ตอนที่ 327 บ่อปลา
ต้นเดือนสี่ กู้จื้อเฉิงได้รวมบ่อปลาของหมู่บ้านหยางจวงเข้าด้วยกัน จัดทำโครงการที่มีความเป็นไปได้ หลังจากรายงานไปยังเมือง C แล้ว ไม่นานก็ได้รับการตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเรื่องกู้เงินโดยไม่มีดอกเบี้ยที่จิ้นเหวินวิ่งเต้นอย่างยากลำบากก็กำลังจะได้รับการดำเนินการในเร็ววัน
โครงการแรกของกู้จื้อเฉิงคือการพัฒนาการประมงในหมู่บ้านหยางจวง แน่นอนว่าเบื้องหลังคงหนีไม่พ้นความพยายามของจางฉุ้ยเหลียน ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่สอดคล้องกับตัวโครงการ ผลงานที่ประสบความสำเร็จได้ส่งผลให้หมู่บ้านได้รับการพัฒนาขึ้นล้วนเป็นฝีมือการสรรหาของจางฉุ้ยเหลียนทั้งสิ้น การผสมผสานข้อได้เปรียบจากแหล่งทรัพยากรของหมู่บ้าน การคมนาคม โครงสร้างทางภูมิศาสตร์ การกระจายอุตสาหกรรมและอื่น ๆ ก็รวมอยู่ในโครงงานนี้ด้วย
เมื่ออธิบดีกระทรวงพาณิชย์ได้รับหนังสือโครงงานที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบฉบับนี้ ก็เกิดความสงสัยทันทีว่าเป็นลายมือของกู้จื้อเฉิงจริงหรือ จนกระทั่งมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วกระทรวงว่ากู้จื้อเฉิงได้คัดลอกโครงงานนี้มาจากที่ไหน อีกทั้งยังไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ในเมือง Q ให้ช่วยเขียนโครงงานนี้ขึ้น
ไม่นานเบื้องบนก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญลงมา หลังจากได้รับการตรวจสอบแล้วพบว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก อีกทั้งกู้จื้อเฉิงยังแนะนำซ่งเล่ยในฐานะเป้าหมายหลักในการพัฒนาครั้งนี้ด้วย ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องของซ่งเล่ยทำให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ทั้งหมดนี้ ชาวประมงในท้องที่ไม่ค่อยเข้าใจนักและไม่รู้ด้วยว่าจะไปให้ความสนใจทำไม ตอนที่กู้จื้อเฉิงปล่อยข่าวออกมา ผู้คนส่วนมากก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแค่นี้ ยังมีคนที่รับเหมาบ่อปลาไว้แต่กลับไม่รู้ว่าจะสร้างเงินอย่างไรวิ่งแจ้นมาหากู้จื้อเฉิงอีกด้วย
“คุณบอกว่าจะช่วยหาคนเช่าที่เหมาะสมให้ผมไม่ใช่หรือ ? คุณต้องมาค้ำประกันด้วยนะ!” ไม่ผิด พวกเขาจำคำพูดในวันนั้นของกู้จื้อเฉิงได้อย่างแม่นยำ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กู้จื้อเฉิงก็คงทำเลอะเลือนไม่ได้ จึงบอกไปตามตรงว่าจะให้ซ่งเล่ยเป็นคนเช่าบ่อปลาของพวกเขา เพื่อจะได้เห็นถึงความสามารถของนักศึกษาคนนี้
ซ่งเล่ยเพาะเลี้ยงปลาอยู่ในหมู่บ้านหยางจวง !ข่าวนี้เดือดไปทั่วทั้งหมู่บ้านหยางจวง บางคนก็บอกว่าเหล่าซ่งทำจริง บางคนก็บอกว่าหยางจินเฟิงนั้นไปได้ดียิ่งกว่า
นักศึกษาไม่มีงานทำ หอบเสื้อผ้ากลับมาเพาะเลี้ยงปลาที่บ้านเกิด คำว่าบ้านเกิดนี้ สามารถทำให้นักศึกษาคนหนึ่งยอมทิ้งอนาคตได้หรือ ? เพ้อฝันในเรื่องเป็นไปไม่ได้ เสียดายที่ร่ำเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย
หยางจินเฟิงนั่งเชิดหน้าชูตาอย่างภาคภูมิใจอยู่ในบ้าน “โชคดีที่ฉันวิ่งไวกว่า ไม่อย่างนั้นชีวิตของฉันคงได้พังทลายอยู่ในบ้านของพวกเขาแน่”
หยางเสี่ยวหลงมองไปทางซ่งเล่ยที่สวมกางเกงลงน้ำโดยไม่แคร์สายตาใคร ทำงานอยู่ในบ่อปลาที่เหมามาอย่างกระตือรือร้น และด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม บัดนี้ไม่มีหญิงสาวที่มักได้เจอกัน ‘บางครั้ง’ คนก่อน มาคอยกวนใจอยู่ริมบ่ออีกแล้ว
ซ่งเล่ยกลายเป็นที่ขบขันของคนอื่นในชั่วพริบตาเดียว เรียนหนักมากว่า 10 ปีแต่กลับมาตกปลาที่บ้าน
คนอื่นลืมไปด้วยซ้ำว่าซ่งเล่ยเรียนอะไรมา แต่หยางเสี่ยวหลงจำได้ สาขาที่ซ่งเล่ยเรียนก็คือการเพาะเลี้ยงปลา หลังจากเรียนจบถ้าไม่ได้มาเพาะเลี้ยงปลาที่บ้านก็เท่ากับว่าทุกอย่างที่เรียนมาสูญเปล่า
แต่เรื่องเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ? ปีนี้เขาอายุ 30 ปีแล้ว แถมยังได้เปิดร้านอาหารอีกด้วย เพราะหยางชางเซิ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน เพราะเขามีพี่ชายทั้ง 3 คนทำงานในส่วนของการบำรุงรักษาทางรถไฟ ดังนั้นธุรกิจร้านอาหารจะมีแนวโน้มที่ดีกว่าคนอื่น ถ้าหยางชางเซิ่งไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้าน เขาก็คงไม่มีผลกำไรในส่วนนี้
หยางเสี่ยวหลงสูบบุหรี่พร้อมกับมองไปทางซ่งเล่ยที่กำลังเดินอยู่บนผืนน้ำที่ไม่เย็นนัก ก้าวหนึ่งลึก ก้าวหนึ่งตื้น จนกระทั่งข้ามแม่น้ำที่เริ่มละลายได้ในวันที่ 1 พฤษภาคม และก็ยุ่งมาตั้งแต่บัดนั้น
เนื่องจากแรงลมทำให้ก้นบุหรี่ลวกปลายนิ้วเล็กน้อย เขาจึงโยนก้นบุหรี่ไปบนพื้นและใช้เท้าเหยียบบดขยี้อย่างแรง จนเหลือแต่ควันบุหรี่ลอยขึ้น
“ซ่งเล่ยไปเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากที่ไหน ? ” หวังเสี่ยวฮวายกจานอาหารมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็มองบิดาด้วยแววตาสงสัย
“ไม่รู้สิ อย่าไปกินดอกคนอื่นมาแล้วกัน” หวังอู่สูบบุหรี่ จากนั้นก็พ่นควันอย่างสบายอารมณ์จนทำให้ภาพเบื้องหน้าเลือนลางทันใด
“พ่อ ไม่มีทาง ดอกเบี้ยสูงจะตายไป ซ่งเล่ยทำแบบนี้ไม่คุ้มทุนเลยด้วยซ้ำ” หวังเสี่ยวฮวานั่งตรงข้ามบิดา จากนั้นก็ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถามว่า “ลุงซ่งไม่ได้เอ่ยปากขอยืมเงินพ่อใช่ไหม ? ”
หวังอู่ส่ายหน้า “พี่ซ่งเป็นคนหัวแข็งจะตายไป ไอ้หยา เรื่องที่ลูกพูดไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
หวังเสี่ยวฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับครุ่นคิดก่อนจะยื่นข้อเสนอ “เราให้ลุงซ่งยืมเงินเถิด ช่วยเหลือคนอื่นในตอนที่ต้องการความช่วยเหลือ ดีกว่าไปสนับสนุนในตอนที่เขามีอยู่แล้ว”
แม่ของหวังเสี่ยวฮวากำลังเย็บพื้นรองเท้าอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสองพ่อลูกทันที จากนั้นก็ใช้อีกด้านของเข็มทิ่มลงไปตรงส่วนที่รู้สึกคันบนหนังศีรษะ พลางถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าตัวไม่ได้เอ่ยปากขอยืม ลูกคิดว่าเราจะให้เขายังไงกันล่ะ ถ้าตระกูลซ่งมีเงินอยู่แล้ว ไม่แน่บรรดาญาติในตระกูลอาจจะให้เขายืมเงินก็ได้นะ ”
หวังเสี่ยวฮวาส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ถ้ามีเงินจริง ตอนที่ซ่งเล่ยขึ้นมหาวิทยาลัยก็ไม่น่าจะต้องทนลำบากขนาดนั้นนะ ฤดูใบไหม้ผลิเมื่อปีที่แล้วอาซ่งจ่ายเงินค่าเล่าเรียนของซ่งเล่ยไปหมด แล้วตอนนี้จะกล้าเอ่ยปากขอยืมเงินได้จากที่ไหนล่ะ?”
หวังอู่เห็นสีหน้าจริงจังของลูกสาว บ่งบอกว่าหล่อนเข้าใจตระกูลซ่งเป็นอย่างดี จึงอดปลายตาขึ้นถามไม่ได้ “ลูกได้ยินที่ป้าสะใภ้ของลูกพูดไหม ? ”
ทั้งสองตระกูลไปมาหาสู่กันออกจะบ่อย ดังนั้นระหว่างผู้หญิงด้วยกันจึงค่อนข้างสนิทกันไวกว่า บางครั้งตระกูลซ่งก็มาส่งปลาสด ๆ ให้กับตระกูลหวัง ซึ่งเป็นปลาที่ตัวใหญ่กว่าข้อมือและใหญ่ราวกับกบตัวเมียท้องโตอีกด้วย
หวังเสี่ยวฮวาเองก็มักไปส่งเต้าหู้ให้อีกฝ่ายอยู่บ่อย ๆ ในช่วงฤดูหนาวทั้งสองตระกูลจะมานั่งทำรองเท้า ทำกางเกง ปั้นซาลาเปาด้วยกัน ดังนั้นหวังเสี่ยวฮวาจึงเข้าใจเรื่องของตระกูลซ่งมากเป็นพิเศษ เดิมทีก็ไม่เชื่อหรอกว่าตระกูลซ่งจะมีศักยภาพจนถึงขั้นสามารถเหมาบ่อปลามากขนาดนั้นได้
“เสี่ยวฮวา งั้นลูกก็เอาสมุดบัญชีเงินฝากของลูกให้กับลุงซ่งไปสิ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงหรอก ช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือก่อน” เมื่อสิ้นเสียงของหวังอู่ หวังเสี่ยวฮวาก็ลุกขึ้นด้วยความดีใจ จากนั้นก็พรวดพราดกลับห้องนอนไปโดยไม่แตะอาหารแม้แต่คำเดียว ก่อนจะหยิบสมุดบัญชีธนาคารออกมาจากตู้ แล้วออกจากบ้านโดยลืมแม้กระทั่งผ้าพันคอ
“ลูกสาวโตแล้ว คุมไม่อยู่แล้วล่ะ!” หวังอู่รินเหล้าใส่แก้ว ก่อนจะหัวเราะด้วยความกลัดกลุ้มใจ
“ห๊ะ ? คุณกำลังจะบอกว่าเสี่ยวฮวาชอบซ่งเล่ยหรือคะ ? ” ภรรยาของหวังอู่มองสามีด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็วางกิจกรรมที่อยู่ในมือลง และย้ายมานั่งข้างกายของสามี เบิกตากว้างและพูดว่า “ไม่ได้สิ ทั้งสองตระกูลอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอด ไม่เคยต้องเบียดเบียนอีกฝ่าย ”
จะว่าไปแล้ว คนทั้งหมู่บ้านก็รู้ดีว่าเสี่ยวฮวากำลังมองหาสามี ซึ่งซ่งเล่ยก็เป็นหนุ่มโสดที่ไม่สามารถเลี้ยงดูสะใภ้ได้ดีพอ
“ตระกูลของเรากำลังหาลูกเขยอยู่ไม่ใช่หรือ ? ประเพณีนิยมของสมัยนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ลูกชายไม่สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าได้ คุณไม่เคยสังเกตคนในหมู่บ้านหรือ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ในหมู่บ้านก็ต้องทนทุกข์ทรมานเมื่อยามแก่เฒ่าทั้งนั้น” คำพูดของหวังอู่ทำให้ภรรยาเงียบไปชั่วขณะ ซึ่งหล่อนเข้าใจเหตุผลนี้ดี
ไม่ว่าผู้ชายที่ปรามสะใภ้ให้อยู่บ้านไม่ได้ เมื่อพ่อแม่ยามแก่เกิดป่วย ทุกคนต่างก็ผลักไสภาระนี้ไปให้คนอื่นเพียงเพราะความมีลูกชายมากเกินไป แล้วจะมาเลี้ยงดูลูกสะใภ้กันได้อย่างไร ยังไงก็เทียบไม่ติดกับลูกสาวแท้ ๆ หรอก
“คุณดูอย่างป้าหยู่สิ หล่อนก็เพิ่งมีความสุขได้ไม่นานเอง” ภรรยาของหวังอู่คิดถึงป้าหยู่เพื่อนข้างบ้านขึ้นมาได้ ซึ่งทำให้อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้
ป้าหยู่ ปีนี้อายุ 70 ปีแล้ว เมื่อหลายสิบปีก่อน หญิงชราในวัย 60 ปีได้แต่งงานกับอาสาม ของบ้านที่อยู่ด้านหลังและย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน
อาสามเป็นคนดีมาก หลังจากที่คู่ชีวิตคนก่อนลาจากโลกนี้ไป เขาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้อย่างโดดเดี่ยว ลูกชายทั้ง 3 คน ไม่ได้อยู่ไกลจากเขามากนัก ไกลสุดก็แค่ปั่นจักรยานใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของใคร บอกให้คนแก่อย่างเขาหาคู่ชีวิตคนใหม่ ประการแรกคือ ต้องการให้หล่อนมาซักผ้าและทำอาหารให้เขา, ประการที่สอง คือเป็นคู่ชีวิตที่ดีของเขาได้
ตอนที่อาสามยังวัยรุ่น ก็มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ดังนั้นเวลาเกษียณจึงยังได้รับการดูแลจากราชการอยู่บ้าง โชคดีที่ลูกชายทั้ง 3 คนไม่ได้มาเป็นห่วงเรื่องเกษียณของเขา เพราะลูกชายทั้ง 3 ต่างก็มีที่อยู่อาศัยของแต่ละคน
บรรดาลูกสะใภ้เป็นผู้ดูแลทุกอย่างในบ้าน และอนุญาตให้พ่อกับแม่สามีเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกัน เพื่อให้พวกหล่อนคอยดูแลปรนนิบัติพวกท่าน แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม
ป้าหยู่ได้แต่งงานกับอาสาม เข้ามาอยู่ในบ้าน ต้องตกอยู่ในสภาพนี้เช่นกัน ทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาตลอด 10 กว่าปี
เนื่องจากป้าหยู่เป็นหม้ายตั้งแต่ยังวัยรุ่น หล่อนได้คลอดลูกชาย 1 คนและลูกสาว 4 คนแล้ว ซึ่งหล่อนจะต้องเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้ง 5 ชีวิตเพียงคนเดียว จนกระทั่งพวกเขาแยกย้ายกันไปมีครอบครัว จากนั้นตัวเองจึงได้แต่งงานใหม่ เพราะไม่อยากเพิ่มภาระให้ลูกชายต้องลำบาก บ้านหลังเก่าก็ขายเหลือไว้แค่เงินยามแก่เฒ่าเท่านั้น จากนั้นไม่นานหล่อนก็ล้มป่วย ต้องกินยาบรรเทาอาหาร แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่อยากทำให้ลูกสาวต้องเป็นห่วง
บรรดาลูก ๆ ของหล่อนต่างก็เข้าใจแม่ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมานานหลายปี และก็เข้าใจว่าหล่อนมีความคิดจะหาคู่ชีวิตคนใหม่ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลนี้ที่ทำให้ทุกคนอกตัญญู ตรงกันข้ามมันเหมือนกับยัดเหยียดให้เป็นความกตัญญูอย่างหนึ่ง
ไม่เพียงแค่ตอนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ต้องหอบของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่มาเยี่ยมเยียนผู้เป็นแม่เท่านั้น ปกติแล้วพวกหล่อนก็มักจะส่งของทางไปรษณีย์มาให้แม่อยู่ไม่น้อย ไปรษณีย์ในหมู่บ้านต้องนำพัสดุของหล่อนมาส่งให้ทุกเดือน ทั้งอาหารการกินและเสื้อผ้าอาภรณ์โดยที่หล่อนไม่ต้องเป็นกังวล
ผู้คนต่างก็พูดว่าป้าหยู่นั้นโชคดี มีลูก ๆ ที่กตัญญูรู้คุณ บรรดาผู้อาวุโสในหมู่บ้านต่างก็พากันอิจฉาไม่น้อย เรื่องที่น่าชื่นชมที่สุดก็คือบรรดาลูก ๆ ของป้าหยู่ต่างก็ดีกับอาสาม ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ แต่ก็เปรียบเสมือนญาติคนหนึ่ง
เมื่อมีการเปรียบเทียบเรื่องนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปดูผู้อาวุโสที่มีลูกชายและลูกสาวแต่กลับไม่มีความสุขในบั้นปลายชีวิตอีกครั้ง ภรรยาของหวังอู่เริ่มคิดคำนวณตามอยู่ในใจ การที่เสี่ยวฮวาจะต้องแต่งงานกับใครสักคน ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่ซ่งเล่ยเป็นคนมีความทะเยอทะยานสูง “แม้เจ้าตัวจะอยู่ในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องชอบหล่อน ลูกของเรานอกจากหน้าตาดีแล้วก็ยังมีอนาคตอีกด้วย”
หวังอู่พยักหน้า “ผมเองก็คิดแบบนี้ แค่กลัวว่าเสี่ยวฮวาหุนหันพลันแล่นเกินไป ต่อไปเราอาจจะมองหน้าพี่ซ่งไม่ติดก็ได้”
ภรรยาของหวังอู่คิดอยากจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม แต่สามีของหล่อนเคยให้สัญญากับพี่ซ่งมาก่อน ‘ถ้าพี่วางใจฉันและลูกสาวอีกคน สู้ให้ฉันยกเสี่ยวฮวาเป็นสะใภ้ของซ่งเล่ยดีกว่า!’ ตอนนั้นพี่ซ่งไม่ตอบ และไม่เคยคิดถึงเสี่ยวฮวามาก่อนด้วย
ทั้งสองคนมองออกว่าเสี่ยวฮวาสนใจในตัวซ่งเล่ย แค่กลัวว่าเสี่ยวฮวาจะต้องเสียใจเท่านั้น
หวังเสี่ยวฮวาถือสมุดธนาคารไปยังบริเวณแอ่งน้ำทิศตะวันตกอย่างรีบร้อน ระหว่างทางหล่อนได้กล่าวทักทายกับชาวบ้านมากมาย หล่อนมีนิสัยใจกว้าง ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มจนตาหยีเลยทีเดียว ใครที่พบเห็นต่างก็รู้สึกดีกับหล่อนทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของหล่อนมีความประสงค์อยากได้ลูกเขยที่ถูกใจตัวเองล่ะก็ หวังเสี่ยวหลงคงได้แต่งงานไปแล้ว
ไม่ว่าสมัยไหน ลูกผู้หญิงที่มีหน้าตาสะสวยจะค่อนข้างมีเสน่ห์
หวังเสี่ยวฮวามาบ้านตระกูลซ่ง จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไปและตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า “คุณป้าซ่งอยู่ไหมคะ ? ”
เมื่อแม่ของซ่งเล่ยที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงคุ้นเคย รอยยิ้มด้วยความยินดีได้ผุดขึ้นบนแววตา “เสี่ยวฮวามาแล้ว รีบเข้ามาสิ”
หวังเสี่ยวฮวาเข้ามาในบ้านและได้เห็นแม่ของซ่งเล่ยกำลังเย็บปักถักร้อยอยู่บนเตียง จึงเอ่ยถามด้วยความสนใจ “คุณป้ากำลังเย็บผ้าห่มอยู่หรือคะ ? ”
แม่ซ่งยื่นมือออกไปทักทาย “อื้ม ป้าอยากทำผ้าห่มผืนใหม่ให้อาเล่ย แต่ตาก็ฝ้าฟางเหลือเกิน หนูมาช่วยป้าใส่ด้ายหน่อยสิ”
หวังเสี่ยวฮวารับเข็มกับด้ายมา จากนั้นก็สอดด้ายเข้าไปในรูเข็มอย่างชำนาญ “คุณป้า ขยับตัวนิดนึง เดี๋ยวหนูช่วยค่ะ”
ป้าซ่งขยับและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “อาฮวา หนูมาที่นี่เพราะมีเรื่องอะไรใช่ไหม ? ” หล่อนวางใจให้เด็กผู้หญิงคนนี้เย็บผ้าห่มโดยไม่ได้มีความเกรงใจเลยสักนิด
“ไอ้หยา ลูก ๆ ของคุณป้าก็เย็บปักถักร้อยเก่งกันจะตาย ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าใครจะพาคุณป้าไปอยู่ด้วยอย่างมีความสุข ! ” ป้าซ่งมองหวังเสี่ยวฮวาด้วยความเอ็นดู และครุ่นคิดว่าถ้าตระกูลหวังอยากได้ลูกเขย การแต่งงานกับหวังเสี่ยวฮวาคงจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเชียวล่ะ !
MANGA DISCUSSION