ตอนที่ 318 เข้าใจประชากร
“แล้วตกลงต้องจ่ายให้เจ้าตัวเท่าไหร่ ? ” จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางกู้จื้อเฉิงอย่างไม่เข้าใจ
หวังต้าฮวาจึงพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “1 ไร่ 150 หยวน, 300 ไร่ คิดเป็นเงิน 45,000 หยวน จะปลูกพืชไร่ 1 ส่างคิดเป็นเงินอย่างน้อย 150 หยวน, 1 ไร่ ใช้ปุ๋ยเคมี 4 ถุง คิดเป็นเงิน 150 หยวน ยาฆ่าแมลง 2 ครั้งต่อ 1 ส่าง คิดเป็นเงิน 120-130 หยวน นี่คิดเป็น 1 ส่างนะ… ”
จางฉุ้ยเหลียนหันขวับอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คิดออกมาได้เป็น “ที่ดิน 1 ส่างต้องจ่ายเงิน 4,500 หยวน , 20 ส่างก็เท่ากับ 9,000 หยวนน่ะสิ อีก 1 ปี ต่อมาถ้ามีงบประมาณไม่ถึง 60,000 ก็คงจะไม่พอ”
สองสามีภรรยากู้ไม่เคยเป็นชาวไร่ชาวนามาก่อน พวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอาชีพชาวไร่ชาวนามาเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น เขาต้องถามผู้ใหญ่บ้านด้วยความเกรงใจอีกครั้ง ถ้ามีโอกาสจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดแจ้งให้ได้ เขาส่งสายตามาทางจางฉุ้ยเหลียน แต่เธอแกล้งถามเหมือนทองไม่รู้ร้อนว่า “งั้นที่ดิน 1 ส่างจะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่คะ ? ปลูกอะไรที่สร้างเงินได้บ้าง ข้าวนาดำหรือไร่ข้าวโพด ? ”
หวังต้าฮวายิ้ม “จะปลูกข้าวนาดำมากมายขนาดนั้นได้ที่ไหนกัน อีกอย่างที่ดินมากมายขนาดนี้ใครเขาจะมาปลูกไร่ข้าวโพดล่ะ มันง่ายเกินไป ต้องปลูกถั่วเหลืองสิ 1 กิโลคิดเป็นเงินเกือบ 500 หมาวเชียวนะ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้มั้งคะ จะไปจำได้อย่างไรว่ากี่เฟิน ? ”
ป้าหยางเงยหน้าขึ้นหัวเราะฮ่า ๆ เสียงดัง จากนั้นก็พูดกับคู่ชีวิตวัยชราของตนว่า “ดูท่าทางเด็กคนนี้จะเป็นเด็กในเมืองนะ สมัยนี้มีที่ไหนบ้างจะขายในราคามากขนาดนั้น”
ลุงหยางเองก็พยักหน้า “ยุค 80 ข้าวโพดกิโลละ 9 เฟิน ถั่วเหลืองกิโลละ 1.7 หมาว ยุคปัจจุบันนี้ ข้าวโพดเหมา เหมาละ 1.34 หมาว ปีที่แล้วถั่วเหลืองราคาขึ้นไปถึง 4.7 หมาว ปีนี่คาดว่าจะขายได้ในราคา 5 หมาว ”
จางฉุ้ยเหลียนก้มหน้าคิดคำนวนอย่างรวดเร็ว ถ้าคิดตามที่ดิน 1 ส่างจะสามารถปลูกถั่วเหลืองได้ถึง 3,000 กิโลกรัม 1 กิโลกรัมเท่ากับ 5 หมาว ที่ดิน 1 ส่างคิดเป็นเงิน 1,500 หยวน ตัดต้นทุนออก ที่ดิน 20 ส่างจะสามารถสร้างเงินได้ 20,000 หยวนเลยทีเดียว
20,000 หยวนมันขนาดไหน กู้จื้อเฉิงหัวหน้าคนนี้ได้เงินเดือนเดือนละ 800 กว่าหยวน 1 ปีก็สร้างเงินได้ 10,000 ต้น ๆ ยังห่างไกลกับจำนวนเงินของชาวไร่ชาวนามาก
แน่นอนว่าไม่นับรวมค่าเครื่องจักรหรือค่าแรงงาน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมองข้ามไม่ได้
กู้จื้อเฉิงกลับคิดถึงประเด็นสำคัญ “เขาจะไปเอาเงินมากมายขนาดนั้นจากที่ไหน? ถึงจะเป็นลูกชายผู้ใหญ่บ้าน แต่ก็ไม่ถึงขนาดมั่งคั่งหรอกมั้ง”
ผู้อาวุโสตระกูลหยางส่ายหน้า ก่อนจะแสดงสีหน้าสงสัยออกมา หวังต้าฮวากลับพูดขึ้นว่า “เงินกู้ หาคนมีเงิน พ่อของเขาเป็นผู้ใหญ่บ้าน นำที่ดินของโรงงานผลิตกระดาษไปกู้กับธนาคาร ไอ้หยา ทุกคนต่างรู้ดี ใครจะไปสนใจล่ะ ไม่มีใครทัดทานกันหรอก!”
กู้จื้อเฉิงเงียบทันที เห็นได้ชัดว่านี่คือการฟ้องเขา แต่เขาในตอนนี้กำลังไม่เข้าใจหมู่บ้านอย่างแท้จริง จะทำอะไรวู่วามไม่ได้เด็ดขาด
แต่จากคำพูดของหวังต้าฮวา ทั้งสองคนรู้ได้ในทันที ภายในหมู่บ้านยังมีวัยรุ่นที่เลือดร้อนอีกบางส่วน ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัวแซ่ซ่งที่อาศัยอยู่บริเวณแอ่งน้ำทิศตะวันตก บรรพบุรุษของพวกเขาต่างก็เป็นชาวประมงทั้งสิ้น ซ่งเล่ย ลูกคนเดียวของตระกูลได้เรียนจบระดับมหาวิทยาลัย กลับบ้านมาเตรียมเพาะเลี้ยงปลา แต่เรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันของทั้งหมู่บ้านหยางจวง ทุกคนต่างพูดต่อ ๆ กันว่าตระกูลซ่งเลี้ยงหนอนหนังสือไว้ 1 คน
การเลี้ยงปลา เดิมทีไม่จำเป็นต้องไปเรียนโดยเฉพาะก็ได้ ไม่รู้ว่าทางมหาวิทยาลัยไปเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ไหน ถึงได้กลับมาไม่มีงานทำ ขนาดคุณสมบัติการเป็นสัตวแพทย์ก็ยังไม่มี
คนที่เป็นเหมือนวัยรุ่นผู้โดดเด่นอย่างซ่งเล่ยยังปรากฏตัวมาให้เห็นในหมู่บ้านอีก 1 คน น้องชายของผู้ใหญ่บ้าน หยางหงเซิ่ง ก็เป็นบุคคลผู้โด่งดังในหมู่บ้านเช่นเดียวกัน เขาเหมือนกับพี่ชายคือมีลูกชายด้วยกันทั้งหมด 3 คน แต่เรื่องที่แตกต่างจากพี่ชายก็คือ เขายังมีลูกสาวอายุ 20 ต้น ๆ เพิ่มมาอีก 1 คนด้วย นี่คือลูกสาวเพียงคนเดียวของตระกูลหยาง ซึ่งได้รับความรักความเอ็นดูจากคนในครอบครัวมากเป็นพิเศษ ตระกูลหยางรักหล่อน หลังจากให้หล่อนได้เรียนอยู่ในวิทยาลัยพยาบาล หล่อนก็กลับมาเป็นพยาบาลประจำหมู่บ้าน
ว่ากันว่า สมัยเรียนหล่อนได้คบกับหนุ่มในตระกูลซ่งคนหนึ่งด้วย หล่อนรอหนุ่มคนนั้นอยู่ในหมู่บ้านหยางจวงมานานหลายปี หล่อนคิดว่าซ่งเล่ยนั้นมีอนาคตที่ดี ผลสุดท้ายกลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อปีที่แล้วเพิ่งเรียนจบใหม่ ๆ ซ่งเล่ยจะแยกตัวออกไป กลับไปทำประมงที่บ้านของตน ตระกูลหยางรวมทั้งหยางจินเฟิงไม่พอใจอย่างมาก
ตอนนี้ตระกูลซ่งและตระกูลหยางเป็นเหมือนน้ำกับไฟ ชอบจิกกัดกันทุกครั้งเวลาที่เจอหน้ากัน
เรื่องได้ยุ่งยากสลับซับซ้อนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เฉินเอ้อขุย นักการบัญชีของหมู่บ้านก็คือลูกเขยของตระกูลหยางนั่นเอง ภรรยาของเฉินเอ้อขุยชื่อหม่านซิ่วเอ๋อ เป็นลูกสาวของน้องสาวผู้ใหญ่บ้านหยางชางเซิ่ง อีกทั้งยังเป็นคู่รักปากหวานที่หาได้ยากยิ่งสำหรับมนุษย์ในหมู่เรา หม่านซิ่วเอ๋อชอบนำพวกขนมกินเล่นไปตั้งแผงขายอยู่หน้าโรงเรียนประถมเพื่อหาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ
นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมสูงส่งที่สุดในหมู่บ้านอีก 1 คน นั้นก็คือ ปู่เจ็ด วีรบุรุษในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ปู่เจ็ดเกิดที่ตะวันออกเฉียงเหนือและเติบโตอยู่ในตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เฝ้ามองพื้นที่รกร้างทางตอนเหนือเปลี่ยนเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโกดังมาโดยตลอด
หลังจากได้รับชัยชนะจากสงครามต่อต้านญี่ปุ่นในครานั้น ปู่เจ็ดก็หอบเงินกลับบ้านเกิดเพียงลำพัง นอกจากนั้นเขาได้พาคนในบ้านเกิดอพยพย้ายมาอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือถึง 3 ครั้งด้วยกัน พูดได้ว่าหมู่บ้านหยางจวงได้รับการพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองจากปู่เจ็ดเลยทีเดียว คำพูดของปู่เจ็ดจึงน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักมากสำหรับคนในหมู่บ้านหยางจวง
เพียงแต่บัดนี้ อายุของปู่เจ็ดก็มากแล้ว หลานชายในบ้านแสดงความกตัญญูอย่างชัดเจนโดยไม่สนใจเรื่องราวในหมู่บ้าน แต่ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ทุกคนต่างก็มาถามปู่เจ็ดทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อครั้งที่สร้างโรงงานผลิตกระดาษ ต้องได้รับการยินยอมจากปู่เจ็ดก่อนถึงจะสามารถสร้างโรงงานได้ แต่ตอนนี้ต้องปล่อยให้ที่นั่นเก่าผุพังเพราะปู่เจ็ดป่วยหนัก
เพราะการป่วยหนักในครั้งนี้ ทำให้คนในหมู่บ้านเกิดความไม่พอใจต่ออาสี่หยางชางเซิ่งเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ เหล่าพี่น้องตระกูลหยางจึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันหนักหน่วงเช่นนี้
“พี่สี่ก็คร่ำครึเกินไป ยิ่งอยู่หมู่บ้านหยางแห่งนี้ก็ยิ่งมีคนต่างถิ่นเข้ามาอาศัยมากขึ้น คิดแต่จะกดหัวคนอื่น แล้วทำไมไม่คิดบ้างว่ามันได้ประโยชน์อะไร” ผู้อาวุโสสูบยาเส้นที่ทำเองหลายครั้ง พร้อมทั้งแสดงท่าทางกลัดกลุ้มใจ
กู้จื้อเฉิงพบว่าสถานการณ์ของหมู่บ้านแห่งนี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าที่เขาเคยใช้ชีวิตมาก่อนเสียอีก แค่ตอนนี้ยังไม่มีคันธนูย้อนกลับมาเท่านั้น เขาจึงทำใจดีสู้เสือเดินต่อไป
ทั้งสองคนซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันบางส่วน จากนั้นก็เดินออกมาจากร้านขายของชำอย่างช้า ๆ จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากให้กู้จื้อเฉิงต้องทนใช้ชีวิตทั้ง ๆ ที่เตาปูนเย็นชืดแน่ กู้จื้อเฉิงหวังจะให้จางฉุ้ยเหลียนมาช่วยตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงด้วยกันนั้นดีกว่าบรรดาผู้ชายอย่างแน่นอน เพียงเธอเสียสละงานในโรงเรียนอนุบาลไป
“ของพวกนั้นมีอะไรดีถึงต้องน่าเสียดายนักหนา ฉันไม่อยากทำอยู่พอดี” จางฉุ้ยเหลียนแสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมาเล็กน้อย เพียงแต่คิดถึงคังคังเท่านั้น “ตอนนี้แม่ของฉันพาเขาไปเข้าโรงเรียนอนุบาลของรัฐบาลแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกท่านทั้งสองสามารถเลี้ยงดูคังคังได้ โรงเรียนอนุบาลของเรา พวกท่านยังไม่ยอมให้เข้า อย่าว่าแต่จะให้คังคังมาอยู่ในชนบทแบบนี้เลย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นฉันก็ยังไม่อยากให้ลูกห่างพ่อกับแม่ คุณว่าเรื่องนี้จัดการได้ยากขนาดนั้นเลยหรือ!”
กู้จื้อเฉิงเองก็อยากอยู่ใกล้ชิดลูกชายเช่นเดียวกัน ซึ่งการคิดแบบนี้ย่อมไม่เหมาะสมอย่างแท้จริง ทั้งสองคนเงียบมาตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุยต่อ
จางฉุ้ยเหลียนตามหาตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็กอีกครั้ง เพราะต้องการนำของใช้ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ยัดเข้าไป ฟู่ซินขยี้จมูกเล็กน้อยพร้อมกับทอดถอนใจ “เธอมีอะไรดีล่ะ ? เรื่องค่าใช้จ่ายนี้ เธอว่าร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็นต้องใช้พื้นที่เท่าไหร่ เธอดูสิ แค่เครื่องซักผ้าก็เป็นอุปสรรคต่อเธอแล้ว ? ”
สิ่งของเหล่านี้ต่างก็เป็นของขวัญวันแต่งงานที่เพื่อน ๆ นำมาให้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟตั้งพื้น ถ้วยชามเซตใหญ่ นอกจากนี้ก็ยังมีกองหนังสือที่หลงหลง, ซ่งเว่ย, ฟู่ซิน เต็มใจซื้อให้เธออีกด้วย เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ก็ถูกขนย้ายตามจางฉุ้ยเหลียนมาจากเกาะ C ที่ไกลแสนไกลจนถึงหมู่บ้านหยางจวงแห่งนี้
“เห็น ๆ อยู่ว่ามีบ้าน ทำไมจะต้องไปอยู่ในที่ซอมซ่อแบบนั้นด้วย ฉันดูแลเธอได้นะ เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นหางที่คอยตามหลังกู้จื้อเฉิงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ? ไม่มีเขา เธอก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้นี่” ฟู่ซินถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการถลึงตาใส่ของจางฉุ้ยเหลียน
“ฉันจะบอกนายให้นะ นายเหมือนขนมแท่งที่ไม่ควรดอมดมดอกไม้เหยียบย่ำใบหญ้า หากเผลอไปแตะต้องอะไร คงได้เป็นโรคอย่างแน่นอน นายว่าแบบนั้นมันน่ารังเกียจไหมล่ะ” จางฉุ้ยเหลียนแสดงสีหน้าเอือมระอา เมื่อได้ยินคนพูดกันว่าช่วงนี้ฟู่ซินควงสาวน้อยวัย 16-17 ปีอีกแล้ว เธอคิดว่าหญิงสาวที่สวยประดุจดอกไม้งดงามพริ้งพรายคงถูกย่ำยีด้วยน้ำมือของเขา และสร้างความเจ็บปวดให้กับลูกของพวกเขา
“วางใจเถิดน่า ฉันจำได้แหละ คนหนึ่งทุบตี อีกคนก็เต็มใจให้โดนทุบตี คนเหล่านี้มีดีอะไร ? ฉันจะบอกเธอให้นะ คนพวกนี้ต่างก็เป็นเพื่อนที่ฉันควักเงินซื้อมา แล้วผู้หญิงคนนี้ เธอคิดว่าครอบครัวของหล่อนไม่รู้เชียวหรือ? เหอะ!” เขาส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจออกมา
จางฉุ้ยเหลียนชำเลืองตามอง “หมายความว่าอย่างไร นายกำลังจะบอกว่าครอบครัวพวกหล่อนยังสนับสนุนอีกหรือ ? ”
ฟู่ซินเบ้ปาก “ตอนที่ฉันนอนกับหล่อนครั้งแรก แม่ของหล่อนก็มาคุกเข่าอยู่ด้านล่างตึก แล้วจะให้ฉันพูดอะไร แบบนี้มันคุ้มหรือเปล่าล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดในทันใด เวลานี้ วินาทีนี้ เธอหมดคำจะพูด
เธอขึ้นรถและนำเฟอร์นิเจอร์ที่ตั้งกองรวมกัน ย้ายเข้าไปในบ้านใหม่อีกครั้ง เครื่องซักผ้า ตู้เย็นก็ถูกย้ายเข้าไปวางในครัว ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว บอกได้ว่าที่นี่มีอากาศถ่ายเทค่อนข้างน้อยมาก ทั้งสามห้องยังไม่นับว่าเป็นห้องหนึ่งเลย
เมื่อเข้ามาในบ้านก็จะเป็นห้องรับแขกสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ตรงข้ามประตูมีโซฟาและโคมไฟตั้งพื้นของจางฉุ้ยเหลียนวางไว้ ข้างกำแพงที่ติดกับประตูคือแปลงกะหล่ำปลี ภายในห้องครัวที่จางฉุ้ยเหลียนรีโนเวทใหม่ถูกแทนที่ด้วยตู้หนังสือ
ทางด้านทิศตะวันตกของห้องรับแขก ครึ่งหนึ่งเป็นเตาปูน ด้านบนเตาปูนเป็นตู้ไม้ ด้านล่างเป็นตู้เสื้อผ้ารวมทั้งเป็นตู้วางโทรทัศน์ด้วย ข้างหน้าต่างถูกวางด้วยโต๊ะเขียนหนังสือ เป็นพื้นที่สำหรับทำงานของจางฉุ้ยเหลียน
ด้านหลังห้องนอนเป็นห้องครัว หม้อเหล็กติดตั้งกับเตา เตาขนาดเล็กติดตั้งกับเครื่องทำความร้อน ด้านซ้ายมือเป็นประตูที่อยู่ติดกับแทงค์น้ำ ด้านขวามือเป็นถังแก๊สติดชิดผนัง ไม่มีเครื่องดูดควันใด ๆ ทั้งสี่ด้านถูกปูด้วยกระเบื้องสีขาวดูสวยงามที่สุด
ด้านหลังห้องรับแขกเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดเล็กห้องหนึ่ง ตู้แถวที่หนึ่งวางติดผนังทางด้านทิศตะวันออกถูกวางด้วยข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ด้านล่างของตู้เต็มไปด้วยข้าวสารและน้ำมันถั่วเหลือง นอกจากนี้ยังมีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มาพร้อมกับเก้าอี้สองตัววางขนาบอยู่ด้านข้าง สิ่งที่ตอบโจทย์ได้ดีก็คือขาตั้งอ่างล้างหน้าโบราณ
นี่เป็นชีวิตที่จางฉุ้ยเหลียนต้องการ แต่ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นสถานที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนไปอีกกี่ปี ถึงจะพาคังคังมาอยู่ด้วย ทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าควรให้ลูกอยู่ที่ไหน
โชคดีที่วันนี้คังคังยังเด็ก การขาดเรียนในโรงเรียนอนุบาลจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ยุ่งมากนัก อาศัยเหตุผลที่ว่าอากาศยังหนาว ยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ลมยังเย็นสบายพาเขามาอยู่ที่นี่ ทั้งสามคนนอนอยู่บนเตาปูนอันอบอุ่นนั้น ถึงงานการไม่ก้าวหน้าแต่ชีวิตกลับได้รับการเปลี่ยนแปลง
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะเช้าขนาดนี้ ในขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารเช้ากันอยู่ มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาหาถึงบ้าน เป็นเรื่องบาดหมางระหว่างเพื่อนบ้านที่ไม่รู้มาก่อน
“สุนัขของเรากัดหลานชายของเขา แค่ชดใช้ก็จบ แต่ทำไมต้องฆ่ามันด้วย ฉันทำเรื่องนี้ไม่ได้ เลขากู้ต้องช่วยตัดสินให้เรานะ ! ”
MANGA DISCUSSION