฟืนพร้อมใช้อยู่ข้างๆ เขาหยิบขึ้นมาหักครึ่งท่อนก่อนจะโยนเข้าไปสุมยืดชีวิตเปลวไฟนี้ต่อจนเช้า
เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอ ที่เหลือคงต้องรอเจ้าของมาและบอกทางกลับไปยังเมืองให้ได้
ทันใดที่สเตฟกำลังผ่อนการป้องกันลง ธนูสองดอกก็ได้พุ่งเข้ามาหาเขาทันทีที่ปีกนั้นเริ่มคลายออกจากความอบอุ่นของเปลวไฟ
โชคดีที่ธนูดอกหนึ่งถูกปีกของเขาจนกระเด็นออกไปไม่มีรอยขีดข่วน
แต่อีกดอกไม่ได้ดีอย่างที่คิด มันปักเข้าที่ต้นขาซ้ำเข้าไปที่แผลซึ่งกำลังจะหายดีในอีกไม่นาน ทำให้มันยิ่งฝังลึกเข้าไปยากที่จะดึงออกอีก
อุ๊ป-
แม้จะอยากร้องเจ็บเพียงใดแต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ ศัตรูไม่เปิดเผยตำแหน่งและจำนวนที่แน่ชัด
ดังนั้นการให้ข้อมูลปลอมอย่างการยิงพลาดก็เป็นเรื่องที่ดีหากการยิงนั้นเป็นการยิงสุ่มแบบเห็นไม่ชัด
สเตฟก้มลงกับพื้นพยายามคลานออกจากแสงไฟเพื่อซ่อนตัวให้เร็วที่สุด แต่ก็ไปไหนไม่ได้
พื้นที่เขาคลานไปก็มีบ่วงเชือกใหญ่คล้องเอาไว้พอที่จะคล้องคนมนุษย์คนหนึ่งขึ้นให้ขาดอากาศตายได้เลย
กับดักถูกทำงาน บ่วงนั้นดีที่ถูกดึงตึงเข้าไปที่ขาขวาของนางที่ไม่เจ็บอะไรมากทำให้ไม่เป็นอะไรหนัก
แต่ก็ถูกห้อยหัวอยู่อย่างนั้นจนได้มีใครบางคนโผล่ออกมาจากเงามืด…
“นี่โรดิโก ข้าว่าเจ้านี่ไม่ใช่ตัวที่เราตามหาสักเท่าไหร่นะ”
“ก็ใช่แหละ แต่จะทำไงได้ล่ะ ไวเวิร์นกลายมนุษย์เชียวนะเห้ย”
“ขายได้ราคาดีไม่หยอกเลยล่ะ”
ดูเหมือนมนุษย์สองคนนี้จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมากจากไหนและเป็นตัวอะไร
ตอนนี้เงียบเอาไว้จะดีกว่า หากพูดอะไรไปไม่เข้าหู ร่างกายที่สะบักสะบอมอยู่แล้วคงต้องจบชีวิตที่นี่
“เห้ย- ไหนเจ้านี่มันก็มีแผลหนักขนาดนี้ ข้าว่าพรรมจรรย์หายไปราคาคงไม่ตกขนาดนั้นหรอก”
อ หาาาาา??
***………………..***
MANGA DISCUSSION