ตอนที่ 330 เรื่องอื้อฉาวของคนในครอบครัว
จางฉุ้ยเหลียนพูดเรื่องของยิงเจี๋ยด้วยความกลัดกลุ้มใจ เช่าหวาหาเธอไม่เจอแม้แต่เงาก็เลยวิ่งมาฟ้องตงลี่หวาถึงที่
หลังจากที่ยิงเจี๋ยคลอดลูกแล้วก็บอกว่าร่างกายของตนนั้นไม่ค่อยแข็งแรง จึงยกลูกให้เช่าฮวาดูแล แต่เนื่องจากไม่มีน้ำนม บอกว่าตัวเองกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์จึงต้องให้เด็กเปลี่ยนมากินนมผงตอนอายุไม่ถึง 3 เดือน
จางฉุ้ยเหลียนตามฟู่ซินไปทั่วทุกหนแห่ง จนกระทั่งได้รับความรู้และสร้างเงินได้อย่างมหาศาล เช่าหวาต้องไปรับเงินค่าเลี้ยงดูจากครึ่งหนึ่งของเงินเดือนจางกว่างฝู และเงินเดือนจากจางฉุ้ยจวินทุกเดือน
แต่ยิงเจี๋ยก็ยังขี้เกียจสันหลังยาวเช่นเดิม หล่อนเอาแต่นอนอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปไหนทั้งวัน ถึงแม้จะทะเลาะกับเช่าหวาเป็นครั้งคราวก็ตาม แต่สำหรับสะใภ้ที่แต่งเข้ามาในบ้านในระยะเวลา 1 ปีก็ถือว่าเป็นครึ่งชีวิตแล้ว
ทุกวันนี้ เช่าหวาต้องคอยเดินวนเวียนอยู่รอบตัวหลานชาย เปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนนมผง ส่งผลให้เด็กมักชอบร้องไห้งอแงกลางดึก เมื่อเป็นเช่นนี้ นานวันเข้าร่างกายของหล่อนก็เริ่มซูบผอมลงเรื่อย ๆ อารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่ายเข้าไปทุกที
“มีอยู่วันหนึ่ง ยิงเจี๋ยกลับไปกินเลี้ยงที่บ้านฝ่ายแม่ของตน แต่ดันเผลอล็อกประตูบ้าน แม่ของฉันจึงต้องไปทำกุญแจใหม่ คุณลองเดาสิว่าแม่ฉันเจออะไร ? ” จางฉุ้ยเหลียนถามกู้จื้อเฉิงด้วยอารมณ์ที่ทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดและตลก
กู้จื้อเฉิงจะพูดอะไรได้ ? หรือดันไปเห็นว่าห้องนอนของน้องเมียมีของบางอย่างซ่อนอยู่ ? ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ควรเข้าไปวุ่นวายในห้องส่วนตัวของเขาสิ แม่ของภรรยาคนนี้มักจะทำเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้เสมอเลย
“แม่ของฉันหาของอะไรบางอย่างเป็นครึ่งวันแต่กลับไม่พบ หล่อนรู้สึกไม่ชอบมาพากล เพราะบางครั้งที่ยิงเจี๋ยออกไปเที่ยวข้างนอก มักจะแบกกระเป๋าเป้บรรจุอะไรไม่รู้ออกไปด้วย หล่อนคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะซื้อเสื้อผ้าก็ได้ หล่อนเปิดตู้หัวเตียง” จางฉุ้ยเหลียนหยุดชะงัก จากนั้นก็มองกู้จื้อเฉิง และพูดอย่างจนปัญญาว่า “หล่อนพบของกินมากมายอยู่ใต้ผ้าห่มของยิงเจี๋ย”
กู้จื้อเฉิงผงะทันที “ใต้ผ้าห่มเนี่ยนะ ? เอาของกินไปไว้ใต้ผ้าห่มทำไม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดอย่างเอือมระอา “เพราะกลัวว่าแม่ของฉันจะกินไง แม่บอกว่าผ้าห่มของหล่อนเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน เพราะหล่อนเอาของกินมากินบนเตียงทุกวัน”
กู้จื้อเฉิงหลุดขำออกมาจนไม่อาจหยุดขำได้ เมื่อเห็นจางฉุ้ยเหลียนแสดงสีหน้าเหยเก เขาก็รีบหุบยิ้มทันที จางฉุ้ยเหลียนเองก็ยังคิดว่ามันเหลือเชื่อเลย เนี่ยแหละเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน อย่างไรก็ไม่มีทางเข้ากันได้
นอกจากนี้ ภายในตู้ของยิงเจี๋ยก็ยังมีของกินซุกซ่อนไว้อีกเป็นจำนวนมาก โดนส่วนใหญ่เป็นของกินประเภททอดน้ำมันทั้งสิ้น ทั้งแป้งเกลียวทอด ปาท่องโก๋ คุกกี้ และขนมงาทอด เช่าหวาโกรธจนควันออกหู จนกระทั่งไปลากตัวยิงเจี๋ยมาสั่งสอนถึงในบ้านฝ่ายแม่เลยทีเดียว
หล่อนเข้าไปโหวกเหวกโวยวายอยู่ในบ้านฝ่ายแม่ของยิงเจี๋ย แต่ยิงเจี๋ยยังคงปากแข็ง บอกว่าเป็นสินเดิมของฝ่ายหญิง เช่าหวาอยู่กับยิงเจี๋ยมานาน 1 ปี ย่อมมองออกว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร
ปากหวานแต่จิตใจขมยิ่งกว่ายา ไม่มีเสน่ห์เลยสักนิด เมื่อครั้งแต่งงานเข้าบ้านตอนแรก บ้านฝ่ายหญิงไม่ได้เรียกค่าสินสอด แต่เงินสินสอดที่ยิงเจี๋ยพูดถึง จริง ๆ แล้วคือค่ากินค่าใช้ที่หลอกลวงมาได้จากจางฉุ้ยจวินต่างหาก
แต่น่าเสียดายที่จางฉุ้ยจวินยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ จนกระทั่งเช่าหวาโวยวายใหญ่โตไปฉากหนึ่ง ตอนนั้นเขาจึงได้รู้ว่าแต่งงานกับคนแบบไหน แต่ในเวลานี้เรื่องราวบานปลายและแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเขาให้เงินยิงเจี๋ยไปใช้กินหมดแล้ว
เหตุผลของยิงเจี๋ยนั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น เช่าฮวาปฏิบัติตัวไม่ดีกับเธอ เพราะไม่บำรุงร่างกายจึงไม่มีน้ำนม เพราะไม่บำรุงดังนั้นร่างกายจึงอ่อนแอ
แต่หล่อนกินซุปปลานิลทุกวัน ขาหมูก็กินไม่มีหยุด ตอนนี้หล่อนอ้วนกว่าก่อนท้องเกือบ 50 กิโลกรัมเสียอีก ใครจะไปเชื่อว่าหล่อนไม่ได้รับการบำรุง ?
เช่าหวาเป็นคนขี้งกมากคนหนึ่ง ขนาดจางฉุ้ยเหลียนเองก็ยังกัดไม่ปล่อย แล้วทำไมหล่อนจะต้องปล่อยสะใภ้คนนี้ให้ลอยนวลด้วย แต่เนื่องจากยิงเจี๋ยเป็นผู้หญิงที่หน้าด้านหน้าทนมาก จึงสู้สุดใจ ใช้วิธีไปโวยวายใส่ลูกชายของหล่อนทั้งวัน
หลังจากที่ผ่านการทะเลาะกันของแม่สามีและลูกสะใภ้ครั้งนี้ ทั้งสองคนก็เกิดปมแค้นขึ้นในใจ เช่าหวาไม่ให้ยิงเจี๋ยกินข้าว ยิงเจี๋ยจึงแอบไปขโมยนมผงของลูก ทะเลาะกันไปมาแบบนี้ทั้งวัน จนต้องการขอแยกไปอยู่เป็นการส่วนตัว และต้องการหย่าแบ่งสินทรัพย์
เช่าหวาโกรธหน้ามืดตามัว ด้วยความไม่ระวังจึงลื่นล้มลงไปกับพื้น การลื่นล้มในครั้งนี้ทำให้เอวของหล่อนเคล็ดจนต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
จางฉุ้ยเหลียนหันไปมองกู้จื้อเฉิง “ฉันคิดว่าการลื่นล้มจนเอวได้รับบาดเจ็บครั้งนี้เป็นเรื่องโกหก แต่ของกินที่ยิงเจี๋ยกินจนหมดเกลี้ยงเป็นเรื่องจริง เงินที่พ่อเก็บไว้ก็ยกให้แม่ไปหมดแล้ว ตอนนี้เขาก็โกรธจนน้ำท่วมปากเช่นเดียวกัน เขาไม่สามารถฝากความหวังกับลูก ๆ ว่าต้องให้เงินเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า ผลสุดท้ายนึกไม่ถึงว่าจะถูกแม่หลอกเอาเงินไปใช้จนเกลี้ยง แม่ของฉันก็ดันมาถูกยิงเจี๋ยตลบหลังอีก ตอนนี้ระบบระเบียบในบ้านเละเทะราวกับโจ๊กไปแล้ว”
กู้จื้อเฉิงนึกถึงตอนที่เช่าหวาพาจางฉุ้ยเหลียนขึ้นศาลอย่างไม่ลังเล เรียกร้องให้เธอส่งเสียเงินเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า จนจางฉุ้ยเหลียนต้องงัดเอาหลักฐานมากมายมาพิสูจน์ว่าตนนั้นไม่ได้ปฏิบัติตัวไม่ดีกับมารดา และยังขัดขวางข้อเรียกร้องในการปฏิบัติต่อทุกคนของจางฉุ้ยเหลียนอีกด้วย
หลังจากทำข้อตกลงแล้ว จางฉุ้ยเหลียนต้องส่งเงินเลี้ยงดูให้เช่าหวาทุกเดือน เงินในจำนวนนี้เป็นเงินที่จางฉุ้ยเหลียนต้องจ่ายในครั้งเดียว ดูเหมือนว่าเช่าหวาจะใช้เงินก้อนนี้หมดเกลี้ยงแล้ว และคิดหาหนทางที่จะเรียกร้องเงินจากจางฉุ้ยเหลียนอีกครั้ง
กู้จื้อเฉิงไม่คัดค้านจางฉุ้ยเหลียนที่จะคอยให้การสนับสนุนพ่อแม่ แต่เมื่อเห็นเช่าหวาสร้างปัญหาให้ขนาดนี้เขาก็รู้สึกปวดใจแทนไม่ได้ จางฉุ้ยเหลียนมักจะกลัวว่าตนนั้นจะตาบอดและนำเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ไปสร้างปัญหาให้กับกู้จื้อเฉิง จนเสียใจมากกับสิ่งที่ทำ
“ฉันคิดดีแล้ว ครั้งนี้ฉันจะไม่ขี้ขลาดอีก ถ้าหล่อนป่วยจริง ๆ ฉันกับจางฉุ้ยจวินจะออกเงินให้หล่อนคนละครึ่ง แต่ถ้าหล่อนไม่ได้ป่วย แต่อยากได้เงิน ซึ่งฉันไม่มีอีกแล้ว” จางฉุ้ยเหลียนพิงไหล่ของกู้จื้อเฉิง และแสดงความรู้สึกที่คับแค้นอยู่ในใจจนมิอาจปิดบังได้ออกมา “ฉันอยากตัดความสัมพันธ์กับหล่อนอยู่หลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่ทางศาลไม่รับฟ้องร้องคดีแบบนี้ ไอ้หยา ฉันกลุ้มใจจริง ๆ นะ”
กู้จื้อเฉิงแตะไปบนหน้าของจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณบอกว่าพระเจ้ายุติธรรมที่สุดไม่ใช่หรือ ยิ่งลำบากมากเท่าไหร่ ก็จะได้รับความสุขมากขึ้นเท่านั้น ”
จางฉุ้ยเหลียนนึกถึงศึกมหาโหดเมื่ออดีตชาติ เมื่อมาคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง ความสุขที่พบเจอในชาตินี้มากกว่าอดีตชาติเป็นไหน ๆ อย่างน้อยเธอก็ได้อยู่เคียงข้างกู้จื้อเฉิงไม่แยกจากกัน มีเงินมีลูกที่เป็นแก้วตาดวงใจ พูดได้ว่าเมื่ออดีตชาตินั้น เธอไม่กล้าแม้แต่จะหวัง เหลือเพียงแค่ปัญหาที่ตามมาทีหลัง ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้เธอแต่อย่างใด
“พูดจริง ๆ นะ คนจนก็มีความลำบากใจของคนจน คนรวยก็มีความเจ็บปวดแบบคนรวย มีเงินไม่จำเป็นต้องมีความสุขตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนเราไม่เห็นเท่านั้น” จางฉุ้ยเหลียนทอดถอนใจว่าชีวิตของเธอนั้นได้ขัดเกลาตัวตนอย่างหนักหน่วง
กู้จื้อเฉิงนึกถึงตุนจื่นขึ้นมาได้ จึงถือโอกาสนำเรื่องราวของตุนจื่อเล่าให้เธอฟัง จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่ากู้จื้อเฉิงกำลังอบรมสั่งสอนเธอ จึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ
“ฉันรู้ คุณวางใจเถิด ฉันไม่มีทางทำให้ตัวเองโกรธหรอก” จางฉุ้ยเหลียนพูดกับกู้จื้อเฉิงแบบนี้ และทำแบบนี้จริง ๆ
เธอกลับไปส่งคังคังที่เมือง Q เนื่องจากไม่เจอพ่อแม่ของสามีนานมากแล้ว เมื่อเห็นคังคังกลับมา เวลานั้นไม่มีอะไรอยู่ในสายตาของตงลี่หวานอกจากคังคังคนเดียว เซี่ยจวินถึงกับหยุดงานไม่ไปโรงงาน ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงจนกลายเป็นเส้นยาว จากนั้นเดินมาข้างกายของคังคัง และเล่นกับเขาอย่างสนุกสนาน
อันหลงยังไม่กลับ บอกว่าจะกลับมาพร้อมกู้จื้อชิว ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนไม่มีอารมณ์ไปเยี่ยมกู้เต๋อไห่แทนกู้จื้อเฉิง แต่เลือกที่จะไปหาจางกว่างฝูก่อนเป็นคนแรก
เมื่อจางกว่างฝูเห็นจางฉุ้ยเหลียน ก็ระบายความคับแค้นใจเกี่ยวกับยิงเจี๋ยให้ฟัง จากนั้นก็รายงานจางฉุ้ยเหลียนอีกว่า “แม่ของแกไม่ได้ป่วยหรอก ถ้าแกกลับบ้านก็อย่าให้เงินหล่อนแล้วกัน ตอนนี้หล่อนบ้าไปแล้ว ให้ท้ายยิงเจี๋ยแล้วเป็นไงล่ะ ? สุดท้ายก็โดนไล่ตะเพิดกลับบ้าน!”
เงินเดือนของจางฉุ้ยจวิน เดิมทีจะต้องให้ค่าใช้จ่ายกับเช่าหวาทุกเดือนอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อหาเงินได้เยอะขึ้น เขาก็ให้ยิงเจี๋ยเก็บไว้ในธนาคาร ยิงเจี๋ยหลอกเอาเงินของจางฉุ้ยจวินไปมากมาย บอกว่าจะเอาไปเก็บไว้ในสมุดธนาคาร จางฉุ้ยจวินก็เชื่อว่าเป็นความจริง คิดว่าตนนั้นมือเติบใช้เงินไม่รู้จักคิดอยู่แล้ว เก็บไว้กับตัวก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ลูกชายก็ได้คลอดออกมา ส่วนที่ต้องจ่ายค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว จะว่าไปก็รวมกับเงินของฟู่ซินด้วยนะ ไหนจะกิน ไหนจะดื่ม อย่างไรฟู่ซินก็ต้องเข้ามาช่วยจ่าย
แต่นึกไม่ถึงว่ายิงเจี๋ยจะขี้งกถึงขนาดนี้ เดิมทีหล่อนไม่ได้เอาเงินเข้าธนาคารอยู่แล้ว และหล่อนก็ใช้เงินของจางฉุ้ยจวินไปแล้วส่วนหนึ่ง แถมยังแอบขโมยอีกส่วนหนึ่งไปซ่อนด้วย
หลังจากเกิดเรื่องในคราวนั้น หล่อนก็ไม่ยอมเอาสมุดธนาคารให้อีกเลย จางฉุ้ยจวินไม่ให้เงินก็ทุบตีเด็ก เช่าหวาโกรธเคืองแต่ก็ได้แค่ร้องไห้ทุกวัน
เช่าหวามองออกว่ายิงเจี๋ยเป็นผู้หญิงปากหวานแต่จิตใจขมยิ่งกว่ายา แต่เพราะโกรธถึงขนาดต้องทุบตีเด็ก เด็กเพิ่งจะเกิดมาได้ไม่ถึง 1 เดือนก็ป่วยหนัก แม่แบบนี้ไม่ควรปล่อยให้ลอยนวล เช่าหวาเป็นคนออกค่ารักษาพยาบาลให้หลาน นอกจากเฝ้าที่โรงพยาบาลแล้ว ยิงเจี๋ยก็ไม่ออกค่ารักษาเลยแม้แต่แดงเดียว
เมื่อเกิดปัญหาใหญ่โตถึง 2 ครั้ง เช่าหวาก็ตัดสินใจฟ้องร้อง หล่อนนำเงินที่มีอยู่ไปจ่ายจนหมดเกลี้ยง ซึ่งทำให้หล่อนหมดปัญญา สุดท้ายก็เกิดความคิดชั่วช้าอยากจะหลอกเอาเงินจากจางฉุ้ยเหลียน
จางฉุ้ยเหลียนไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก “แม่ขัดสนเรื่องเงินก็มาพูดกับหนูตรง ๆ เพราะไม่ว่าเรื่องอะไร จะยืมเงินเท่าไหร่ ? หนูจะมีมากหรือมีน้อย ทำไมต้องแกล้งป่วยมาหลอกหนูด้วย ? ”
จางกว่างฝูหัวเราะฮ่า ๆ ออกมา แต่กลับเยาะเย้ยอยู่ในใจ “จะให้พูดความจริงว่าแกให้ได้เท่าไหร่น่ะหรือ ? ก่อนจะแต่งงาน พ่อก็แยกตัวออกมาจากครอบครัวของพ่อแล้ว ตอนนี้แกไม่เห็นเราเป็นคนด้วยซ้ำ วันเกิดเซี่ยจวิน แกก็เชิญทุกคนมาร่วมเฉลิมฉลองกันที่ร้านอาหาร แถมยังแจกซองแดงซองใหญ่อีก พ่อก็อายุ 50 ปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นแกให้เงินพ่อสักแดงเดียว”
เขาทอดถอนใจ “ไม่มีใครเชื่อหรอก อย่างไรก็ต้องพึ่งตัวเอง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนนั่งอยู่กับจางกว่างฝูอีกชั่วครู่ก็กลับ แต่ก่อนจะกลับเธอก็หันไปมองชายชราที่ค่อนข้างซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด คิด ๆ แล้วก็เหมือนกับฝูงตั๊กแตนถล่มพืชไร่จนได้รับความเสียหายอย่างไรอย่างนั้น สุดท้ายก็ใจอ่อนและหยิบเงิน 500 หยวนจากในกระเป๋ายื่นให้จางกว่างฝู
จางกว่างฝูตกตะลึงไม่น้อย จากนั้นก็รับเงินมาจากในมือของจางฉุ้ยเหลียน โดยที่ระหว่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
จางฉุ้ยเหลียนไม่พูดอะไรทั้งนั้น นอกจากกำชับให้เขาดูแลตนเองแล้วจากไป
เธอไม่ได้ไปหาเช่าหวา แต่เลือกไปหาฟู่ซินแทน มหาเศรษฐีคนนี้ได้กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ที่ไม่ธรรมดาไปแล้ว บนคอของเขาเต็มไปด้วย ‘ทองคำ’ ทำให้เธออยากกระชากมันออกมาให้ขาดเสียรู้แล้วรู้รอด
คนในเมือง Q หลงใหลคลั่งไคล้ทองคำและขนสัตว์มาก ถึงแม้ว่าเธอจะจบชีวิตลงในปี 2012 ก็ตาม แต่ผู้คนเหล่านั้นก็ยังเป็นเหมือนเช่นทุกวันนี้ ชอบของอะไรที่มีสีเหลืองทองอร่าม
ผู้หญิงที่พูดได้ว่ามีฐานะหน่อย มักจะใส่เสื้อขนสัตว์หรูหราทั้งนั้น คนที่ดูผู้รากมากดีหน่อยก็จะใส่เสื้อคลุมขนสัตว์ราคาเป็นหมื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสร้อยทองเหลืองอร่ามวิบวับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ส่วนผู้ชายโดยส่วนใหญ่มักจะชอบใส่สร้อยทองขนาดเท้านิ้วก้อยบนคอทั้งนั้น
มหาเศรษฐีอย่างฟู่ซินคนนี้ ถือว่าได้รับโลโก้มาตรฐานของการเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นช่วงปี 90 ด้วยสร้อยทองเต็มคอ
“ทองคำที่ห้อยบนคอนายท่าทางจะหนักนะ นายไม่กลัวว่ามันจะหลุดหรือโดนใครกระชากไปบ้างหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าฟู่ซินเป็นเจ้าถิ่น สีเหลืองอร่ามที่วิบวับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแทบจะมีคำว่า ‘ฉันรวยมาก’ แปะอยู่บนหน้าผาก
เมื่อได้ยินจางฉุ้ยเหลียนเยาะเย้ย ฟู่ซินก็ไม่พอใจ เขานั่งลงที่โซฟาและยกเท้าขึ้นมาไขว่ห้าง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงลำพองใจ “เด็กแว้นที่ไหนจะกล้ามาวิ่งราวฉัน ? ฉันกล้ารับประกันได้เลยว่าพวกเขาจะไม่ตายดี”
ตั้งแต่ปี 90 เป็นต้นมา ภายในประเทศก็มีกลุ่มแสบซ่าที่เรียกว่า เด็กแว้น เกิดขึ้นตามที่ต่าง ๆ มากมาย เด็กพวกนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ฉกชิงวิ่งราวผู้หญิงที่เดินคนเดียวเสียส่วนใหญ่ ไม่กระชากสร้อยที่อยู่บนคอก็กระชากกระเป๋าแล้วชิ่งหนี เมือง Q ได้ปรากฏกลุ่มคนประเภทนี้ขึ้น และพวกเขาชอบไปสุมหัวกันบริเวณใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟอยู่เสมอ
MANGA DISCUSSION