ตอนที่ 337 จดทะเบียนสมรส
“จะไปจดทะเบียนสมรสกันตอนไหน ? ” กู้จื้อเฉิงวางตะเกียบลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก ก่อนจะถามกู้จื้อชิวพลางส่งสัญญาณให้จางฉุ้ยเหลียนออกไปจ่ายเงิน
“พรุ่งนี้ค่ะ!” กู้จื้อชิวตอบโดยไม่คิดอะไร ตรงกันข้ามกับหลี่หมิงหยู่ที่เขินจนคอแดง หน้าแดงระเรื่อไปทั่วทั้งหน้า
เขาเห็นจางฉุ้ยเหลียนเดินกลับมาในห้องพร้อมกระเป๋าเงิน ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ “ทั้งหมดเท่าไหร่ครับ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเม้มปากอมยิ้ม “สามร้อยกว่าหยวนค่ะ!”
ปรากฏเสียงฟ้าคำรามฉับพลัน หลี่หมิงหยู่รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ 300 กว่าหยวน อาหารมื้อนี้เท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนของเขาเลยนะ น่ากลัวจริง ๆ กินทองเข้าไปกันหรือไง ?
เมื่อเห็นอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะ หลี่หมิงหยู่ได้แต่ท่องเงียบ ๆ ในใจ ‘ลงกล้ายามเที่ยงวัน หยาดเหงื่อหยดลงผืนดิน ใครเล่าจะรู้สิ้น ทุกเม็ดมีความทุกข์ยาก!’
เขากำลังคิดว่าถ้าเอาอาหารที่เหลือเหล่านี้ห่อกลับบ้าน จะเป็นมื้อค่ำหรืออาหารสำหรับพรุ่งนี้จะได้ไหม ถึงอย่างไรคนที่ร่วมโต๊ะก็มีแต่พวกเขา ไม่มีคนนอก
ดูเหมือนอันหลงจะมองออกว่าเขากำลังคิดอะไร จึงเอ่ยปากทันใด “ฉุ้ยเหลียน เธอห่ออาหารเหล่านี้กลับไปให้เด็กในโรงซ่อมรถกินด้วยแล้วกัน ปกติพวกนั้นก็ไม่ค่อยได้กินของดี ๆ อยู่แล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนชะงัก ได้แต่พึมพำอยู่ในใจว่าทำไมต้องเอาอาหารพวกนี้ไปให้คนอื่นด้วย อาหารพวกนี้แทบไม่มีใครแตะ อย่างน้อยก็ห่อกลับไปกินเป็นมื้อค่ำนี้ได้ อุ่นสักหน่อยก็กินได้แล้ว ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่คนนอก
เธอมองไปทางอันหลงด้วยสายตาสงสัย แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายถลึงตาใส่ราวกับถ้าเธอยังมีความเห็นที่แตกต่างหล่อนจะฆ่าเธออย่างไรอย่างนั้น จางฉุ้ยเหลียนตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายต้องการแสดงให้หลี่หมิงหยู่เห็น อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงทันใด เอือมระอาราวกับมีเส้นสีดำกลุ่มหนึ่งพร้อมใจกันปรากฏขึ้นบนหน้าผาก
จริง ๆ เธอก็ยังไม่รู้หรอกว่าแม่สามีคิดอย่างไร ด้านหนึ่งก็พยายามข่มอารมณ์ของกู้จื้อชิวไว้ ปากยังคงบ่นอุบอิบว่ากู้จื้อชิวนั้นมีนิสัยอย่างไร หลี่หมิงหยู่จะต้องลำบากแค่ไหน อีกด้านหนึ่งก็เอาความหรูหราของตนออกมาเปรียบเทียบ ซึ่งก็เป็นเหมือนกับสามีภรรยาในครอบครัวอื่น
การคิดอยากแสดงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้หลี่หมิงหยู่ได้เห็น ก็เพื่อต้องการให้เห็นว่าตระกูลของหล่อนมีเงินใช่ไหม ?
จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจความคิดของแม่สามีเอาเสียเลย แต่เรื่องที่เห็นพ้องต้องกันคือการห่ออาหารกลับไปให้กับคนในโรงซ่อมรถ
กลับบ้านมา ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะได้พักหายใจ ก็ใช้ให้เธอไปชงกาแฟมาให้ แถมยังบอกให้จางฉุ้ยเหลียนใช้แก้วที่ติงหลงหลงส่งมาจากอเมริกาอีกด้วย หล่อนดื่มกาแฟไปพลางอวดความฉลาดเกี่ยวกับเรื่องกาแฟไปพลาง
กู้จื้อเฉิงไม่เคยเห็นของแบบนี้มาก่อน เขาชอบดื่มชาเขียว อีกทั้งยังไม่ใช่คนที่ค่อย ๆ จิบแบบพิรี้พิไรด้วย อุปกรณ์ชงชาที่ซื้อมาเมื่อครั้งอยู่ในเมืองซุยหยวนก็เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ชงชาที่เห่อแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เขาชงชาใส่ถ้วยเอง จากนั้นก็ดื่มอึก ๆ เหมือนเสียงกลืนของกระบือ
“แล้วคืนนี้จะนอนอย่างไร ? ” กู้จื้อเฉิงยกแก้วชาขึ้นดื่ม ทอดมองไปยังอันหลงที่กำลังโน้มน้าวให้กู้จื้อชิวแสดงความโอ้อวดอยู่ข้างเปียโน จากนั้นก็มองไปทางหลี่หมิงหยู่ที่มีดวงตาปูดโปนแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว รู้สึกไม่น่ามองเลยสักนิด
แต่ยังไม่ทันที่อันหลงจะพูดจบ กู้จื้อเฉิงก็พูดขึ้นว่า “เรา 3 คนจะไปเยี่ยมบ้านข้าง ๆ พวกคุณรีบไปพักผ่อนเถิดครับ อาบน้ำ ล้างหน้าและเข้านอนซะ พรุ่งนี้ต้องไปจดทะเบียนแต่เช้า!”
เขาไม่ได้คาดคิดว่าทั้งสองคนจะมีความเกรงใจต่อกัน ยังไม่ทันรอให้อันหลงวางแผน เขาก็โพล่งออกมาเสียใหญ่โต จางฉุ้ยเหลียนเองก็อดมองไปทางหลี่หมิงหยู่หลายครั้งไม่ได้
หลี่หมิงหยู่หน้าแดงอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เอ่อ คือว่าเรื่องนั้น ผมนอนกับพี่ใหญ่ครับ”
กู้จื้อเฉิงจึงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “ที่นี่ไม่ได้เล็กเท่ารูหนูขนาดนั้น จะนอนกับผมทำไม? เราไปเยี่ยมข้างบ้านและจะพักอยู่ที่นั่น เสี่ยวชิวนอนกับแม่ คุณไปนอนอีกห้องไม่ดีกว่าหรือ ! ”
ที่แท้เขาก็หมายความแบบนี้นี่เอง หลี่หมิงหยู่โวยวาย กู้จื้อชิวอดขำออกมาไม่ได้ แต่กลับทำให้ความอับอายของหลี่หมิงหยู่กลายเป็นความโกรธ จนลืมไปว่าที่นี่บ้านใคร สุดท้ายก็ได้แต่ถลึงตาใส่กู้จื้อชิว
เมื่อเห็นเขาแสดงท่าทางไร้มารยาท กู้จื้อเฉิงก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ ก่อนจะลากตัวจางฉุ้ยเหลียนที่อุ้มคังคังซึ่งหลับไปแล้วเพื่อไปบ้านของเซี่ยจวิน
ตงลี่หวาไม่ได้อยู่กับคังคังมาเนิ่นนาน ก็แสดงท่าทางดีใจยิ่งกว่าอะไรดี กุลีกุจอไปจัดเตียงใหม่ให้หลานชายตัวน้อย จากนั้นก็หยิบผ้าห่มของเขาเข้าออกมา นอกจากนี้หล่อนยังเช็ดหน้าล้างเท้าให้เขาอย่างระมัดระวัง เปลี่ยนเสื้อผ้าและห่มผ้าให้เสร็จสรรพ
หล่อนไม่ได้ไปเข้าร่วมวงเสวนากับพวกเขาแต่อย่างใด เพราะได้แทรกตัวเข้าไปในผ้าห่ม เท้าคางและนอนมองใบหน้าที่กำลังหลับปุ๋ยของคังคังโดยไม่ละสายตา จากนั้นก็หอมแก้มคังคังเบา ๆ ด้วยความรัก
“ไอ้หยา ทำไมกู้จื้อชิวถึงได้คว้าคนแบบนี้มาเป็นคู่ชีวิต กินมูมมาม ไร้มารยาทสิ้นดี ! ” กู้จื้อเฉิงอดบ่นน้องเขยคนนี้ไม่ได้ แสดงความรังเกียจอย่างไม่ปิดบังต่อหน้าเซี่ยจวิน
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ชงชาให้ทั้งสองคน ดึกมากแล้วไม่ควรดื่มชา แค่รินน้ำเปล่าให้แทน จากนั้นก็นั่งมองทั้งสองคนคุยกันอยู่ข้างกู้จื้อเฉิง
“ฉันก็คิดแบบนี้ เด็กคนนี้ไม่เหมาะกับน้องสาวของนายเลย ! ” เซี่ยจวินแสดงความเสียดายออกมาทางสีหน้า เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ลูกเขยและพ่อตามีความคิดไปในทางเดียวกัน
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้กู้จื้อชิวตกลงเอง ถ้าไม่ใช่เพราะความสุขของหล่อน จะมีใครคว้ามีดมาจ่อคอเพื่อบังคับให้หล่อนแต่งงานในครั้งนี้ล่ะ ?
“ไม่พูดเรื่องนั้นแล้วกัน เพราะมันไม่มีประโยชน์ ตอนนี้งานของนายเป็นอย่างไรบ้าง ? ” เซี่ยจวินถามถึงงานใหม่ของกู้จื้อเฉิง พูดถึงเรื่องนี้กู้จื้อเฉิงดูมีความกระตือรือร้นขึ้นทันใด
จากนั้นเขาก็เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานช่วงนี้แบบน้ำไหลไฟดับ เซี่ยจวินตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองคนคุยกันจนเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนกระทั่งเซี่ยจวินสั่งให้จางฉุ้ยเหลียนไปทำกับแกล้มมาให้ เขาอยากดื่มกับกู้จื้อเฉิงสักสองสามแก้ว
ยากที่จะได้เห็นทั้งสองคนมีความสนใจกันแบบนี้ และยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จางฉุ้ยเหลียนอยากให้เป็นเช่นนี้ตลอดไป พรุ่งนี้กู้จื้อเฉิงไม่ต้องไปทำงาน เขาลากลับบ้านสองสามวัน เพื่องานแต่งงานของกู้จื้อชิวโดยเฉพาะ
เธอทำกับแกล้มเหล้าอย่างง่าย ๆ เทน้ำมันลงไปในกระทะร้อนระอุ
จากนั้นก็ไปหาแตงกวาในตู้เย็นมาล้างให้สะอาด และใช้มีดทุบให้แบน ก่อนจะสับจนเละ เติมกระเทียมสับ เพิ่มเกลือเพื่อความเค็ม น้ำมันพริกลงผสมเข้าด้วยกัน จางฉุ้ยเหลียนนำแตงกวาที่สับแล้วใส่ลงไปในน้ำชา จากนั้นก็ยกไปให้กับสุภาพบุรุษทั้งสองดื่มรองท้องก่อน เมื่อกลับมาในห้องครัวก็พบว่าน้ำมันร้อนจัดแล้ว
เธอเทถั่วลิสงลงไปทอดให้กลายเป็นถั่วลิสงทอดกรอบ ไม่กี่นาทีก็สุกกรอบ ยกลงจากเตา จากนั้นก็เปิดปลาเตาซี่กระป๋อง ก่อนจะหั่นเนื้อที่เหลือจากมื้อเที่ยง อาหารแกล้มเหล้าทั้ง 4 อย่างมีทั้งเนื้อทั้งผัก เตรียมพร้อมเสิร์ฟถึงที่แล้ว
“นายดูลูกสาวคนนี้ของฉันสิ มีฝีมือแค่ไหน ! ทำอาหารทุกอย่างเสร็จในเวลา 10 นาที นายเห็นกับแกล้มทั้ง 4 อย่างนี้ไหม ถูกจัดราวกับภัตตาคารมาเสริ์ฟด้วยเชียวล่ะ” เซี่ยจวินชื่นชมจางฉุ้ยเหลียนมาก ไม่เคยโอ้อวดเท่านี้มาก่อน เขารู้สึกว่าเรื่องที่มีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือการได้เลี้ยงดูลูกสาวอย่างจางฉุ้ยเหลียน
เมื่อเห็นชีวิตในตอนนี้เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เมื่อก่อนเขาไม่กล้าคิดแบบนี้ แม้แต่ความฝันก็ยังไม่กล้า ตอนนี้เขาได้อาศัยอยู่บนตึกสูง ได้เปิดโรงงาน มีเงินเก็บในธนาคาร แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะลูกสาว มันเป็นความสุขที่สามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง
จางฉุ้ยเหลียนอดพูดอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวไม่ได้ “ยังไม่เปิดฉากกินเลย จะรู้ได้อย่างไรว่าอร่อยหรือไม่อร่อย ปลาเตาซี่กระป๋อง แค่เปิดออกมาหั่นเป็นชิ้น ๆ ก็จัดใส่จานได้แล้ว แตงกวาก็ทุบจนเละคลุกกับเกลือ ไม่ได้ต้องใช้ฝีมืออะไรเลยค่ะ ถั่วลิสงก็เป็นแบบสำเร็จรูป แค่เทน้ำมัน รอ ฉีกซอง เท ทอด ง่ายจะตาย”
กู้จื้อเฉิงแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ จากนั้นก็ตบไปบนก้นของจางฉุ้ยเหลียนอย่างหยอกเย้า “ไม่ใช่ใครที่ไหนทำก็ได้นะ ภรรยาของผมเก่งที่สุด ! ”
จางฉุ้ยเหลียนขี้เกียจจะเสวนากับผู้ชายทั้งสอง หลังจากกำชับทั้งสองแล้วว่าอย่าดื่มในปริมาณเยอะเกินไป ต้องเข้านอนเร็ว เพราะต้องตื่นเช้า เธอก็เข้าไปล้างมือในห้องน้ำ จากนั้นก็กลับไปนอนในห้อง เข้าใจว่าทั้งสองคนจะต้องดื่มพลางคุยจนเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืนแน่ ๆ
เมื่อถึงเวลาที่กู้จื้อชิวจะถือใบทะเบียนสมรสกลับมา กู้จื้อเฉิงยังคงหลับอยู่บนเตียงไม่มีทีท่าว่าจะตื่น อันหลงดึงตัวกู้จื้อเฉิงให้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็พูดด้วยความหงุดหงิดใจ “น้องสาวของลูกแต่งงานทั้งที ลูกไม่คิดลุกขึ้นมาอวยพรหน่อยหรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงสวมเสื้อผ้าพลางหัวเราะด้วยความเย็นชา “ไม่ใช่งานแต่งของผมเสียหน่อย ทำไมผมจะต้องลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ด้วย ? ”
อันหลงถลึงตาใส่โดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อได้ยินน้ำเสียงต่อจากนั้นก็แทบจะเป็นลม “จะไปเยี่ยมพ่อของผมเมื่อไหร่ครับ ? ลูกสาวคนนี้แต่งงานทั้งที อย่าบอกว่าเจ้าตัวไม่รู้นะ”
“ไปทำบ้าอะไร ! เกี่ยวอะไรกับเขา ? ต่อไปพวกลูกไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เข้าใจไหม? ให้ตาแก่หนังเหนียวตายยากอยู่กับนังเมียแต่งคนใหม่เถอะ ตายแล้วค่อยฝังทีเดียว ! ” เมื่อพูดถึงกู้เต๋อไห่ อันหลงก็แสดงท่าทีรังเกียจเสียเต็มประดา โพล่งแต่คำสาปแช่งออกมา
กู้จื้อเฉิงไม่พูดอะไรอีกนอกจากพาตัวเองเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ จางฉุ้ยเหลียนยกโจ๊กมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร แต่ก็ยังกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย ถ้าให้น้องเขยได้ยินประโยคเหล่านี้ ไม่รู้จะคิดอย่างไร
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อย ดูเหมือนอันหลงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จึงตะโกนอยู่ด้านหลังของกู้จื้อเฉิงด้วยความร้อนใจ “ที่ลูกพูดก็ถูก แม่ต้องไปเจอพ่อของลูก นี่เป็นลูกสาวของเขา งานแต่งงานลูกสาวทั้งที เขาจะไม่สนใจได้อย่างไร”
กู้จื้อเฉิงหมุนตัวกลับมา และดูเหมือนจะมองอันหลงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ก่อนจะพูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “จะให้เขาจ่ายเงินหรือ ? ”
อันหลงพยักหน้า “ก็จะให้เงินแค่ผู้หญิงคนนั้นได้อย่างไร ? ”
กู้จื้อเฉิงทอดถอนใจด้วยความผิดหวัง “แม่ แม่เปลี่ยนเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ? ”
อันหลงอดด่าไม่ได้ “แบบไหน ? ที่แม่ต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะโดนทำร้ายจิตใจจากตระกูลกู้ไม่ใช่หรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงไม่อยากเถียงปัญหานี้กับอันหลงอีก ตอนนี้สองแม่ลูกได้เปลี่ยนตำแหน่งกันแล้ว เมื่อก่อนอันหลงเป็นคนที่โน้มน้าวกู้จื้อเฉิง ไม่อยากให้เกลียดกู้เต๋อไห่ ตอนนี้กู้จื้อเฉิงต้องเป็นฝ่ายโน้มน้าวอันหลงให้ยอมรับความจริง ทุกคนแยกทางกันแล้ว ไม่สามารถกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันได้อีก
“หืม? ไปหาเขา ? ” กู้จื้อชิวเห็นท่าทางอยากลองไปของกู้จื้อเฉิง จากนั้นก็รีบส่ายหน้าทันควัน “ไม่ไป ไม่อยากเจอเขา”
กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้ว “เธอเกลียดเขาแล้วหรือ ? ”
กู้จื้อชิวพยักหน้า “อื้อ หนูไม่มีวันลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นหรอกนะ หนูเองก็ไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากเขา ถึงจะเป็นงานแต่งของหนู ก็ไม่อยากให้เขามาร่วมงานหรอก”
กู้จื้อเฉิงจนปัญญา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องที่กู้เต๋อไห่ทำก็ตาม แต่ตอนนี้เขาก็เป็นพ่อคนแล้ว ยิ่งได้ใกล้ชิดคังคังก็ยิ่งเข้าใจความเป็นพ่อมากขึ้น
ลูกสาวแต่งงานทั้งที ไม่เชิญพ่อมาร่วมงาน มันจะน่าเสียใจขนาดไหน ?
MANGA DISCUSSION