ตอนที่ 331 แม่สามีและลูกสะใภ้
“เรื่องนี้อ่ะนะ ? ” ฟู่ซินยิ้มและมองจางฉุ้ยเหลียน “เธอคิดว่าการหนีไปหลบซ่อนตัวที่ชนบท จะหลบพ้นงั้นหรือ ? ”
เขายืดขายาว ๆ ออกอย่างเกียจคร้าน พร้อมกับส่งเสียง ‘เฮ้อ’ ออกมา จากนั้นก็มองจางฉุ้ยเหลียนในท่าทางที่สบาย ๆ “เธอน่ะ ใจอ่อนเกินไป” ฟู่ซินยิ้มตาหยี “ฉันรู้เรื่องของเสี่ยวจวินดี ฉันช่วยจัดการเขาแทนได้นะ เธอกลับไปรอสบาย ๆ ที่บ้านดีกว่า ! ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้กลัวฟู่ซิน ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความผิดหลายกระทงก็ตาม แต่เธอก็ยังพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจว่า “นายบอกฉันมาสิว่านายเตรียมจะรับมืออย่างไร ? ตอนนี้เรื่องราวในบ้านก็วุ่นวายยุ่งเหยิงมากพออยู่แล้ว เพราะฉันคิดไม่ออกว่ามีทางไหนที่จะทำให้ลำบากอึดใจเดียว สบายตลอดไป”
“นิสัยรีรอไม่กล้าตัดสินใจของเธอน่ะ ทำเรื่องลำบากเหล่านั้นได้ไม่นานหรอก!” เสียงทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตู จางฉุ้ยเหลียนจึงอดที่จะหันไปมองไม่ได้
มู่จิ้นหนานที่แต่งกายด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่สีเทาเข้มยืนอยู่หน้าประตู นอกจากนี้ยังมีปลอกคอของสัตว์อะไรสักอย่างพันอยู่รอบ ๆ ปกเสื้อคลุม เขาเดินไปทางจางฉุ้ยเหลียน ก่อนจะนำภาพสเก็ตบางอย่างออกมา นั่นคือสุนัขจิ้งจอกขนแหว่ง 1 ตัว และสุนัขจิ้งจอกขนดกดำทั้งตัวอีก 1 ตัว
จางฉุ้ยเหลียนอยากถามมู่จิ้นหนานว่าถ้าสุนัขจิ้งจอกคึกกัดคุณขึ้นมา คุณไม่กลัวบ้างหรือ ? แต่เธอก็ไม่กล้าจะถามแบบนี้ เพราะมู่จิ้นหนานคงหัวเราะเยาะเธอแน่
“ในหมู่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ได้ไหม ? ” มู่จิ้นหนานนั่งลงข้างกายของฟู่ซิน ขาเรียวยาวคู่นั้นก็ยกขึ้นมาไขว่ห้าง เมื่อก่อนจางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าขาเรียวคู่นั้นมีเสน่ห์มาก แต่ทำไมตอนนี้มู่จิ้นหนานถึงได้ซูบผอมแบบนี้ ?
“ทำไมคุณถึงได้ผอมแบบนี้ล่ะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนโพล่งถามออกมา เดิมทีมู่จิ้นหนานไม่ได้อวบอ้วนหรอก แต่ตอนนี้เขาเหมือนกับคนได้รับการผ่าตัดดูดไขมันเปลี่ยนชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าอันหล่อเหลา บัดนี้ก็ดูเหมือนได้รับการแกะสลักด้วยใบมีด แก้ม ปลายคางก็บางลงอย่างชัดเจนราวกับชั้นกระดาษ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ธารน้ำแข็งก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะละลาย ยังคงต้องใส่กางเกงผ้าฝ้ายบาง ๆ แต่ทำไมขาที่เนียนละเอียดของมู่จิ้นหนานเหมือนกับต้นไผ่ เรียวขายาวที่ห่อหุ้มอยู่ภายใต้เสื้อคลุมตัวใหญ่ยังคงเนียนละเอียดซึ่งทำให้จางฉุ้ยเหลียนอิจฉาไม่น้อย
มู่จิ้นหนานอดไม่ได้ที่จะสัมผัสใบหน้าของตน พร้อมทั้งเลิกคิ้ว กะพริบตาปริบ ๆ “เธอมองออกหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า แล้วอยู่ ๆ ก็คิดถึงนิสัยชอบสร้างปัญหาของหูจิ่นเหมิงขึ้นได้ “เสี่ยวหูก่อเรื่องอีกแล้วใช่ไหม ? ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้น …”
ดูเหมือนว่ามู่จิ้นหนานจะสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของจางฉุ้ยเหลียน แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก ฟู่ซินที่อยู่ข้างกายก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า “เสี่ยวหูเป็นเด็กที่เชื่อฟังจะตายไป มีฉันคอยเป็นหูเป็นตาให้ เธอวางใจได้”
ก็เพราะมีนายเป็นหูเป็นตาให้นี่แหละจึงยิ่งไม่วางใจ จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดอย่างอดไม่ได้ “ถ้าหูจิ่นเหมิงไม่ได้ก่อปัญหา แล้วมันเรื่องอะไรกันถึงทำให้มู่จิ้นหนานซูบผอมแบบนี้ ? ”
“คุณป่วยหรือเปล่า ? ป่วยเป็นอะไร ? ไปโรงพยาบาลแล้วหรือยัง ? คุณหมอว่าอย่างไรบ้าง ? ” จางฉุ้ยเหลียนยิงคำถามติดต่อกันหลายคำถาม
มู่จิ้นหนานที่โดนถามก็รู้สึกดีทีเดียว ก่อนจะเงยหน้าหัวเราะ ฮ่า ๆ เสียงดัง จากนั้นก็ยื่นปลายนิ้วอันเรียวยาวดุจมือนางในวังออกมาและพูดว่า “ไม่มีอะไร ผมคงเหนื่อยจากการทำงานหนักไปหน่อยเท่านั้น”
งานอะไรถึงทำให้คน ๆ หนึ่งเหนื่อยจนตกมาอยู่ในสภาพนี้ จางฉุ้ยหลียนแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอย่างชัดเจน ฟู่ซินที่อยู่ข้างกายก็พูดอีกครั้ง “เอาล่ะ เดี๋ยวเธอชินกับเรื่องนี้ก็หาทางแก้ไขได้เองแหละ”
จางฉุ้ยเหลียนเม้มปากและยิ้ม “นิสัยนี้ของฉันเปลี่ยนไม่ได้หรอก พวกคุณจะว่าไง ? ”
เธอไม่ได้ถามสถานการณ์ในตอนนี้ของมู่จิ้นหนานอีก และก็ไม่ได้ถามงานที่พวกเขาทั้งสองทำในตอนนี้ด้วย เส้นทางที่ฟู่ซินเลือกเดินนั้นแตกต่างกับตนมาก ตอนนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถามอะไร
“เธอกับคน ๆ นั้นมีความสุขดีใช่ไหม ! ” มู่จิ้นหนานเปลี่ยนหัวข้อทันใด แล้วถามถึงกู้จื้อเฉิง
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างไร้เดียงสา เมื่อไม่พบท่าทางประหลาดใจของมู่จิ้นหนาน เธอจึงคลี่ยิ้มงดงามราวกับดอกไม้ จนเกือบจะกระโดดโลดเต้นกันไปแล้ว “ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวัน ไม่ต้องวิ่งไปทางโน้นทีย้ายมาทางนี้ที แถมเวลามีเรื่องอะไร เราก็ยังสามารถปรึกษากันได้ เพราะถึงอย่างไรฉันก็ไม่สนใจคนอื่นว่าจะคิดยังไง ที่พึ่งของฉันกลับมาแล้ว”
“เหอะ ที่พึ่ง ที่บ้านเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ทำไมที่พึ่งของเธอถึงไม่ช่วยแก้ไขล่ะ ? ” น้ำเสียงอึมครึมของมู่จิ้นหนานแฝงไปด้วยการเหยียดหยามที่มีต่อกู้จื้อเฉิง
จางฉุ้ยเหลียนคุ้นชินกับทัศนคตินี้ของเขาแล้ว เขาเป็นคนที่เย่อหยิ่งและชอบเหยียดหยามคนอื่น แต่ก็อดแก้ตัวให้กับสามีไม่ได้ “เรื่องใหญ่สำหรับฉัน แต่ยังไม่เหมาะสมพอจะให้สามีฉันมาช่วยแก้ปัญหาหรอก เพราะสามีของฉันเป็นคนที่ชอบคิดทำการใหญ่!”
พูดถึงเรื่องใหญ่ ฟู่ซินก็อดยิ้มเยาะออกมาไม่ได้ จากนั้นก็ชำเลืองมองไปทางมู่จิ้นหนาน และพึมพำอยู่ในใจ คิดทำการใหญ่ คุณโดนหลอกแล้วล่ะมั้ง ข้าราชการในหมู่บ้านชนบทจะคิดทำการใหญ่อะไร นอกจากจะเป็นผู้ว่าราชการไปแล้วล่ะ
หลังจากติดตามมู่จิ้นหนานพักใหญ่ ก็ได้เข้าใจอำนาจของเขาอย่างช้า ๆ ฟู่ซินเพิ่งได้รู้ว่าอะไรเรียก คนคิดทำการใหญ่ อะไรที่เรียกว่า เงินหลั่งไหลเข้ามาดั่งสายน้ำ
เมื่อก่อนเขารู้สึกว่าหูจิ่นเหมิงน่าสงสารมาก ลุงของเธอต้องเข้ามาสนับสนุนอย่างอดไม่ได้ แต่ตอนนี้ถึงได้เข้าใจ นั่นคือสภาพชีวิตปกติ
จำนวนเงินเล็กน้อยของคนทั่วไปคือ 500-600 หยวน แต่เงินติดกระเป๋าเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับหูจิ่นเหมิงคือจำนวน 3,000 ต่อ 1 เดือน ! เงินจำนวน 3,000 หยวนเป็นเงินติดกระเป๋าเล็ก ๆ น้อย ๆ ใน 1 เดือนของหูจิ่นเหมิงภายใต้สถานการณ์ที่มีหญิงชราคอยดูแล
พระเจ้า ฟู่ซินอดรู้สึกปวดใจไม่ได้ เด็กคนนั้นมีชื่อเสียงมาตั้งแต่เล็กจนโตและโด่งดั่งไปทั่วภายในและนอกเมือง เวลาไปโรงเรียนก็ต้องนั่งรถแท็กซี่ ใช่ว่ามู่จิ้นหนานจะไม่จัดคนขับรถให้หล่อน แต่หูจิ่นเหมิงแค่กลัวเสียหน้าเท่านั้น
การมีรถของที่บ้านไปรับ-ส่งโรงเรียนเป็นเรื่องน่าอายสำหรับหล่อน ฟู่ซินไม่เคยเห็นเด็กแบบนี้มาก่อน แต่เขาก็พอเข้าใจได้ ถึงจะเป็นแบบนี้ มู่จิ้นหนานก็ทำการเปลี่ยนเป็นสะกดรอยตามแทน ซึ่งทำให้หูจิ่นเหมิงรู้สึกไม่เป็นอิสระ หล่อนชอบเดินเที่ยวโดยไม่ต้องให้ใครมาสนใจ
ฟู่ซินอดมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ กระนั้นทำได้แค่ร้องตะโกนอยู่ในใจ เขาคือคนที่คิดทำการใหญ่ แล้วกู้จื้อเฉิงของเธอล่ะ เรียกว่าอะไร ? ชิ ยังสู้คนแก่ได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
บรรยากาศภายในห้องเงียบลงฉับพลัน จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก แต่เธอไม่ยอมให้ตนต้องอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนน่าอึดอัดใจแบบนี้หรอก เธอลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มและเตรียมจะจากไป
“เธอจะไปไหน ? ” มู่จิ้นหนานถาม “ฉันมีวิธีอดทนกับความลำบากแล้ว เธออยากฟังไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนนั่งลงอีกครั้ง จากนั้นก็มองไปทางมู่จิ้นหนานด้วยความอยากรู้ “วิธีอะไร เล่ามาสิ ! ”
หลังจากฟังมู่จิ้นหนานเล่าถึงวิธีการของตนด้วยน้ำเสียงขึ้นลงเพื่อเร้าความตื่นเต้นแล้ว สีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนกับฟู่ซินก็ซีดเผือดขึ้นเรื่อย ๆ
…
“พวกคุณทำเกินไปหรือเปล่า ? ใจดำอำมหิตเกินไปหรือเปล่า ? ” เมื่อกู้จื้อเฉิงฟังจบก็แทบกระอักเลือดออกมา และอดตำหนิจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ “แม้ว่า แม้ว่าจะสั่งสอนหล่อนแล้ว แต่ก็ไม่น่าถึงกับต้องทำแบบนี้เลยนี่น่า พวกคุณเป็นอะไรไป? อยู่ในสโมสรสีดำกันหรือไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเช่นกัน แต่วิธีการนี้เป็นวิธีสุดท้ายแล้วจริง ๆ อีกทั้งหลังจากนั้นเธอก็ไม่สามารถควบคุมได้อีกเลย เธอสามารถกำราบฟู่ซินได้แต่ไม่สามารถควบคุมมู่จิ้นหนานได้ เขาคือลาพยศ ที่ไม่เกรงกลัวใครทั้งนั้น
“ฉันเคยไปที่นั่นมาก่อน คุณรู้ไหมว่าฉันเจออะไร ? ในขณะที่แม่ของฉันนอนอยู่บนเตียง หลานชายตัวน้อยก็ได้ปีนขึ้นมาบนผ้าห่มข้างกายหล่อน ส่วนยิงเจี๋ยได้แต่กินบะหมี่อยู่ในห้อง โดยไม่ถามแม่ของฉันสักคำ หลานชายร้องไห้โยเยเพราะหิว หล่อนไม่พูดและไม่ออกมาดูลูกเลย” หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเข้ามาในบ้านของเช่าหวา ก็พบว่าบ้านที่เดิมทีไม่ได้สะอาดมากอยู่แล้ว กลับกลายเป็นสกปรกและกระจัดกระจายไปด้วยข้าวของมากกว่าเดิม
ทุกซอกทุกมุมในบ้านเต็มไปด้วยผ้าอ้อมสำเร็จรูปของเด็ก บนพื้นก็เต็มไปด้วยกะละมัง ลูกชายของจางฉุ้ยจวินมีชื่อว่า เสี่ยวหยวนเปา เขาบอกว่าอยากให้เด็กเติบโตเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย
ช่างสอดคล้องกับสันดานของคนเหล่านี้จริง ๆ จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางเด็กน้อยที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี เขาทั้งผอมและตัวเล็กมาก ไม่เหมือนคังคังเจ้าเนื้ออวบอ้วนแทบจะกลิ้งได้เลยสักนิด
ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนอุ้มเขาขึ้นมาก็ต้องพบกับกลิ่นฉี่ลอยหึ่ง เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงดูอย่างไร เสื้อผ้าก็สกปรกมอมแมม ตัวเด็กก็เหม็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้มของเขา ‘แดงเถือกไปทั้งแก้ม’
เธอชอบเด็กมาก ต่อให้เด็กจะหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่ชอบคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำมูกหรือแดงเถือกแบบนี้ อันหลงเรียกเลือดฝาดแดงเถือกแบบนี้ว่า ‘ปื้นแดงใหญ่’ บอกว่าไม่มีเด็กดีคนไหนเป็นแบบนี้
เธอเป็นแม่คนหนึ่ง ย่อมไม่ชอบเด็กแบบนี้อยู่แล้ว จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในกระเป๋า และเช็ดใบหน้าเด็กจนสะอาด เมื่อเช่าหวาเห็นการกระทำของจางฉุ้ยเหลียน จึงพาลคิดว่าลูกสาวจะล้วงเงินออกมา แต่ผลสุดท้ายกลับเป็นผ้าเช็ดหน้า แววตาลุกวาวนั้นจึงค่อย ๆ บางเบาลง
“เอาล่ะ แม่ของเขายังไม่สนใจเลย แกจะไปสนใจทำไม ? เหอะ แกเห็นไหม เขาหิวแต่ไม่ตายเสียหน่อย” เช่าหวาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็ตะโกนไปทางห้องนอนของยิงเจี๋ย “แกจะนอนตายอยู่ในห้องเลยหรือไง ? พี่สาวแกมาเยี่ยม ไม่รู้จักออกมากล่าวทักทายยกน้ำมาเสิร์ฟหน่อยหรือไง”
เมื่อพูดจบ ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นประตูห้องถัดไปก็เปิดออก ผู้หญิงที่รูปร่างอ้วนตุ๊บเปลี่ยนไปคนละคนเดินออกมา ยิงเจี๋ยมองพิจารณาจางฉุ้ยเหลียนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “ไอ้หยา พี่สาวมาเยี่ยมแล้ว พี่ยุ่งจะตายไป ทำไมวันนี้ถึงได้มาเยี่ยมหลานชายล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนอุ้มเสี่ยวหยวนเปานั่งตัก และในเวลาเดียวกันก็ใช้น้ำเสียงเย็นชาตอบกลับไป “ฉันได้ยินมาว่าเสี่ยวหยวนเปาป่วยหลังจากคลอดได้ไม่ถึง 2 เดือน แม่ก็ดูแลไม่ไหว จึงอยากมาถามหน่อย เธอเป็นแม่คนแล้วแต่กลับไม่รักลูกเลยสักนิด ไม่สนใจเด็กเลยอย่างนั้นหรือ ? ”
ยิงเจี๋ยเหมือนแม่ไก่ที่โดนทอด แผดเสียงแหลมใส่เช่าหวา “ฉันรู้นะว่านังหญิงแก่คนนี้พูดว่าร้ายฉันอย่างไรบ้าง ? แล้วทำไมฉันต้องไปดูแลเด็กที่เป็นภาระด้วยล่ะ ? ”
เช่าหวาดีดตัวขึ้นจากเตียงทันใด จากนั้นก็เท้าสะเอวและเริ่มด่ากลับ ทั้งสองคนเหมือนไก่ตัวผู้ที่กำลังต่อสู้กันอยู่ เสียงของหล่อนนั้นสูงกว่าเสียงของฉันหลายเท่า คำพูดของคุณยากที่จะรับฟังได้ยิ่งกว่าคำพูดของฉันหลายเท่า
จางฉุ้ยเหลียนอุ้มเสี่ยวหยวนเปาที่ตกใจจนร้องไห้ไว้ จากนั้นก็ตะโกนใส่ทั้งสองคนอย่างจนปัญญา “นี่เด็กกลัวหมดแล้ว พวกคุณต่างก็มีเหตุผลของตน ถ้าเอาแต่รับผิดชอบในหน้าที่ของตน แล้วเด็กคนนี้ใครจะมาดูแล ? ฉันว่าทั้งสองก็ไม่ต่างอะไรกันเลยนะ ใครก็ว่าใครไม่ได้!”
เช่าหวานั่งบนเตียงด้วยความโกรธ จากนั้นก็ยืดคอและพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “แกไม่ดูแลก็เรื่องของแก นี่ไม่ใช่ลูกที่ฉันคลอด ฉันจะสนใจเรื่องที่เลวร้ายจริง ๆ ของหลานชายคนที่สาม ได้ก็เลี้ยง ไม่ได้ก็ไป ! ”
ยิงเจี๋ยได้ยินน้ำเสียงที่ดังก้องกังวานนั้น ก็วาดแขนที่หยาบกระด้างออกไปเหมือนคางคกตัวอ้วนที่กำลังคลุ้มคลั่ง “ไปก็ได้ คืนเงินให้ฉันด้วย ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย!”
เงินอะไร ? จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางเช่าหวาอย่างตกตะลึง หรือว่าแม่จะเอาเงินของยิงเจี๋ยไป ?
MANGA DISCUSSION