ตอนที่ 334 แกล้งเมา
ทุกคนในหมู่บ้านทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง คุณย่าของตุนจื่อและแม่ของหวังเสี่ยวฮวาก็กำลังล้างจานพลางสนทนากันอย่างถูกคอ
กู้จื้อเฉิงนอนอยู่บนเตาปูนก็มึนเมาเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จนเผลอหลับไป ได้ยินแค่เสียงแม่ของหวังเสี่ยวฮวา “ป้าสะใภ้ ตอนนี้วางใจได้แล้วล่ะ เลขากู้เป็นคนที่เบื้องบนส่งมา ผู้นำในเมืองกำลังมองเราอยู่ สักวันต้องเป็นวันของเรา ตุนจื่อจะได้มีอนาคตที่ดีแน่นอน ”
ดูเหมือนว่าคุณย่าของตุนจื่อจะสำลักเล็กน้อย ถึงขนาดตื่นเต้นจนจานหลุดมือ “สวรรค์โปรดคุ้มครอง พ่อแม่และปู่ของตุนจื่อจากไปอย่างไม่มีวันกลับก็โชคร้ายพอแล้ว”
แม่หวังได้แต่ทอดถอนใจ “เด็กน้อยผู้น่าสงสาร แต่พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก หลังจากได้ประสบกับความยากลำบากและเคราะห์ร้าย ต่อไปเขาจะพบเจอกับความสุขที่เหลืออยู่ก็ได้”
คุณย่าพยักหน้าคล้อยตามอย่างดีใจ “ใคร ๆ ก็พูดว่าไม่ถูกต้อง แต่ฉันเชื่ออย่างนี้ ตุนจื่อไม่ยอมเรียนหนังสือ เรื่องนี้ทำให้ฉันกลุ้มใจมากจนนอนไม่หลับ กลัวถ้าวันหนึ่งถึงคราวฉันลาจาก แล้วจะมีหน้าไปบอกพวกเขาทั้งสามที่อยู่ในปรโลกได้อย่างไร แต่ตอนนี้ฉันวางใจได้แล้วล่ะ เขาเดินตามรอยเลขากู้ต้องมีอนาคตที่ดีแน่นอน ! ”
กู้จื้อเฉิงอดไอกระแอมออกมาไม่ได้ สร้างความตกใจให้ทั้งสองจนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมา แม่หวังเขย่งปลายเท้าเดินไปที่ประตูทีละก้าว จากนั้นก็ยื่นหน้ามองเข้าไปข้างใน เมื่อพบว่ากู้จื้อเฉิงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ หล่อนจึงวางใจและเดินกลับไป
“ไม่เป็นไร อาจจะสะดุ้งนิดหน่อย” แม่หวังขัดหม้อพลางพูดอย่างทอดถอนใจ “ฉันก็ว่าทำไมเลขากู้ต้องไปแอ่งน้ำทางทิศตะวันตกด้วย ต่อไปตระกูลซ่งก็ไม่ต้องกลุ้มใจอีกแล้ว ซ่งเล่ยเป็นนักศึกษาที่ดีคนหนึ่ง เลือกกลับมาเพาะเลี้ยงปลาอยู่ที่บ้าน สองสามีภรรยาตระกูลซ่งไม่ได้ขัดขวาง ความรู้สึกเหมือนเลขากู้ได้ชี้ทางสว่างให้เขาแล้ว ต่อไปคุณก็คอยดูว่าซ่งเล่ยจะต้องมีอนาคตที่ดีกว่าใครแน่นอน”
คุณย่าพยักหน้า “ต้องเป็นเช่นนั้น ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ ซ่งเล่ยคนนี้มีความสามารถ วิชาที่เขาเลือกคือการเพาะเลี้ยงปลา อย่างไรก็ต้องกลับมาทำงานที่บ้าน คนในหมู่บ้านไม่เข้าใจจึงพูดทำร้ายจิตใจเขา ตอนนี้เส้นทางที่เขาเลือกเดินถูกต้องแล้ว ต่อไปก็คงใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขแล้วล่ะ”
เมื่อพูดจบ คุณย่าก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “เหอะ หยางหงเซิ่งคงได้เสียใจเข้าสักวัน ไอ้หยา ไม่รู้เลยว่าลูกสาวบ้านไหนจะดีได้สมกับครอบครัวนี้”
คำพูดนี้ทำแม่หวังอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็ครุ่นคิดเงียบ ๆ ลูกสาวของหล่อนก็มีความรู้สึกที่ดีต่อซ่งเล่ย ในตอนนั้นหัวใจของหล่อนก็เริ่มเต้นระทึก ดูท่าทางพวกเขาทั้งสองคนต้องปรึกษากันให้ดีหน่อยแล้ว ถ้าสองตระกูลรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน การมองเห็นด้านแย่ ๆ ของกันและกันก็คงกลายเป็นเรื่องน่าขบขันขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่างไรก็ต้องปรึกษากันก่อนว่าจะโน้มน้าวลูกสาวอย่างไร ไม่ให้ซ่งเล่ยมาเกาะลูกสาวเพื่อความสำเร็จของตน
เมื่อกู้จื้อเฉิงตื่นขึ้น คนในบ้านของตุนจื่อได้สลายตัวไปหมดแล้ว พวกเขาไม่เพียงแค่เก็บกวาดหลังบ้านจนสวยงามเรียบร้อยแล้วเท่านั้น ยังเก็บกวาดได้สะอาดเอี่ยมอ่องอีกด้วย
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นกู้จื้อเฉิงหอบความภูมิใจกลับบ้าน ยิ้มโง่ ๆ เหมือนเก็บเงินได้ จึงอดถามไม่ได้ว่า “ไปสร้างกำแพงให้บ้านของตุนจื่อไม่ใช่หรือคะ แต่ทำไมไม่มีเศษฝุ่นเศษดินกลับมาล่ะ ไปทำอะไรมาคะ ? ไปดื่มฟรีกินฟรีหรือ ? ”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้า “ดื่มฟรีกินฟรีที่ไหนกันเล่า ผมไปงีบบ้านพวกเขามาต่างหาก ! ”
จางฉุ้ยเหลียนได้กลิ่นเหล้าจากตัวเขา จึงหยิบผ้าเปียกมาเช็ดหน้า แล้วรินน้ำชากลิ่นหอมฉุยให้กู้จื้อเฉิงดื่ม รู้ว่าวันนี้สามีดื่มหนักมาก นี่คือความเคยชินของคนฝั่งนี้ เวลาที่ทุกคนทานอาหารจะต้องมีเหล้าด้วยเสมอ
เมื่อกู้จื้อเฉิงดื่มชาหมด ก็ล้มตัวนั่งบนโซฟา ก่อนจะแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ “ผมจะพูดอย่างไรดี ? คุณต้องให้พวกเขารู้ความสามารถของคุณ รู้ภูมิหลังของคุณ พวกเขาถึงจะเชื่อ”
ใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนซีดเผือด “คุณพูดอะไรคะ ? ”
กู้จื้อเฉิงเล่าเรื่องในวงเหล้าให้หญิงผู้เป็นที่รักฟังอย่างละเอียด ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็ยกมือขึ้นมาเท้าคาง “ตายแล้ว คุณแกล้งเมาหรือเนี่ย!”
กู้จื้อเฉิงทอดถอนใจ “ถ้าผมตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ก็คงคิดว่างานนี้มันยากแสนยาก แต่หลังจากเหล้าเข้าปาก ผมก็เล่าภูมิหลังของตนออกมา เล่าว่าเบื้องบนยังมีคนเหนือกว่า เล่าว่าในเมืองให้ความสำคัญกับโครงการนี้มาก และเล่าว่านายอำเภอมีอิทธิพลกับเรื่องนี้ แต่มันก็ไม่เหมือนกัน”
คนเหล่านี้เหมือนกินยาชูกำลังเข้าไป ยังไม่ทันเริ่มก็เห็นรุ่งอรุณแห่งชัยชนะแล้ว การบอกเป็นนัยคือเรื่องปกติที่มีกันมาช้านานหลายพันปี
ท่ามกลางศึกสงคราม เมื่อจำนวนศัตรูมีมากกว่าที่คาดคิดไว้ เหล่าศัตรูต่างก็เชื่อใจไม่ได้ แต่เทพเจ้าแห่งสงครามอันเลื่องลือแค่ 1 คน ก็เปรียบดั่งพระเจ้าที่ลงมาเกิดในโลกมนุษย์ สุดท้ายก็พลิกผันคว้าชัยชนะ เรื่องเหล่านี้มีผลด้านจิตใจมากทีเดียว
กู้จื้อเฉิงเป็นคนแบบไหน ต้องทำเรื่องอะไร ทุกคนไม่รู้ เพียงแต่ถ้าภูมิหลังของเขามีอำนาจ อย่างน้อยก็ต้องแกร่งกว่าหยางชางเซิ่งอย่างแน่นอน คนเหล่านี้ต่อสู้ด้วยความมั่นใจ เหมือนกับเดินตามรอยแกะจ่าฝูงก็มิปาน
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าควรจะอธิบายสถานการณ์นี้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะทำให้กู้จื้อเฉิงเข้าใจได้อย่างไร ?
“เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในค่ายทหาร บางครั้งการฝึกฝนก็ดูไม่สมจริง บางครั้งทหารใหม่ต้องวิ่งอย่างน้อย 2 กิโลเมตร อย่าว่าแต่ระยะทาง 10 กิโลเมตร ต้องวิ่งวนรอบสนามเป็นหลายสิบรอบเลยทีเดียว เด็กกลุ่มนี้ได้แต่น้อมรับชะตากรรมของตน เชื่อว่าไม่มีทางโดนหลอกอย่างแน่นอน”
พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ แค่ทำให้พวกเขาเห็นก็จบ กู้จื้อเฉิงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้น่าเชื่อถือ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้คนเหล่านี้รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาได้บ้าง
ถ้าคนอื่นถาม ตนก็จะแกล้งทำเป็นหูหนวก แต่เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และต้องการทำให้ทุกคนรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง เดี๋ยวจริงเดี๋ยวหลอก เดี๋ยวหลอกเดี๋ยวจริง ยิ่งทำให้ทุกคนก่อเกิดจินตนาการเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่รู้ว่ามีผลต่อสภาพจิตใจหรือไม่ กู้จื้อเฉิงมองไปทางตุนจื่อ หวังอู่ ซ่งเล่ยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เต็มไปด้วยความเจิดจรัส ความกระตือรือร้นและความอ่อนโยน
ปลายเดือนเมษายน อันหลงพากู้จื้อชิวและคู่หมั้นกลับมายังเมือง Q เพื่อมาแนะนำตัวก่อนเตรียมกลับไปแต่งงานกันที่บ้านเกิด และเพื่อให้ทุกคนได้เห็น
สำหรับคน ๆ นี้ได้สร้างความรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจ ความอคติที่ไม่ยุติธรรมได้แผ่ขยายไปสู่กู้จื้อเฉิง
กู้จื้อเฉิงรู้สึกว่ากู้จื้อชิวเหมาะสมกับคนที่ดีกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องรีบแต่งงานสายฟ้าแลบก็ได้
“เรื่องนี้เป็นความคิดของแม่ ไม่รู้ว่าต้องการทำอะไรกันแน่ !” กู้จื้อเฉิงจัดแจงเสื้อผ้าหน้ากระจกพลางพึมพำอย่างไม่พอใจ
จางฉุ้ยเหลียนเดินสำรวจรอบบ้าน เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำที่อยู่ในอ่างเต็มพอจะกดสวิตช์ได้ ดอกไม้ที่อยู่บนหน้าต่างถูกชโลมด้วยน้ำ คังคังก็อุจจาระเรียบร้อย เธอจึงอุ้มคังคังเดินตามกู้จื้อเฉิงไปยังที่จอดรถของบ้านได้อย่างวางใจ
ในระหว่างที่กู้จื้อเฉิงขับรถกลับบ้านที่เมือง Q เขาไม่ได้เลี้ยวเข้าไปจอดในร้านอาหารที่นัดทานข้าวกันพร้อมมารดา น้องสาวและว่าที่น้องเขยแต่อย่างใด เพราะยังไม่ถึงเวลานัดจึงไม่อยากนั่งรอที่ร้าน บางทีถ้าเลยกลับบ้านไปก่อน อาจจะมีโอกาสได้พบคู่หมั้นน้องสาวเลยก็ได้
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่ากู้จื้อเฉิงกลับบ้านมาด้วยความหงุดหงิดใจ จึงไม่กล้าพูดอะไร นอกจากจูงมือของคังคังและเดินตามเข้าไป
เมื่อเข้ามาในบ้านและเห็นอันหลงและคนอื่น ๆ ไม่อยู่บ้าน กู้จื้อเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จางฉุ้ยเหลียนเปลี่ยนรองเท้า และเดินสำรวจในบ้านก่อนจะเดินกลับมาพูดกับสามี “น่าจะอยู่บ้านสิ เพราะในบ้านมีแต่ข้าวของ”
กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้วพร้อมเดินเข้าไปในห้องนอน ประสบการณ์นานหลายปีได้ทำให้เขาสังเกตเห็นว่าของที่อยู่ในห้องของตนถูกย้ายออกไปแล้ว
แม้ว่าผ้าปูที่นอนจะถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยก็ตาม แต่ยังมีกลิ่นอายของคนอื่นคละคลุ้งอยู่ไม่น้อย
“ฉุ้ยเหลียน ! ” กู้จื้อเฉิงตะโกนออกไป จางฉุ้ยเหลียนจึงเดินตามเข้ามาในห้องนอน “คุณลองดูว่ามีคนมาย้ายของในห้องหรือเปล่า ! ”
จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจความหมายของกู้จื้อเฉิง จึงยิ้มและพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ คุณคิดมากเกินไปแล้วนะ” ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ แต่ก็ยังเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และพบว่ามีเสื้อผ้าแขวนอยู่มากกว่า 2 ตัว
“เสี่ยวชิวน่าจะมาอยู่ในห้องของเรา คุณอย่าคิดมากสิคะ !” จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดตาม “แต่หล่อนจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ต้องเข้าพิธีแต่งงานนะ”
“แต่ก็ยังไม่ได้แต่ง ! ” กู้จื้อเฉิงพูดอย่างหงุดหงิดใจ จางฉุ้ยเหลียนลากเขาเข้ามาในห้องสมุด สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน และพูดว่า “พี่กู้ มีคนมาย้ายของของฉันไปแล้ว”
กู้จื้อเฉิงนวดขมับเล็กน้อย “เปิดดูสิ!” จางฉุ้ยเหลียนจึงเปิดลิ้นชัก จากนั้นก็เห็นแฟ้มเอกสารของตน จึงอดหงุดหงิดใจไม่ได้ “อื้อ ของพวกนี้ถูกวางผิดที่ ต้องมีคนมาเปิดอ่านมันอย่างแน่นอน แค่ไม่รู้ว่าเปิดอ่านอะไร ? หนังสือก็อยู่ข้างนอก อยากอ่านก็อ่านได้นี่”
ผู้ต้องสงสัยคนแรกของกู้จื้อเฉิงก็คือน้องเขยที่ไม่รู้จักมักจี่กันคนนั้น จางฉุ้ยเหลียนรีบโน้มน้าวทันที “คุณอย่าเพิ่งคิดในแง่ลบสิคะ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียหน่อย บางทีอาจจะเป็นแม่หรือไม่ก็เสี่ยวชิว คนแปลกหน้าอย่างเขาไม่น่าเข้าใจตัวเลขเหล่านี้หรอก เสี่ยวชิวนิสัยเป็นอย่างไร หล่อนจะเป็นคนแบบนี้ได้หรือคะ ? ”
“แม่จะหาอะไร ? เสี่ยวชิวจะอ่านอะไร ? คนที่เสี่ยวชิวเอือมระอาที่สุดคือคนที่ชอบแตะต้องของของหล่อน แล้วหล่อนจะเปิดอ่านเอกสารที่อยู่ในตู้หนังสือของคุณทำไม ? ” จางฉุ้ยเหลียนก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่ากู้จื้อเฉิงกำลังโกรธในเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่
“บ้านเราใหญ่โตขนาดนี้ จะมีคนเข้าออกก็เป็นเรื่องปกติ ถึงแม้จะมีแค่เสี่ยวชิวและฉันภายในบ้าน บางทีพวกเขาอาจจะแค่อยากวางของของตนก็ได้ อาจมีของที่ต้องการใช้ แต่คุณแม่หาไม่เจอเลยมาหาในห้องนี้ มันเป็นเรื่องปกติ คุณลองไปถามคุณแม่ก่อนดีกว่านะคะ” จางฉุ้ยเหลียนพูดเตือน “เสี่ยวชิวจะแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นแล้ว ไม่ว่ายอมหรือไม่ยอม สุดท้ายเจ้าตัวก็ต้องยอม”
ความเบื่อหน่ายแสดงออกมาบนใบหน้าของกู้จื้อเฉิง จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดอีกครั้ง “คุณลองคิดสิ กว่าเราจะมีวันนี้ไม่ง่ายนะ โกหกเรื่องนี้ หลอกลวงเรื่องนั้น เราถึงได้มีวันนี้”
“มันเหมือนกันหรือ ? เราสองคนมีฐานะเป็นสามีภรรยากัน แล้วพวกเขาล่ะ ? เราอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว พวกเขาเพิ่งจะแค่ไหนเอง ? ” คังคังเบิกตากว้างมองอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ต้องทะเลาะกัน
เขาโบกมือไปมาและตะโกนเสียงดัง “อย่าทะเลาะ อย่าทะเลาะกัน ! ”
จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบเดินเข้ามาหาทันที จากนั้นก็อุ้มคังคังขึ้นมาพูดปลอบใจ “พ่อกับแม่ไม่ได้ทะเลาะกัน แค่พูดเสียงดังเท่านั้น”
คังคังมองไปทางกู้จื้อเฉิงด้วยสายตาสงสัย เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นอย่างนั้นจึงอดพูดเตือนไม่ได้ “พี่กู้ คุณไว้หน้าเสี่ยวชิวหน่อย อย่าให้พวกเขาสองคนต้องทะเลาะกันเพราะคุณ คุณสะบัดหน้าหนีอย่างไม่พอใจ สุดท้ายคนที่ต้องรับภาระก็คือน้องสาวคุณ !”
เมื่อนึกถึงสีหน้าเย่อหยิ่งและมั่นใจในตนเองของกู้จื้อชิว เขาก็พยักหน้าและถอนใจอย่างจนปัญญา “ทุกคนมีชีวิตเป็นของตน เราเองก็ไม่ต้องไปสนใจ” เมื่อพูดจบก็มองไปทางสีหน้าที่เป็นกังวลของคังคัง จากนั้นก็คลี่ยิ้มและยื่นมือออกไปอุ้มคังคัง “เอาเวลามาเล่นกับลูกดีกว่าเนอะ”
“ใช่ คุณมีเวลาให้ลูกน้อยเกินไป” จางฉุ้ยเหลียนคล้อยตาม แต่ก็ยังรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหัวใจ การที่แม่สามีบงการน้องสามีหนักขึ้นทุกวัน ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
MANGA DISCUSSION