ตอนที่ 319 ลำบากใจ
จางฉุ้ยเหลียนนึกไม่ถึงว่ากู้จื้อเฉิงจะได้ทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรกในหมู่บ้านหยางจวง นั่นคือการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประชาชน
หลานตัวน้อยของตระกูลจ้าวและเด็กคนอื่นพากันมาเล่นในโรงงานผลิตกระดาษที่รกร้าง ผลลัพธ์คือถูกสุนัขของตระกูลหยางที่ไม่ได้ล่ามโซ่ไล่กัด เด็กน้อยคนอื่นแบกหลานชายของตระกูลจ้าวกลับบ้าน เมื่อเห็นดังนั้น ตระกูลจ้าวจึงรีบพาเด็กไปฉีดยาที่โรงพยาบาลทันที แต่ระหว่างนั้นกลับไม่มีใครตระหนักว่าปู่ของเด็กคนนี้หายไปไหน
ต่อมาก็ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า ปู่ตระกูลจ้าวถือไม้พลองขนาดใหญ่ด้ามหนึ่งไปทุบตีสุนัขของตระกูลหยางจนตาย ไม่เพียงแค่ทุบตีจนตายแล้วเท่านั้น ตนเองก็ยังถูกสุนัขตัวนั้นกัดไปก่อนแล้ว 2 แผลด้วย
ตระกูลหยางไม่ยอม ตระกูลจ้าวเองก็ไม่พอใจเช่นเดียวกัน ทะเลาะวิวาทจนเรื่องราวใหญ่โตเลยพากันมาขอความช่วยเหลือจากอาสี่ผู้ใหญ่บ้านให้ช่วยตัดสิน ในฐานะที่อาสี่เป็นผู้ใหญ่บ้านที่น่าเชื่อถือที่สุด แต่ในเวลานี้เขากลับแกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอด และพูดว่า “เลขากู้เป็นเจ้าหน้าที่ที่ทางการส่งมาให้หมู่บ้านของเรา เรื่องแบบนี้ต้องไปหาเลขากู้แล้วล่ะ”
กู้จื้อเฉิงจะไปรู้ได้อย่างไร ถ้าตัดสินเรื่องนี้ออกมาไม่ดี ต่อให้ปฏิรูปหมู่บ้านใหม่อย่างไรก็สูญเปล่า อีกทั้งอาสี่ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ยอมลงมาแก้ไขด้วยตนเอง แต่คนมีหน้ามีตาในหมู่บ้านเหล่านั้นกลับมารวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้แทน
ตอนอดีตชาติ จางฉุ้ยเหลียนเคยเห็นละครโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดวิถีชาวไร่ชาวนาและเคยเห็นการทะเลาะวิวาทแบบนี้มากมายเช่นกัน ทำให้เธอตระหนักได้อย่างฉับพลันว่าคนเก่าคนแก่ไม่มีทางหลอกลวง
พวกเขาทั้งสองมีสติปัญญามากพอ ถ้าเป็นฉากทะเลาะวิวาทของบทละครในโทรทัศน์ บทแรกคือการตายสถานเดียว มือที่มองไม่เห็นได้ผลักไสออกไป ผู้ใหญ่บ้านคนนี้ร้ายกาจเสียจริง
จางฉุ้ยเหลียนกำลังนึกถึงเรื่องไข้ทรพิษ ส่วนกู้จื้อเฉิงต้องทนฟังเสียงทะเลาะวิวาทของทั้งสองครอบครัวสะเทือนเข้าไปถึงในหูจนเกิดเสียงวิ้ง ๆ
ตระกูลจ้าวมีเหตุผลในการต่อต้าน “ใครใช้ให้พวกเธอไม่ล่ามโซ่สุนัขจนให้มันมากัดลูกหลานของเรา พวกเธอรู้ไหมว่าหลานของเราเป็นหลานชายเพียงคนเดียวในสามชั่วอายุคน คิดว่าเป็นโชคร้ายของเขางั้นหรือ? โชคดีที่ไม่ได้โดนสุนัขกัดร้ายแรงเท่าไร แค่อกสั่นขวัญแขวนเท่านั้น ”
ตระกูลหยางก็มีเหตุผลเช่นกัน “เราล่ามโซ่สุนัขไว้อย่างดี ทำไมตระกูลพวกเธอถึงไม่ดูลูกหลานให้ดีล่ะ ? โรงงานผลิตกระดาษแห่งนั้น ตระกูลเธอไปได้ ตระกูลฉันก็ต้องไปได้สิ”
ตระกูลจ้าวโต้กลับ “ตีหมาตายไปหนึ่งตัว ก็หาว่าเอาเปรียบพวกเธอแล้วงั้นสิ หมามันมีค่ากว่าคนตรงไหน ? ”
ตระกูลหยางไม่ยอมรับผิด “จะตีหมาก็ต้องเห็นแก่เจ้าของมันด้วยสิ ตระกูลของเธอไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย หมาของเรากัดลูกหลานของพวกเธอ ก็ต้องมาคุยกับเราก่อน ว่าเราควรชดใช้ค่ารักษาพยาบาลอย่างไร หมาของเรา เราตีมันเองได้ สิ่งสำคัญก็คือนี่เป็นหมาของเรา เรามีสิทธิ์ตีมันได้ แต่พวกเธอไม่มีสิทธิ์ตีมัน”
อีกทั้งตระกูลหยางก็ยังรู้สึกว่าไหน ๆ เรื่องก็กลายมาเป็นแบบนี้แล้ว สุนัขของเรากัดคนของพวกเธอ คนของพวกเธอก็ตีสุนัขของเราจนตายแล้ว เช่นนั้นต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครเสียเปรียบ
คนของตระกูลจ้าวโกรธจนควันออกหู ค่ารักษาพยาบาลในครั้งนี้ต้องเป็นหน้าที่รับผิดชอบของตระกูลหยาง ไม่เพียงแต่เงินปลอบขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ยังต้องจ่ายค่าตรวจทั้งหมดให้ตระกูลจ้าว ถึงจะเรียกว่าสมเหตุสมผล
คนในตระกูลหยางไม่ยอม แบบนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขาได้สูญเสียสุนัขไปอย่างเปล่าประโยชน์น่ะสิ
สงครามในครั้งนี้หาจุดจบไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตน ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน พากันมาโวยวายถึงหน้าบ้านของกู้จื้อเฉิง มีหลายครั้งที่ทั้งสองฝ่ายทะเลาะถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ ในบรรดาผู้คนที่ชอบดูความสนุกของคนอื่นยังคิดเลยว่าการทะเลาะกันในครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง จนต้องตำหนิและแยกทั้งสองออกจากกัน
ยังไม่ทันรอให้กู้จื้อเฉิงเอ่ยปาก ก็ได้ยินคนเหล่านี้พูดถึงเหตุการณ์ก่อน-หลังของทั้งสองตระกูล
ทั้งสองคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบ ๆ แต่ในใจรู้สึกว่ารู้จักคนที่อยู่ในหมู่บ้านเหล่านี้ดี คนที่อยู่ในหมู่บ้านต่างก็พูดกันว่าตระกูลหยางเป็นผู้รากมากดีคล้ายกับผู้อาวุโสหัวโบราณคร่ำครึ
นักการบัญชีของหมู่บ้านหยางจวงเป็นคนต่างถิ่น แต่ก็ได้แต่งงานกับสะใภ้คนหนึ่งที่มีชื่อว่าหม่านซิ่วเอ๋อ แม่ของหม่านซิ่วเอ๋อเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของผู้ใหญ่บ้านหยางชางเซิ่ง พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดได้ลาจากโลกนี้ไปแล้วเหลือเพียงแค่ลุงร่วมสายเลือดเดียวกัน 2 คนเท่านั้น หล่อนมักจะไปตั้งแผงขายของหน้าประตูโรงเรียน ขายดินสอ ยางลบ ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ ส่วนสามีก็คือเฉินเอ้อขุยที่จบการบัญชีมาโดยตรง ทั้งสองมีลูกสาวด้วยกัน 1 คนชื่อว่า เฉินชาชา
เฉินเอ้อขุยเป็นคนขี้ขลาด กู้จื้อเฉิงเห็นเขาแต่งตัวด้วยเสื้อสูทเก่า ๆ ใส่แว่นตาทรงกลมและหนีบกระเป๋าเอกสารไว้ระหว่างแขน ออกไปข้างนอกทุกวัน เขายิ้มตาหยีเหมือนกับโจรชั่วในคราบคนดี แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบตัวของหยางชางเซิ่ง ที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลี่เหลียนอิงขันทีคนสนิทของซูสีไทเฮาแต่อย่างใด
ในเวลานี้ เขายืนอยู่นอกฝูงชน รอให้ทั้งสองตระกูลแยกจากกันก่อน แล้วค่อยเข้าไปยืนพูดท่ามกลางฝูงชนด้วยความหงุดหงิดใจ แต่ก็ดูออกว่าผู้ชายคนนี้เป็นนักการบัญชีและไม่ได้มีตำแหน่งพิเศษ คำพูดของเขาจึงไม่มีใครฟัง
“พวกคุณจะจบกันได้หรือยังครับ ? จะตีกันจนตายเลยไหม ? เพราะเรื่องนี้ทั้งสองตระกูลจึงกลายเป็นศัตรูกัน เพียงคำพูดไม่กี่คำก็ทำให้พวกคุณอึดอัดได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ? อยากจะทะเลาะกันนักก็ทะเลาะกันที่นี่ให้พอ ดูสิว่าจะละอายใจกันบ้างไหม” คำพูดนี้เป็นคำพูดของเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่ง
กู้จื้อเฉิงกระซิบกระซาบกับจางฉุ้ยเหลียน “นี่คือลูกชายคนที่สามของหยางหงเซิ่ง ชื่อหยางเสี่ยวหลง หยางจินเฟิงเป็นน้องสาวของเขา”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเข้าใจ หยางหงเซิ่งเป็นน้องชายแท้ ๆ ของหยางชางเซิ่ง ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นคนในหมู่บ้านแห่งนี้ เพียงแต่ปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยออกมาเดินเตร็ดเตร่ในหมู่บ้านให้เห็นสักเท่าไร เขามีลูกชาย 3 คน ลูกสาว 1 คน ลูกชายทั้ง 2 คนก่อนหน้านั้นไปทำงานอยู่ในเมืองหลวง ส่วนลูกชายคนเล็กเปิดร้านอาหารอยู่ในหมู่บ้าน
หยางจินเฟิงที่กู้จื้อเฉิงพูดถึงก็เป็นพยาบาลที่อยู่ในโรงพยาบาลของหมู่บ้านคนนั้น หน้าตาธรรมดาแต่ทำตัวเป็นไก่ป่าที่หุนหันพลันแล่นและเย่อหยิ่ง แต่เพราะเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลหยาง คนในบ้านจึงให้ความสนใจประคบประหงมหล่อนมากเป็นพิเศษ
หยางชางเซิ่งเป็นคนที่มีความมั่นใจแรงกล้าที่สุดในหมู่บ้าน เป็นเพราะว่าเขามีลูกทั้งหมด 5 คน อีกทั้งยังเป็นลูกชายทั้งหมดอีกด้วย ในหมู่บ้านหยางจวง ผู้ชายเหนือกว่าผู้หญิง จึงเห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องที่คุ้มค่าสำหรับการเย่อเหยิ่ง
ลูกชายทั้ง 5 คนของเขาก็เป็นคนเก่งมากด้วย พี่ใหญ่หยางเหย้าจู่เป็นเจ้าของที่ดินกว่า 20 ส่างที่หวังต้าฮวาในร้านขายของชำพูดถึงคนนั้น ส่วนลูกชายอีก 4 คนของหยางชางเซิ่งไม่ได้อยู่กับเขา ลูกคนรองไปเป็นนักบัญชีของรัฐบาลในเมือง ลูกคนที่สามเป็นผู้ให้บริการทางด้านท้องถนน ลูกคนที่สี่เป็นอาจารย์สอนวิชารัฐศาสตร์ ส่วนลูกชายคนเล็กสุดไม่มีอนาคตแต่ไปขายอาหารสำเร็จรูปอยู่ในเมืองไหนสักเมือง
แม้จะเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน แต่ก็ไม่ได้ทำตัวไร้ประโยชน์แต่อย่างใด ลูกชายทั้ง 5 คนไม่เพียงแต่จะมีความสามารถเป็นของตนเองแล้ว ยังดีกว่าคนอื่น ๆ อีกด้วย ไม่เพียงแค่นี้เขายังนำพาหลานชายไปในทางที่ดีอีกด้วย ทำให้หยางเสี่ยวหลงน้องคนที่สามคนนี้มีทักษะในงานฝีมือ ลูกสาวเพียงคนเดียวหยางจินเฟิงก็เป็นพยาบาล และกลายเป็นหงส์ทองที่ดูมีราคาที่สุดของหมู่บ้าน
แค่การจัดการนี้ ผู้ใหญ่บ้านหยางชางเซิ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดาแล้ว เขาเป็นวัว แถมยังเป็นวัวตัวใหญ่อีกด้วย
ในฐานะที่หยางเสี่ยวหลงเป็นบุคคลที่โดดเด่นในหมู่วัยรุ่นของหมู่บ้าน การปรากฏตัวของเขาก็ยังเป็นตัวแทนของทั้งสองตระกูลอีกด้วย เด็กหนุ่มวัยละอ่อนคนเดียวยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้
“ไอ้หยา พี่ห้าพูดมาเลย พี่ตัดสินมาเลยดีกว่า” ทันทีที่คนในตระกูลจ้าวเห็นคนในตระกูลหยางเอ่ยปาก ในใจของเขาจึงร้อนรนรีบไปหาคนขึ้นมาพูดทันที
หมู่บ้านหยางจวงมีคนต่างถิ่นเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่คนเหล่านี้กลับมีชีวิตที่ดียิ่งกว่า ซึ่งทำให้รู้สึกเคยชินต่อการต่อต้านและไม่ต้อนรับคนต่างถิ่นนัก ปกติแล้วเวลามีเรื่องอะไรก็มักจะโยนมาถึงตัวเขาตลอด
คนในตระกูลจ้าวที่ถูกเอ่ยชื่อว่าพี่ห้า จางฉุ้ยเหลียนจำได้แม่นยำ คน ๆ นี้มักจะถีบจักรยานบรรทุกเต้าหู้ร้อนไว้บนที่นั่งด้านหลัง ออกไปข้างนอกทุกวัน เขาตะโกนไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและยืดยาว “เต้าหู้จ้า ~ เต้าหู้ ~” อีกทั้งคำที่พูดว่าหู้ก็เป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายด้วย
เขาเป็นพ่อของหวังต้าฮวา เป็นคนต่างถิ่นคนแรกที่ทำธุรกิจในหมู่บ้านแห่งนี้ สำหรับเงื่อนไขเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ หยางจิ่วจิน หยางเหย้าจู่ หวังอู่ ต่างก็เป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่แท้จริงของหมู่บ้านหยางจวง
และไม่รู้ว่าใครตะโกนเรียกคณะกรรมการของหมู่บ้านให้พากันมาดูความวุ่นวายเหล่านี้ด้วย
ทันทีที่คนในตระกูลจ้าวเอ่ยปาก ทุกคนก็มองไปทางหวังอู่กันเป็นตาเดียว หวังอู่เหมือนจะโกรธ ยกมือขึ้นมาชี้หน้าด่ากู้จื้อเฉิง “ฉันพูดไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร เธอก็เห็นว่าเลขากู้ก็อยู่ที่นี่ด้วย พวกเธอควรฟังเลขากู้ ก่อนที่จะโวยวาย”
ทุกคนมองไปทางกู้จื้อเฉิง จางฉุ้ยเหลียนทอดถอนใจเบา ๆ และนึกถึงเขาขึ้นมาได้ ดูท่าทางน้ำที่ไหลเวียนอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้จะลึกมากเสียแล้ว แต่ยังไม่ทันรอให้จางฉุ้ยเหลียนถอนใจเสร็จ เธอก็เห็นหยางเสี่ยวหลงโบกมือไปมา “เขาเพิ่งย้ายมาเป็นเลขาได้ไม่นาน ยังไม่เข้าใจและไม่รู้เรื่องรู้ราว คุณให้เขาแก้ไขปัญหานี้ ไม่เท่ากับเป็นการสร้างความลำบากใจให้เจ้าตัวหรอกหรือ ? บรรดาผู้อาวุโสในตระกูลหยางก็อายุมากแล้ว ใครยังไม่รู้จักใครบ้างเล่า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ต่างก็พูดกันว่าเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนเบิกตากว้าง เธอไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มวัยรุ่นตรงหน้าคนนี้จะไม่ระมัดระวังตัวได้ถึงขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ชายร่างสูง 180 เซนติเมตรอย่างกู้จื้อเฉิงก็ยืนอยู่ด้วย เขายังมองข้ามได้อย่างไม่น่าเชื่อ มองข้ามจริง ๆ หรือตั้งใจเหยียดหยามกันแน่ ?
ไม่รู้ว่าทำไมจางฉุ้ยเหลียนถึงคิดถึงคำที่อ้างอิงจากหนังสือโบราณอย่าง ‘ชี้กวางเป็นม้า’ ขึ้นมาได้ เธอรู้ได้ทันใดว่าสภาพจิตใจในทั้งสองชาติแตกต่างกับกู้จื้อเฉิงในตอนนี้มาก
เมื่อทุกคนได้ฟังคำพูดของหยางเสี่ยวหลง แน่นอนว่าสายตาที่จับจ้องกู้จื้อเฉิงได้เบี่ยงเบนมาทางเขาแทน แม้กระทั่งคนในตระกูลหยางเองก็อดถามขึ้นไม่ได้ “เสี่ยวหลง นายลองบอกมาสิว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ ? ”
หยางเสี่ยวหลงชำเลืองตาไปทางกู้จื้อเฉิง จากนั้นก็มองไปทางคนในตระกูลจ้าวด้วยท่าทางลำพองใจ การแสดงออกนั้นตั้งใจเหยียดหยามสิ้นดี ท่าทางกระหยิ่มใจและนิสัยอวดดีคงจะอาศัยบารมีของคนอื่นมาอวดอ้างล่ะสิไม่ว่า
“คุณบอกว่าลูกหลานของพวกคุณถูกหมากัด กัดจนเนื้อขาดหรือว่ากัดจมเขี้ยวล่ะ ? ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คนในตระกูลจ้าวก็เกิดความไม่พอใจ จนมีผู้หญิงคนหนึ่งแผดเสียงแหลมด่าทอออกไป “กัดจนเนื้อขาดงั้นหรือ ? หยางเสี่ยวหลง ทำไมถึงพูดจาแบบนี้ ? หมายความว่าอย่างไร ? ”
ผู้หญิงตะวันออกเฉียงเหนือเป็นคนพูดตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและมีเสียงที่สูงกว่าคนอื่น ปกติเวลาพูดคุยกันก็มักจะแผดเสียงสูงกว่าคนอื่นอยู่เสมอ ตอนนี้ได้ดังจนสะเทือนถึงข้างในรูหูเลยทีเดียว
หยางเสี่ยวหลงจับจ้องไปทางผู้หญิงคนนั้นอย่างเบื่อหน่าย จากนั้นก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เหนือชั้นกว่า “หมายความว่าอย่างไร ? แล้วคุณคิดว่ามันหมายความว่าอย่างไรล่ะ ? ก็กลับมาจากโรงพยาบาลแล้วไม่ใช่หรือ ? ได้ฉีดยาแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ ทำไมพวกคุณยังคิดจะเอาผิดอีกครับ ? ขัดสนเงินทองหรือ ? ขัดสนเงินทองก็ขายเลือดสิ จู้จี้กับใครอีกล่ะ? ”
ทันทีที่โพล่งคำพูดนี้ออกมา จางฉุ้ยเหลียนก็เงยหน้ามองสีหน้าของกู้จื้อเฉิงทันใด และก็เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้จริง ๆ สีหน้าของเขาดูแย่อย่างที่คิดไว้ เช่นเดียวกับหยางเสี่ยวหลงผู้ยโสโอหังอาศัยอำนาจเพียงน้อยนิดมาสร้างสงครามนี้ คำพูดที่มิอาจพูดได้และมิอาจดูถูกลูกผู้ดีมีสกุลรุ่นที่สองที่คิดว่าจะสร้างความปั่นป่วนให้กับคนอื่นได้ ในสายตาของกู้จื้อเฉิงนั้นเป็นเพียงแค่การหาเรื่องใส่ตัว มีทหารคนใหม่ภายใต้การบัญชาของเขากี่คนที่ถูกส่งไปยังค่ายทหารเพียงเพราะครอบครัวคุมไม่ได้ ปกติแล้วอันธพาลเหล่านั้นมักจะสร้างปัญหา รังแกผู้อื่น ทำเรื่องต่ำช้า เมื่อเข้าไปในค่ายทหารยังไม่ทันได้เป็นทหารที่ถูกเคี่ยวกรำก็ไม่กล้าทำตัวกร่างหยิ่งผยองเสียแล้ว
เมื่อหยางเสี่ยวหลงพูดจบ กู้จื้อเฉิงก็รุดขึ้นหน้าไป
MANGA DISCUSSION