ตอนที่ 320 ยุติธรรม
กู้จื้อเฉิงตะโกนเสียงดัง “คุณพูดเหลวไหลอะไร ? ”
ทุกคนล้วนตกใจเมื่อเห็นเลขากู้คนใหม่เดินออกมาผลักหยางเสี่ยวหลงออกไปสุดแรง จากนั้นก็พูดกับคนในตระกูลหยางว่า “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ไกล่เกลี่ย ทั้งสองตระกูลตามผมไปยังห้องทำงาน ส่วนชาวบ้านที่เหลือ มีอะไรทำก็ควรไปทำ แยกย้ายกันได้แล้วครับ”
ในช่วงเวลาที่อึดอัดใจที่สุดก็คือช่วงนี้ ไม่มีใครยอมหลีกทางให้เพราะคำสั่งของกู้จื้อเฉิง พวกเขาต่างมองซ้ายแลขวากันอย่างเลิ่กลั่ก ไม่ส่งเสียงและไม่ไปไหนทั้งนั้น
หยางเสี่ยวหลงถามกู้จื้อเฉิงด้วยท่าทางหยิ่งผยอง “แซ่กู้ อย่าคิดว่าคุณเป็นเลขาแล้วจะทำอะไรก็ได้ นี่คือหมู่บ้านหยางจวง คำพูดของตระกูลหยางคือคำประกาศิต คุณเอาสมองส่วนไหนคิด ถึงได้มีสิทธิ์มาตัดสินใจแบบนี้ ? คุณรู้ตัวเองไหมว่าคุณแซ่อะไร ? ”
ในขณะที่พูด เขาก็ยื่นมือไปผลักกู้จื้อเฉิงเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันจะแตะต้องตัวก็ถูกกู้จื้อเฉิงสวนกลับต่อหน้าต่อตาของทุกคน ก่อนหน้านั้นหยางเสี่ยวหลงยังพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกอยู่เลย แต่วินาทีต่อมากลับถูกเลขากู้บิดแขนอย่างแรง จนล้มลงไปร้องครวญครางอยู่บนพื้น
หัวใจของจางฉุ้ยเหลียนกระตุกไปครั้งหนึ่ง รู้สึกไม่ดีอยู่ในใจ เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้เข้ามาสร้างปัญหาในหมู่บ้านหลายครั้งหลายคราแล้ว กู้จื้อเฉิงผู้มาใหม่จึงต้องลงไม้ลงมือกับเขา อันธพาลที่อยู่ในท้องที่ไม่กล้าทำเพราะกลัวว่าผู้นำที่อยู่เบื้องบนจะไม่คุ้มกะลาหัวเอา
หยางเสี่ยวหลงก็เปรียบเสมือนกระเป๋าฟาง ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพาย ถูกกู้จื้อเฉิงบิดแขนจนส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมาอย่างอดไม่ได้ เอะอะก็จะฟ้องเบื้องบน เอะอะก็ขู่ให้คอยดู เอะอะก็ข่มขู่ว่าตระกูลหยางจะต้องเอาคืนเขาอย่างแน่นอน
กู้จื้อเฉิงยังคงกัดไม่ปล่อย เขาหันไปตะโกนใส่เฉินเอ้อขุย “คุณไปบอกอาของเขา ว่าเด็กไม่มีสัมมาคารวะคนนี้สร้างความอับอายให้ครอบครัวของพวกคุณ วันนี้ผมเห็นแก่หน้าของเขาก็เลยไม่ทำอะไร แต่ต่อไปถ้ายังกล้ามาหาเรื่องผมอีก ผมจะหักแขนเขา”
เฉินเอ้อขุยเองก็ตกใจไม่น้อย จากนั้นพยักหน้าหงึกหงักและสาวเท้าวิ่งออกไปอย่างไม่รีรอ เมื่อเห็นเขากลับไปแล้ว กู้จื้อเฉิงก็ค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากหยางเสี่ยวหลงที่เดินโซซัดโซเซออกไป
“แซ่กู้ คุณไม่กลัวบ้างหรือ ? คุณยังกล้าหาญได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเก่งจริงก็ฆ่าฉันเลยสิ ! ” หยางเสี่ยวหลงยังคงปากเก่ง แต่ไม่ได้ทำตัวกร่างเหมือนเมื่อสักครู่
กู้จื้อเฉิงส่งเสียงเหอะอย่างเย็นชาออกมา จากนั้นก็พูดเหตุผลด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “ไปซะ กลับไปฟ้องผู้ปกครองที่บ้าน ตอนนี้พวกเขาคงอยากคุยจนเนื้อเต้นแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ กลับไป ! ”
ทุกคนพร้อมใจกันหัวเราะออกมาเสียงดัง ส่งผลให้หยางเสี่ยวหลงโกรธจนกัดฟันกรอด เมื่อเห็นทุกคนหัวเราะอย่างสะใจโดยไม่ปิดบัง เขาก็ชี้หน้ากู้จื้อเฉิงพร้อมพ่นคำพูดแย่ ๆ ออกมา “แก ฝากไว้ก่อนเถอะ ! ” จากนั้นก็กระทืบเท้าเดินจากไปอย่างโกรธแค้น
หยางเสี่ยวหลงอายุ 30 ปีแล้ว แต่ถูกกู้จื้อเฉิงสั่งสอนแบบเด็ก ๆ ต่อหน้าของทุกคน อับอายจนแทบมุดแผ่นดิน ขายขี้หน้าถึงบ้านหญิงแก่เลยทีเดียว
ทุกคนต่างพูดกันว่าเลขาคนใหม่เป็นทหาร แต่ไม่มีใครสนใจคำพูดเหล่านี้ ปกติแล้วก็มักจะเห็นเขาวุ่นอยู่กับภรรยาที่งดงามหยาดเยิ้ม และมักถูกผู้อาวุโสเหล่านี้หัวเราะเยาะเสมอ แต่เมื่อเห็นเขาจัดการลงโทษหยางเสี่ยวหลงรวดเร็วปานสายฟ้าต่อหน้าต่อตา ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นคนคมในฝัก
คนในตระกูลหยางและตระกูลจ้าวเดินเข้ามาในห้องทำงานของกู้จื้อเฉิง นอกจากนี้ก็ยังเชิญเถ้าแก่หวังอู่เจ้าของเต้าหู้ หยางจิ่วจินที่ทำงานในโรงพยาบาล ชาวประมงซ่ง และเฉินเอ้อขุยวิ่งกลับมาอย่างร้อนรนเข้ามาในห้องด้วย เมื่อประตูห้องทำงานถูกเปิดออก ก็มีผู้คนมากมายยืนออดูความสนุกกันอยู่หน้าประตู
หยางชางเซิ่งและหยางหงเซิ่งก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของหมู่บ้าน เมื่อคนใดคนหนึ่งไม่มา ไม่สิ หยางเสี่ยวหลงที่ถูกกู้จื้อเฉิงทำร้ายคนนี้มาแล้วนี่
“สถานการณ์ที่พวกคุณได้กล่าวมาทั้งหมด ผมเข้าใจดี ตอนนี้เรื่องที่ผมอยากถามคือพวกคุณอยากให้ทั้งสองตระกูลนั่งคุยกันดี ๆ หรือจะให้พวกเขากลายเป็นศัตรูต่อกัน ? ” กู้จื้อเฉิงไม่รอให้ทั้งสองตระกูลได้เอ่ย เขาก็ยิ้มและพูดต่อ “ในเมื่อมากันพร้อมหน้าพร้อมตาที่นี่แล้ว ก็น่าจะอยากพูดคุยกันดี ๆ ทุกคนต่างรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม เราจึงต้องมาคุยกัน แต่ห้ามทะเลาะและห้ามสร้างปัญหาเด็ดขาด ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ให้สมกับความเป็นผู้ชาย เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านของตนที่ต้องจิกกัดเหมือนพวกผู้หญิงเหล่านั้น”
ทุกคำพูดที่กู้จื้อเฉิงพูดออกมา ทำให้ผู้หญิงของทั้งสองตระกูลที่ยืนอยู่หน้าประตูเกิดความไม่พอใจ หญิงสาวตระกูลจ้าวจึงบ่นพึมพำว่า “เลขากู้คะ คุณหมายความว่าอย่างไร ? ผู้หญิงอย่างเรา ๆ มันน่าอับอายตรงไหนมิทราบ ? สมัยนี้ผู้หญิงก็ไม่เป็นสองรองใครแล้วนะคะ ตระกูลจ้าวเป็นใหญ่ที่สุด คุณพูดแบบนี้หมายความว่าอะไรคะ ? ”
หญิงสาวตระกูลหยางอีกคนก็ไม่น้อยหน้า “ใช่ คุณพาสะใภ้ไปไหนมาไหนทุกวัน แต่กลับอวดดีไม่ยอมบอกว่าหล่อนเป็นภรรยาของคุณ สะใภ้บ้านอื่นต่างก็สร้างปัญหากันทั้งนั้น แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาปกป้องคนพวกนี้ด้วย!”
กู้จื้อเฉิงไม่ส่งเสียงใด ๆ และไม่ปลายตามองพวกหล่อนสักนิด เช่นเดียวกับจางฉุ้ยเหลียนที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอได้แค่ยิ้มและพูดว่า “นี่เป็นข้อพิพาทระหว่างสองตระกูล ทำไมต้องให้ถึงมือผู้หญิงอย่างเราด้วย”
สะใภ้ของตระกูลหยางส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “ขอพิพาทของทั้งสองตระกูล ก็ควรให้เราได้คุยกัน ทำไมถึงไม่ให้พวกผู้หญิงอย่างเราคุยด้วยล่ะ ทำไมถึงเลือกปฏิบัติกับผู้หญิงแบบนี้ ? สะใภ้อย่างเราก็คนเหมือนกัน เราไม่ใช่คนหรือไง ? ”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นหล่อนเริ่มโวยวาย เธอกลับไม่ลงสนามสู้รบกับหล่อนแต่อย่างใด รู้ดีแก่ใจว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือใครได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นน้ำเสียงของเธอจึงอ่อนโยนลง “ไม่ได้บอกว่าไม่ให้พวกเธอเข้าไป จริง ๆ ห้องทำงานก็เล็กขนาดนั้น เธอดูสิ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนดึงดูดผู้คนเข้ามาดูความสนุกทั้งหมู่บ้านแล้ว ถ้าไม่พูดวันนี้คงดูไม่ดีแน่ พวกเธอจะทะเลาะก็ทะเลาะไป จะโวยวายก็โวยวายไป อยากแก้ไขปัญหากันไม่ใช่หรือ ตอนนี้ก็คงได้แต่ดูว่าพวกผู้ชายจะว่าอย่างไร พวกเขากล้าเผชิญหน้ากับคนอื่นไหม ? ”
เมื่อพูดจบ หญิงสาวทั้งสองตระกูลก็เงียบปากทันใด เสียงร้องตะโกนเมื่อสักครู่เป็นของสะใภ้หลวงทั้งสองตระกูลนี้ ถึงขั้นด่ากราดกลางถนนก็เคยทำมาแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งสองตระกูลกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตต่อกัน พวกหล่อนไม่กลัวการผูกแค้นพยาบาท ได้แต่โวยวายอย่างไม่เข้าท่าอยู่ในใจเท่านั้น
จางฉุ้ยเหลียนพยายามโน้มน้าวหญิงสาวทั้งสองตระกูล พวกผู้ชายในห้องทำงานก็เริ่มปรึกษาหารือกันอีกครั้ง และได้ยินกู้จื้อเฉิงพูดว่า “พูดกันทีละคนนะครับ บอกเรื่องราวที่คิดว่าไม่เป็นธรรม แต่พวกคุณต้องมีความเป็นลูกผู้ชายกันด้วยนะ เวลาพูดห้ามพูดแทรก ไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่จบ”
ภรรยาเลขากู้เข้าใจสิ่งที่ได้ยินเมื่อสักครู่เป็นอย่างดี เพียงเพราะเรื่องนี้ทำให้พวกเขาสร้างปัญหาวุ่นวายเป็นครึ่งค่อนวัน และเมื่อแก้ไขกันไม่ได้ก็พากันมาให้เลขากู้ตัดสินความบาดหมางตั้งแต่เช้าตรู่ จริง ๆ มันก็น่าขายหน้าอยู่หน่อย ๆ
“ให้ผู้ปกครองของเด็กเป็นฝ่ายพูดก่อนว่าพวกเขาคิดอย่างไร!” กู้จื้อเฉิงผายมือไปเชิญผู้ใหญ่ตระกูลจ้าว
คนในตระกูลจ้าวไม่จู้จี้ พูดออกไปตรง ๆ ว่า “ฉันไม่มีอะไรจะพูด หวังแค่ตระกูลหยางจะมีสัจจะ ผิดก็ว่าไปตามผิด กล่าวขอโทษ ทำได้ไหมล่ะ ? ”
ทันทีที่พูดจบ หญิงสาวตระกูลหยางที่ยืนฟังอยู่ข้างนอกก็แผดเสียงแหลมขึ้นทันใด “พวกคุณทุบตีสุนัขของเราจนตาย ใครควรขอโทษใครกันแน่ มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้เราขอโทษพวกคุณ…”
เมื่อสิ้นสุดคำพูดนี้ หญิงสาวตระกูลจ้าวที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตอกกลับทันควัน และการทะเลาะก็เริ่มต้นขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกครั้ง กู้จื้อเฉิงจ้องเขม็งไปทางผู้ชายตระกูลหยางด้วยสายตาเย็นยะเยือก จากนั้นก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอนกายพิงพนักค่อย ๆ จิบชาอย่างช้า ๆ
ผู้ชายตระกูลหยางรู้สึกไม่ดี เขาเข้าใจคำพูดเมื่อสักครู่ของเลขากู้ดี ภรรยาของตนไม่เข้าใจอะไรเสียเลย แถมยังพูดจามั่วซั่วไม่ได้ความอีก เขารุดหน้าไปตะโกนใส่หญิงในตระกูลของตน “หยุดโวยวายได้แล้ว ไม่จบสักที กลับบ้านไปเลยไป!”
เมื่อภรรยาถูกเขาตะโกนใส่เช่นนั้นก็รู้สึกเสียหน้าขึ้นมาทันใด คนภายนอกต่างรู้ดีว่าสามีไม่ควรทำแบบนี้กับภรรยา หล่อนจึงเท้าสะเอวและเชิดหน้าชูคอ ก่อนจะตะโกนออกไปด้วยความโกรธเคือง “คุณก็เก่งแต่กับฉัน แน่จริงก็ไล่คนนอกกลับด้วยสิ!”
ยังไม่ทันพูดจบ ผู้ชายของตระกูลหยางก็ได้ยินเสียงที่แฝงไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามดังเข้ามาในหู “พี่ใหญ่หยาง ถ้าพี่ไม่สนใจครอบครัวก็ออกไป แล้วให้ภรรยาของพี่มานั่งแทน”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของผู้ชายตระกูลหยางก็แดงเถือกด้วยความโกรธ จากนั้นก็หันกลับไปมองกู้จื้อเฉิงที่พูดเมื่อสักครู่ ในเวลานี้กู้จื้อเฉิงกำลังคลี่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็โพล่งใส่หญิงสาวตระกูลหยางว่า “1 ครอบครัว ส่งตัวแทนมาได้ 1 คน ใครที่พูดกันได้และเข้าใจได้ง่ายก็ส่งคนนั้นมา สมัยนี้ผู้หญิงไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชาย งั้นเธอก็มานั่งเจรจากับพวกผู้ชายเหล่านี้แล้วกัน ให้ผู้ชายของเธอกลับไปกินข้าวอย่างสบายใจที่บ้านเถิด”
ทุกคนส่งเสียงฮือฮาออกมา จากนั้นก็พากันหัวเราะเสียงดัง หญิงสาวตระกูลหยางคิดหาทาง หาโอกาสแทรกตัวเข้าไป หญิงสาวตระกูลจ้าวก็เชื่อฟังมากเสียเหลือเกิน เมื่อพบว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี พวกหล่อนก็รีบไปหลบหลังคนอื่นไม่ส่งเสียงใด ๆ
ผู้คนในหมู่บ้านยังคงยืนหยัดในระบบอนุรักษ์นิยม ยังคงเชื่อในความคิดของคนรุ่นเก่า ผู้ชายเก่งเรื่องนอกบ้าน ผู้หญิงเก่งเรื่องในบ้าน ยังเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล การทำร้ายภรรยาเป็นเรื่องปกติของทุกบ้าน ทุกคนมักจะพูดกันว่า ‘ต้นกล้าถ้าไม่ต้องลมก็คงไม่ตั้งตรง คนเราถ้าไม่รู้จักแก้ไขก็จะร้ายอย่างรุนแรง”
เมื่อผู้ชายตระกูลหยางถูกกู้จื้อเฉิงเหยียดหยามต่อหน้าทุกคน คนในหมู่บ้านกำลังหัวเราะเยาะเขา ทำให้เขาโกรธควันออกหู ถ้าไม่ใช่เพราะมีเรื่องและต้องเคลียร์กันให้จบตรงนี้ เขาก็คงลากตัวภรรยาไประบายความโกรธแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่ากู้จื้อเฉิงยังมีความสามารถเสี้ยมให้คนอื่นแตกคอกันแบบนี้ แต่ถ้าเป็นผู้ชายที่ฉลาดที่สุดก็คงจะรู้ว่าจุดอ่อนของพวกเขาอยู่ที่ไหน
กู้จื้อเฉิงถามผู้ชายของตระกูลจ้าวอย่างเนิบ ๆ ว่า “นอกจากค่ารักษาพยาบาลแล้ว ยังต้องการเรียกร้องอะไรอีกไหมครับ ? ”
ผู้ชายตระกูลจ้าวเองก็เป็นคนมีหน้ามีตา ลูกชายฉีดยารักษาบาดทะยักแล้ว ทายาก็แล้ว แต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน แต่เมื่อเทียบกับเงินแล้ว ความตกใจของลูกชายเป็นเรื่องที่เขาปวดใจที่สุด แต่พ่อของตนก็ได้ฆ่าสุนัขตัวนั้นไปแล้ว จะพูดก็ไม่มีประโยชน์
เขาจึงพูดว่า “จะเรียกร้องเงินหรือไม่นั้น มันก็ไม่สำคัญแล้ว เราไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้แล้ว เพราะถึงอย่างไรครอบครัวของเราก็ฆ่าสุนัขของพวกคุณ เราเองก็ทำไม่ถูกต้อง แต่พวกคุณก็ไม่ควรรังแกคนที่ด้อยกว่าแบบนี้ เข้าใจไหม!”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้า จากนั้นก็หันไปถามผู้ชายตระกูลหยางว่า “พี่ใหญ่ครับ ดูท่าจะขึ้นอยู่กับพวกคุณแล้วล่ะ ผมจะคอยดูว่าพี่จะเป็นผู้ชายจิตใจเด็ดเดี่ยวหรือเปล่า พูดมากก็เปลืองน้ำลาย ขอสั้น ๆ ดีกว่า พวกคุณจะเอาอย่างไร ? ”
เมื่อผู้ชายตระกูลหยางเห็นคนในตระกูลจ้าวใจกว้างมากขนาดนี้ ก็อดพึมพำขึ้นมาในใจไม่ได้ พวกเขาทะเลาะกันมาตั้งแต่บ่ายของเมื่อวาน จนกระทั่งทั้งสองตระกูลลงไม้ลงมืออย่างไม่ปรานี ตอนนี้ก็โหวกเหวกโวยวายจนเรียกคนทั้งหมู่บ้านมามุงดูความสนุก น่าขายหน้าสิ้นดี เจ้าตัวก็พูดแล้วว่าไม่เอาเงิน ขืนยังเรียกร้องค่าชดใช้ให้กับสุนัขที่ตายก็คงจะขี้งกเกินไป
แล้วคนภายนอกจะพูดถึงเขาอย่างไร ? จะเอาความสกปรกโสมมไปฝังรากลึกในตัวทุกคนทำไม ? ก็แค่สุนัขตัวเดียวไม่ใช่หรือ จะเรียกร้องเท่าไหร่ ?
เมื่อคิดได้พี่ใหญ่หยางจึงพูดทื่อ ๆ ออกไป “ฉันจะหมายความอย่างไรได้ล่ะ ถึงจะโกรธมากที่พวกเขาทำสุนัขเราตาย แต่ตอนแรกเราเองก็ไม่รู้ว่าสุนัขของเราไปไล่กัดคนอื่น มันวิ่งออกไปเองแถมยังวิ่งกลับมาเองโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งคุณลุงเข้ามาในบ้าน และเอาไม้พลองไล่ตีสุนัขจนตาย คุณว่าคนเหล่านี้ก็คงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เป็นใครจะทนได้”
กู้จื้อเฉิงจึงถามต่อ “ไม่ต้องพูดเรื่องสุนัขกัดใครหรอก คุณพูดมาเลยว่าจะให้ตระกูลจ้าวชดใช้ค่าสุนัขของคุณหรือไม่และเท่าไหร่ พูดออกมาให้ชัด ๆ ไปเลย”
มีสองเรื่องที่ตระกูลจ้าวต้องเตรียมรับมือคือ หนึ่ง ถ้าเขาไม่ยอมรับว่าสุนัขไล่กัดเด็ก และสอง ไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย แล้วตระกูลหยางโพล่งว่าโกรธที่ผู้อาวุโสฆ่าสุนัขของตน
MANGA DISCUSSION