ตอนที่ 329 ตุนจื่อ
ใครเป็นคนให้ข้อมูลผิด ๆ กับพี่ใหญ่หยาง ทำให้คนที่ไม่มีสมองคิดเองคนนี้ต้องวิ่งมาถึงนี่
กู้จื้อเฉิงไม่ต้องถามพี่ใหญ่หยางก็พอเดาได้ จากนั้นก็ยิ้มให้ทุกคน “ถ้ายังมีคำถามก็ถามที่นี่ให้จบ แต่ถ้าไม่มีคำถามอะไรแล้วก็แยกย้ายกลับบ้านเถิดครับ”
พูดราวกับว่ากู้จื้อเฉิงต้องการเปิดประชุมกับคนเหล่านี้อย่างไรอย่างนั้น ในขณะที่พี่ใหญ่หยางกำลังลังเลใจอยู่นั้นก็มีบางคนเลือกจากไป เขามองไปทางกู้จื้อเฉิง เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้แสดงท่าทีดีใจ ก็คิดได้และแอบหยิบแบบฟอร์มมากอดในอ้อมแขน จากนั้นก็เดินออกไปไม่ย้อนกลับมาอีก
เหลือไว้แค่คนขี้สงสัย 2 คน คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่มีหน้าตาน่าเกรงขาม ส่วนอีกคนก็เป็นวัยกลางคนที่เริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้า
ชายวัยกลางคนปิดปากเงียบตลอด ไม่พูดแม้แต่นิดเดียว แต่เด็กวัยรุ่นที่อยู่ข้างกายกลับเดินเข้ามาด้วยความลังเลและถามกู้จื้อเฉิงว่า “ผม ผมขอกู้เงินได้ไหม ? ”
กู้จื้อเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ชายวัยกลางคนจึงอธิบายให้ฟังว่า “เจ้าตัวเล็ก แกยังอายุไม่ถึง 18 ปีเลย”
อะไรกัน ? ยังไม่ถึง 18 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะแต่คิดอยากกู้เงิน ?
เด็กที่ถูกเรียกว่าเจ้าตัวเล็กขมวดคิ้ว “ผมเห็นแล้ว ผมแค่คิดว่าทำได้”
กู้จื้อเฉิงมองเด็กที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสนใจ “แล้วนายคิดว่าทำอะไรได้บ้าง ? ”
“ปลูกองุ่น ! ” เด็กคนนี้พูดออกมาด้วยแววตามุ่งมั่น “ผม ผมปลูกองุ่นได้ครับ”
กู้จื้อเฉิงอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ “เจ้าเด็กน้อย องุ่นไม่ใช่พืชที่จะปลูกแล้วก็ปลูกได้เลยนะ มันปลูกยากมาก!”
เจ้าตัวเล็กรีบรุดขึ้นหน้าทันที “ผมปลูกได้ครับ องุ่นที่คุณย่าของผมปลูกออกผลดีกว่าบ้านอื่นอีก ผม ผม เรียนรู้จากคุณย่าได้ครับ”
ในความทรงจำของกู้จื้อเฉิง จำได้ว่ามีตระกูลนี้อยู่จริง ๆ ผู้อาวุโสแม่ม่ายคนหนึ่งจูงหลานชายเดินเข้ามา ครอบครัวที่ลำบากจะได้รับการคุ้มครอง 5 ประการในหมู่บ้าน
“แล้วนายกับย่าอาศัยอยู่ด้วยกันไหม ? ” กู้จื้อเฉิงถามเด็กน้อยที่พยักหน้ารับ
ผู้ชายที่อยู่ข้าง ๆ จึงพูดแนะนำว่า “เด็กคนนี้ พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปหมดแล้ว คุณย่าของเขาก็มีชีวิตที่ยากลำบาก ! ” เมื่อพูดจบก็หันไปพูดกับเด็กน้อยที่มีจิตใจหนักแน่นต่อ “ตุนจื่อ ครอบครัวของแกลำบากขนาดนั้น แถมแกก็ยังเด็กอยู่ แล้วจะมากู้เงินได้อย่างไร ? ”
ตุนจื่อมองผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา และพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือก “ลุงกลัวว่าผมจะกู้เงินได้ ทำให้ลุงไม่ได้ในส่วนของลุงใช่ไหมครับ ? ”
ชายวัยกลางคนร้อนใจ นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะกล้าพูดแบบนี้ เขาชี้หน้าตุนจื่อและพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมา เขาโกรธจนดวงตาเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าปากกำลังจะพูดในสิ่งที่หยาบคาบออกมา
กู้จื้อเฉิงรีบพูดทันที “คุณลุง มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ คุณเข้าใจตุนจื่อผิด”
เมื่อพูดจบก็หันไปพูดกับตุนจื่อ “ผมเปิดอ่านข้อมูลแล้ว แค่ยังไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนฝั่งนั้น รู้แค่ว่าครอบครัวของนายได้รับการคุ้มครอง 5 ประการ นายต้องหยุดเรียนหนังสือในช่วงมัธยมต้นไป 1 ปีใช่ไหม ? ”
ตุนจื่นพยักหน้าด้วยความกังวล “คุณย่าอยากให้ผมเรียนต่อ แต่ผมไม่อยากเรียนแล้ว คุณย่าต้องเลี้ยงดูผมด้วยความลำบาก ผมเลยอยากออกมาหางานทำเพื่อเลี้ยงดูคุณย่าครับ”
กู้จื้อเฉิงใจอ่อนลงทันใด ไม่รู้ว่าทำไม จู่ ๆ ก็คิดถึงจางฉุ้ยเหลียนขึ้นมาได้ เธอยังอายุน้อยแต่มีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว เด็กที่ยากจนต้องดูแลทุกอย่างในครอบครัว ขนาดกู้จื้อชิวที่โตมาขนาดนี้ยังทำตัวเป็นลิงหลอกเจ้าอยู่เลย
“ปีนี้นายอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ? ” กู้จื้อเฉิงผายมือเพื่อบอกให้ตุนจื่อนั่งลง แต่ตุนจื่อกลับยืดตัวและเชิดหน้าเชิดตาอยู่ที่เดิม ราวกับต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าตนนั้นก็เป็นชายฉกรรจ์แข็งแรงเหมือนกัน ซึ่งทหารคนใหม่ที่เข้าไปอยู่ในกรมทหารต่างปฏิบัติตัวแบบนี้ กู้จื้อเฉิงจึงเข้าใจดีว่าเขาคงอยากพิสูจน์ตัวเองจริง ๆ
“16 ปีแล้วครับ!” ตุนจื่อพูดต่อ “ผมรู้ตัวว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ถึงจะอายุ 18 ปีแล้ว ก็ยังกู้เงินไม่ได้อยู่ดี”
ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างกายจึงพยักหน้าและพูดด้วยความทอดถอนใจ “ใช่ แล้วแกจะเอาเงินไปทำอะไร ? ใน 1 ปีทางรัฐบาลก็จัดสรรปันส่วนเงินให้แกไม่น้อย น่าจะพอได้แล้วมั้ง”
ตุนจื่อกำหมัดแน่น เบิกตากว้างและตะคอกกลับไป “แล้วจะให้เราพึ่งเงินรัฐบาลไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ ? ”
“เฮ้ ! แกไม่รู้อะไร มีตั้งกี่คนที่อยากได้ความคุ้มครอง 5 ประการจากทางรัฐบาลแต่ก็ไม่ได้ วันปีใหม่พวกเขาต่างก็นำข้าวสารอาหารแห้งส่งไปให้นายถึงบ้าน แถมยังให้เงิน 50 หยวนอีก”
เมื่อชายวัยกลางคนคนนั้นพูดจบ ตุนจื่อก็รีบรุดหน้าขึ้นอีกก้าวหนึ่ง “แล้วมันมีประโยชน์อะไรไหม ถึงอย่างไรเราก็ต้องพึ่งตนเองอยู่ดี”
ชายวัยกลางคนโกรธจนไม่รู้จะพูดอย่างไร และได้แต่อุทานออกมาว่า ไอ้หยา ไอ้หยา จากนั้นก็หันไปชี้หน้าตุนจื่อ ก่อนจะพูดกับกู้จื้อเฉิงว่า “คุณดูสิ คุณเห็นไหม ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ และไม่เข้าใจอะไรเสียเลย”
กู้จื้อเฉิงยิ้ม “ผมรู้สึกว่าตุนจื่อมีความทะเยอทะยานสูงมาก แบบนี้แหละดีแล้ว”
กู้จื้อเฉิงกวักมือเรียกตุนจื่อให้เข้ามานั่ง และเอ่ยถาม “ปัญหาของนาย ไว้เราค่อยคุยกัน นายรอก่อนนะ” เมื่อพูดจบก็หันไปพูดกับชายวัยกลางคน “คุณมีข้อสงสัยในตัวเขาหรือครับ ? ”
ชายวัยกลางคนรีบรุดขึ้นหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัว จากนั้นก็ยิ้มด้วยท่าทางเกรงใจ “เมื่อครู่ผม ผมไม่เข้าใจ อยากให้คุณช่วยพูดอีกครั้ง ผมจะได้กลับไปปรึกษากับคนในครอบครัว”
กู้จื้อเฉิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบแบบฟอร์มจากในลิ้นชักออกมา 1 ชุด หยิบปากกา 1 ด้าม แล้วอธิบายให้ชายวัยกลางคนไปพลางวาดโครงร่างไปพลาง
“ใน 4 อย่างนี้ ผมอยากเห็นว่าครอบครัวของพวกคุณทำอะไรได้บ้าง ถ้าทำไม่ได้เลยก็แค่กลับไปปลูกพืชไร่ รอเวลาสัก 1 ปี ดูว่าคนอื่นทำอย่างไร คนอื่นเขาหาเงินสร้างรายได้กันแบบไหน วิธีการนั้นก็จะเหมาะสมกับคุณมากกว่า ปีหน้าพวกคุณก็ค่อยมาใหม่” กู้จื้อเฉิงพูด
ชายวัยกลางคนก็รีบถามว่า “แล้ว แล้วปีหน้าจะยังมีให้กู้เงินอีกไหม ? ”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้า “แน่นอนครับ ระยะเวลาในการปล่อยกู้ที่สั้นที่สุดในตอนนี้คือ 3 ปี นี่เพิ่งเริ่มต้นเอง พวกคุณไม่ต้องรีบร้อน เฝ้ามองคนอื่นอย่างเงียบ ๆ อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้”
ชายวัยกลางคนหน้าแดงก่ำก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเกรงใจ “เลขากู้เป็นคนตลกจริง ๆ พวกเราก็เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาที่ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายเลย พอได้ยินว่าคุณไม่ให้คนแซ่หยางกู้เงิน ผมก็ยิ่งร้อนใจ”
กู้จื้อเฉิงเกิดความอยากรู้จึงถามออกไปว่า “ใครบอกพวกคุณว่าผมไม่ให้แซ่หยางกู้เงิน ? ”
ชายวัยกลางคนผงะทันที ดูเหมือนตระหนักได้ว่าพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกไป ตอนนี้เขาได้ยินเพียงแค่น้ำเสียงเย็นชาของกู้จื้อเฉิง “คุณอย่าบอกว่าผู้ใหญ่หยางปลุกระดมพวกคุณ สมองของเขาคิดแต่ให้คนอื่นมาแย่งชิงกันเอง”
“ใช่ ๆ อาสี่บอกแบบนั้น อาสี่บอกว่าเขามีแซ่หยาง คงจะออกหน้าให้ทุกคนไม่ได้ ก็เลยให้เรามาถาม จากนั้นเขาจะออกหน้าช่วยจัดการให้” ชายวัยกลางคนก้มหน้าพร้อมกับถูฝ่ามือไปมาอย่างไม่สบายใจ
กู้จื้อเฉิงรู้จักตาเฒ่าคนนี้ดี เขาได้แต่ทอดถอนใจ มาอยู่ที่นี่ก็นานหลายวันแล้ว แต่คนที่คอยดูแลหมู่บ้านแห่งนี้มานานกว่า 10 ปี กลับไม่เคยมาสร้างความวุ่นวายที่ไม่ให้เกียรติเขาเลยสักนิด จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จางฉุ้ยเหลียนเองก็รู้สึกว่าเรื่องมันต้องไม่ง่ายแบบนี้สิ
และก็เป็นอย่างที่กู้จื้อเฉิงคาดไว้จริง ๆ เมื่อเริ่มงานพัฒนา คนที่เข้ามาขัดขวางการทำงานเป็นคนแรกก็คืออาสี่หรือว่าเขาไม่อยากให้หมู่บ้านหยางจวงมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น ? กู้จื้อเฉิงไม่เข้าใจความคิดของตาเฒ่าคนนี้เอาเสียเลย
ชายวัยกลางคนกำชับกู้จื้อเฉิงอย่างพะว้าพะวง อย่าบอกว่าเขาหลุดปาก ‘ขาย’ เรื่องของหยางชางเซิ่งออกไป กู้จื้อเฉิงตบไปบนหน้าอกของเขาและไม่พูดอะไร
เมื่อชายวัยกลางคนจากไป กู้จื้อเฉิงและตุนจื่อก็ได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัวและถือโอกาสทำความเข้าใจสถานการณ์ทางครอบครัวของเด็กหนุ่ม
ตุนจื่อเป็นคนในหมู่บ้านหยางจวงมาตั้งแต่กำเนิด ปู่ของเขาและหยางชางเซิ่งเป็นญาติกัน แต่เป็นญาติห่าง ๆ พูดได้ว่าพวกเขาเคยตั้งรกรากอยู่ในซานตง ตอนนี้ก็ได้มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เมื่อครั้งที่เขาอายุได้ 10 ขวบ พ่อแม่ของตุนจื่อนั่งรถโดยสารที่บรรทุกเกินจำนวนออกจากเมืองเพื่อกลับมาในหมู่บ้าน แต่ระหว่างทางถนนค่อนข้างลื่นเพราะพายุหิมะที่ตกกระหน่ำ ส่งผลให้รถโดยสารคันนั้นเสียหลัก ทำให้พ่อแม่ของเขาลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ ต่อมาคุณปู่และคุณย่าของตุนจื่อได้มารับตัวเขาไปอยู่ด้วย แต่เพราะความเจ็บปวดจากการสูญเสีย กอปรกับที่ทำงานหนักติดต่อกัน ทำให้คุณปู่ป่วยหนัก ไม่ถึง 2 ปีก็ลาจากโลกนี้ไป
ตุนจื่อมีความกตัญญูรู้คุณ แต่เรื่องเดียวที่เขาทำให้คุณย่าไม่ได้ก็คือเรียนหนังสือ ไม่ว่าคุณย่าจะทุบตีด่าเขาอย่างไร เขาก็ยังยืนยันว่าจะไม่เรียนหนังสือ คุณย่ารู้ความคิดของเด็กคนนี้ เพียงแต่ทำได้แค่ปาดน้ำตาอย่างหมดปัญญา
ตุนจื่อที่ไม่เรียนหนังสือยังคงอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน กลางวันจะไปเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร ตกกลางคืนจะกลับมาช่วยทำงานบ้านให้คุณย่า ที่ดินของพวกเขามีไม่เยอะนัก แต่โดยส่วนใหญ่ก็ขายออกไปหมดแล้ว สวนผักเล็ก ๆ ยังพอให้ถูไถเป็นอาหารได้ตลอดทั้งปี
ตุนจื่อมาด้วยจุดประสงค์ที่ง่ายมาก เขาหวังแค่ให้กู้จื้อเฉิงอนุมัติให้กู้เงิน เขาไม่มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ แต่คุณย่ามีฝีมือการปลูกองุ่นที่สูงมาก
ที่แท้ ตอนที่พ่อแม่ของตุนจื่อยังมีชีวิตอยู่ เถาวัลย์องุ่นที่เลื้อยพันอยู่บนโครงไม้ของคุณย่าดีงามกว่าที่อื่น มันจะออกผลองุ่นพวงสีม่วงหวานมากมายในทุกปี แม่ของตุนจื่อได้นำองุ่นเหล่านี้ไปขายในตลาด ปีต่อมาก็ได้สร้างกำไรมหาศาลให้ครอบครัว
ตอนนี้รายได้หลักของพวกเขาก็คือองุ่นที่คุณย่าปลูก นอกจากนี้ก็ยังมีเงินช่วยเหลือขั้นต่ำของการคุ้มครอง 5 ประการในหมู่บ้าน ดังนั้นตุนจื่อคิดอยากเรียนหนังสือต่อก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตุนจื่ออยากหาเงินจึงต้องปล่อยโอกาสนี้ไป
“อายุของนายก็ยังไม่มาก ไม่สามารถกู้เงินได้จริง ๆ อีกอย่างแค่นายคนเดียวอย่างไรก็เป็นผู้กู้หลักไม่ได้ ถ้านายยินยอม ฉันจะไปช่วยคุยกับคุณย่าให้ เราสามคนมานั่งปรึกษากันดี ๆ ” กู้จื้อเฉิงตบไปบนบ่าของตุนจื่อ “ฉันรู้ว่านายมีความกตัญญูต่อคุณย่ามาก อยากให้หล่อนได้พัก แต่คนอ้วนไม่ได้เกิดจากกินข้าวคำเดียว จะทำเรื่องอะไรก็ต้องอดทน”
ตุนจื่อพยักหน้า ถึงแม้จะรู้ว่าคุณย่าไม่ยอมแน่นอนก็ตาม แต่เขาคิดว่ากู้จื้อเฉิงไม่เหมือนคนเหล่านั้น ที่เห็นเขาแล้วล้วงหยิบธนบัตรออกมาจากในกระเป๋า และไล่เขาไปราวกับเป็นขอทาน
กู้จื้อเฉิงกลับมาจากเยี่ยมบ้านของตุนจื่อ พบว่าสีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนย่ำแย่และน้ำตาไหลลงมา
เขาชำเลืองมองคังคังที่นั่งเล่นอยู่บนโซฟา ดูแล้วไม่เหมือนกับเด็กที่สร้างปัญหาได้ ดังนั้นน่าจะมีอยู่ 2 ปัญหาเท่านั้น คือเรื่องของตระกูลกู้ไม่ก็ตระกูลจางอีกแล้ว
“เป็นอะไร ? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่บ้านหรือเปล่า ? ” กู้จื้อเฉิงนั่งลงข้างกายจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปตบไหล่ของเธอ “ถึงขนาดทำให้คุณโกรธได้ น่าจะไม่ใช่กู้จื้อชิวใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพูดออกไป “คุณว่า ทำไม…” ยังไม่ทันจะพูดจบ จางฉุ้ยเหลียนก็ต้องกลืนมันลงไปอีกครั้ง
กู้จื้อเฉิงได้ยินเพียงน้ำเสียงก็รู้ทันที ว่าตระกูลจางต้องสร้างปัญหาอีกแล้ว จริง ๆ แล้วเขาเองก็ไม่พอใจเท่าไหร่ เพราะเรื่องนี้ไม่จบเสียที
“ทำไม ? ครั้งนี้ต้องการเงินหรือว่ามาขอร้องให้ช่วยอะไรอีก ? ” กู้จื้อเฉิงนวดหัวคิ้ว การเป็นผู้ดูแลหมู่บ้านมาสองสามวันทำให้อารมณ์ของเขาคุกรุ่นไม่น้อย
จางฉุ้ยเหลียนต้องรับมือกับคนเหล่านี้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เป็นคิงคองเหล็กที่ไร้ผู้ใดเทียมทานจริง ๆ
“ยิงเจี๋ยยั่วโมโหจนแม่ของฉันป่วย หล่อนต้องการเงินค่ารักษาจากฉัน!” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาด้วยความโกรธ ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะอ่อนแอ แต่ขาของเธอก็ยังยืดไปเตะม้านั่งที่วางอยู่ข้างตัว…
MANGA DISCUSSION