ตอนที่ 317 เหมาที่ดิน
จางฉุ้ยเหลียนตอบอย่างใจกว้าง “เพิ่งมาถึงค่ะ ถ้าทุกคนมีปัญหาอยากให้ช่วย ก็มาหาหนูได้นะคะ”
ทุกคนต่างพูดด้วยความเกรงใจ “ไม่ต้องหรอก เธอต่างหาก ถ้ามีเรื่องอะไรอยากให้ช่วยหรือไม่คุ้นเคยตรงไหน รีบบอกเราได้เลยนะ”
อาสี่ หยางชางเซิ่ง เป็นผู้ใหญ่บ้านและเป็นผู้นำของหมู่บ้านหยางจวงด้วย ปกติแล้วเขาเป็นคนค่อนข้างเข้มงวดมาก ยิ่งถ้ามีคนนอกมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแบบนี้ สำหรับเขาแล้ว คนพวกนั้นถือว่าเป็นผู้รุกรานเลยทีเดียว ความเป็นหน้าเป็นตาของหมู่บ้านคือเรื่องที่ตระกูลหยางต้องทำ ซึ่งเขามักคิดว่าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดีอย่างแน่นอน
เมื่อเขาเห็นทุกคนทำดีกับสองสามีภรรยาที่มาจากต่างเมืองคู่นี้ ก็รู้สึกหงุดหงิดในใจไม่น้อย เขายืนกรานจะขับไล่คนเหล่านี้ออกไป ครั้งนี้ทุกคนไม่มีการถ่วงเวลา พูดคุยและหัวเราะเสร็จก็เดินจากไป
หยางชางเซิ่งหันมายิ้มตาหยีและพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็เอามือไพล่หลัง เดินจากไปอย่างช้า ๆ
ลานกว้างสำหรับคณะกรรมการหมู่บ้านขนาดใหญ่จึงเงียบลงฉับพลัน จางฉุ้ยเหลียนนึกขึ้นได้ว่าในบ้านของกู้จื้อเฉิงยังไม่มีของใช้ประจำวันมากมายเท่าไร จึงหาข้ออ้างไปซื้อของ ลากกู้จื้อเฉิงไปเดินเล่นในหมู่บ้านหยางจวงด้วย
หยางจวงเป็นชนบทขนาดเล็กของตะวันออกเฉียงเหนือสุดคลาสสิก บ้านทุกหลังมีลานกว้างขนาดใหญ่และหน้าต่างขนาดใหญ่กันทั้งนั้น มีหลายบ้านที่มีลานกว้างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ลานกว้างของทุกคนในหมู่บ้านค่อนข้างกว้าง จางฉุ้ยเหลียนเดาว่า 1 ไร่หลังบ้านและครึ่งไร่หน้าบ้านมีไว้สำหรับปลูกพืชผักเท่านั้น
3 เดือนแรกอุณหภูมิของที่นี่ค่อนข้างต่ำ จางฉุ้ยเหลียนสวมเสื้อโค้ชและอาศัยกู้จื้อเฉิงให้พาเดินไปบนกองหิมะสีขาวโพลนอย่างช้า ๆ
หมู่บ้านหยางจวงมีร้านขายของชำขนาดเล็กอยู่หลายร้าน แต่พอตะวันลับขอบฟ้า ท้องฟ้ามืดสนิท ร้านค้าต่าง ๆ ก็พร้อมใจกันปิด ทั้งสองคนจึงเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดมิด และฟังกู้จื้อเฉิงเล่าเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อสองสามวันก่อน
“ที่นั่นเป็นตลาดขนาดเล็ก ตอนกลางวันจะมีคนมากหน้าหลายตาแห่กันมาจับจ่ายใช้สอย ถัดจากนั้นคือสถานีขนส่ง คนในท้องถิ่นมักจะแบ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นสัดเป็นส่วน” กู้จื้อเฉิงยื่นมือออกไปตรงหน้าไฟอ่อน ๆ จากโคมไฟของบ้านแต่ละหลัง และวาดทิศทางคร่าว ๆ
“พื้นที่ขายของแห่งนี้ คนที่นี่เรียกว่า ตลาด (gai)” (หมายเหตุ : คนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียกกันว่า gai แปลว่าตลาดนั่นเอง)
“ถนนของเมืองนี้ติดกับแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เรียกกันว่าร่องน้ำตะวันตก ฝั่งนั้นมีที่ทำการไปรษณีย์แห่งหนึ่งด้วย ฝั่งนั้นจึงเรียกเหมารวมว่าที่ทำการไปรษณีย์ ด้านหลังสุดเป็นโรงงานผลิตกระดาษ …”
ยังไม่ทันที่กู้จื้อเฉิงจะพูดจบ จางฉุ้ยเหลียนก็ชิงพูดก่อน “ดังนั้นก็เลยเรียกเหมารวมว่าโรงงานผลิตกระดาษใช่ไหม ? ”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้า หมุนตัวและชี้ไปยังถนนที่อยู่เบื้องหน้า “เราเรียกที่แห่งนั้นว่าที่ประชุมของคณะกรรมการหมู่บ้าน ถัดจากนั้นไปทางทิศใต้อีกนิดหน่อยก็จะเป็นโรงเรียนมัธยม เลยโรงเรียนมัธยมต้นไปก็ไม่ใช่พื้นที่ของเมืองหยางจวงแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงมันคือพื้นที่ท้ายหมู่บ้าน”
จางฉุ้ยเหลียนนึกถึงโรงงานผลิตกระดาษที่เพิ่งพูดถึงเมื่อสักครู่ขึ้นมาได้ และนึกชื่นชมความยิ่งใหญ่ของเมืองอยู่ในใจ เธออยากจะถามเรื่องราวเกี่ยวกับโรงงานผลิตกระดาษ แต่เธอก็ได้ยินกู้จื้อเฉิงทอดถอนใจ “ก่อนหน้านั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีการพัฒนามาก่อน โรงงานผลิตกระดาษได้เกิดขึ้นจากการดึงดูดนักลงทุน ที่ดินของฝั่งนี้มีพื้นที่มากมายหลายแห่งที่ยังไม่มีใครปลูก โรงงานผลิตกระดาษที่อยู่ฝั่งนั้น ถึงจะดูค่อนข้างใหญ่ แต่ในความเป็นจริงกลับอยู่ติดน้ำ เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง น้ำก็จะเพิ่มสูงขึ้น จะปลูกอะไรก็ไม่เป็นผล ก็เลยยกพื้นที่ตรงนั้นให้เป็นของโรงงานผลิตกระดาษ แต่ไม่ถึง 2 ปี เพราะตลาดนำออกสินค้าย่ำแย่ ที่ดินผืนนั้นเป็นของคณะกรรมการหมู่บ้าน จะขายก็ขายไม่ออก จึงปล่อยว่างไป”
“คนที่อยู่ฝั่งนี้พึ่งพาผู้นำแบบไหนคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนหาข้อมูลก่อนจะเดินทางมาที่นี่ ปลาของที่นี่มีชื่อเสียงมาก ปริมาณในการผลิตข้าวนาดำก็ไม่เลว
“คนที่ปลูกพืชผักมักจะปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองเป็นพื้นฐาน ไม่เช่นนั้นคงปลูกอะไรไม่ได้” กู้จื้อเฉิงเข้าใจสภาพแวดล้อมของเมืองหยางจวงเป็นอย่างดี เขามีความกังวลใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่างานนี้จะพัฒนาไปได้อย่างไร จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดี
จางฉุ้ยเหลียนตบไปบนบ่าของเขา และพูดปลอบใจ “ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ค่อยเป็นค่อยไป คุณเพิ่งเริ่มต้นเองนะ” ในขณะที่สนทนากันทั้งสองก็เห็นไฟในร้านขายของสว่างขึ้นจึงเดินเข้าไป
กู้จื้อเฉิงอาศัยไฟสว่างของร้านค้าเพื่อดูเวลา 19.30 น. ตอนที่ทั้งสองเดินไปตามถนนก็พบว่ามีร้านอาหารเพียง 2 ร้านเท่านั้นที่ยังเปิดไฟเพราะยังมีลูกค้านั่งอยู่ในร้าน
ในขณะที่คิดอยู่นั้นจางฉุ้ยเหลียนก็พูดกับหวังต้าฮวาเถ้าแก่เนี้ยของร้านอย่างสนิทสนม การเข้าหาของผู้หญิงนั้นง่าย กู้จื้อเฉิงเม้มปากพร้อมส่ายหน้าก่อนจะเกิดความคิดหนึ่งในใจ
“ไอ้หยา เลขากู้อยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วยังขาดของใช้อะไรอีกหรือ ? รีบบอกฉันได้เลยนะ ฉันจะจัดส่งให้เลขากู้ถึงที่บ้านเลยล่ะ” หวังต้าฮวาหยิบของขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มจากนั้นก็หันไปตะโกนด้านหลังเสียงดัง “แม่ ! เลขากู้กับภรรยามาบ้านเราด้วยแหละ แม่”
จางฉุ้ยเหลียนคิดจะขัดขวางไม่อยากให้คนเฒ่าคนแก่ออกมา แต่เมื่อเห็นหญิงชราอวบเล็กน้อย มีรูปร่างสูงราว 1.50 เมตรคนหนึ่งเดินออกมา ตามมาด้วยคุณลุงที่สวมเสื้อคลุมจงซานจวง (สูทผู้ชายคอจีน) คนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าคุณลุงคนนี้จะมีร่างกายไม่แข็งแรง เพราะเดินหลังค่อมออกมา
เมื่อคนแก่ทั้งสองเห็นสองสามีภรรยากู้ พวกท่านก็ดีใจมากเป็นพิเศษจากนั้นก็ย้ายม้านั่งมาวางข้างเตาไฟขนาดเล็ก คุณป้ายื่นเมล็ดทานตะวันให้จางฉุ้ยเหลียนแม้แต่คุณลุงก็ยังบริการจุดเตาไฟให้กู้จื้อเฉิงด้วย
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่สูบบุหรี่” กู้จื้อเฉิงเลื่อนบุหรี่ที่อีกฝ่ายยื่นให้คืนไป คุณลุงคิดว่ากู้จื้อเฉิงเกรงใจหรือไม่ก็ไม่ชอบบุหรี่ จึงรีบบอกลูกสาวให้เปลี่ยนกล่องบุหรี่ทันใด
จางฉุ้ยเหลียนจึงเข้าไปขวางเถ้าแก่ไว้และอธิบายให้คุณลุงฟัง “คุณลุงคะ คุณลุงอย่าถือสาเลยนะคะ พี่กู้ของเราไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้าและไม่เล่นการพนันด้วยค่ะ”
คุณลุงผงะไปทันใด จากนั้นก็ยิ้มด้วยความประหลาดใจ “ทำไมถึงไม่สูบบุหรี่ไม่ดื่มเหล้าล่ะ ? เจ้าหน้าที่หน่วยงานไหนไม่ทำเรื่องแบบนี้บ้าง ? ”
คุณป้ากลัวว่ากู้จื้อเฉิงจะไม่พอใจ จึงรีบเข้ามาผลักลุงคนนี้ จางฉุ้ยเหลียนเข้ามารั้งตัวคุณป้าด้วยรอยยิ้ม “พี่กู้เป็นทหารอยู่ในค่ายมานานกว่า 10 ปี ทางนั้นไม่ให้สูบบุหรี่และไม่เล่นการพนันค่ะ สูบบุหรี่ก็น้อยคนนักจะได้สูบ”
ทุกคนจึงเชื่อ คุณป้ามองพิจารณากู้จื้อเฉิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยความพอใจ “แบบนี้แหละดี บุหรี่เอย เหล้าเอย ของไม่ดีทั้งนั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวดีแล้ว เพราะมันไม่มีประโยชน์ ! ”
กู้จื้อเฉิงหัวเราะออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ ก่อนถามด้วยความอยากรู้ “เราสองคนเดินเตร็ดเตร่มาตลอดทางและเห็นว่าร้านอื่นปิดหมดแล้ว แต่ทำไมร้านของเถ้าแก่ยังเปิดอยู่ล่ะครับ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเองก็อยากรู้ “แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่เห็นพี่ใหญ่ล่ะคะ ? ไม่อยู่บ้านหรือ ? ”
คำถามนี้ทำเอาทุกคนเงียบลงชั่วพริบตา คุณป้าเริ่มปาดน้ำตาส่วนเถ้าแก่เนี้ยก็คอยพูดปลอบใจแม่สามีอยู่ข้าง ๆ “แม่ แม่เป็นอะไรอีก ? เลขากู้เข้าใจสถานการณ์ดีแล้วไม่ใช่หรือ ? หยุดร้องไห้ได้แล้ว”
ในขณะที่พูดหล่อนเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เช่นกัน สองสามีภรรยากู้มองหน้ากันและรู้ได้ในทันทีว่าที่นี่ต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
หญิงชราคนนี้เป็นแม่สามีของหวังต้าฮวา อายุ 70 ปี มากกว่าจางฉุ้ยเหลียนในอดีตชาติถึง 27 ปี แต่สิ่งที่แตกต่างก็คืออายุของคังคังที่ปีนี้เพิ่งจะได้ 4 ขวบ ส่วนหลานสาวคนโตของหล่อนเพิ่งจะอายุได้เพียง 8 ขวบและหลานชายเพิ่งจะอายุได้ 5 ขวบ
“อ่า ? เถ้าแก่เนี้ยมีลูกตอนอายุ 18 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย ! ” จางฉุ้ยเหลียนถามออกมา หวังต้าฮวากลับตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมล่ะ ตอนนี้ในชนบทก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ จัดพิธีแต่งงานก็ถือว่าแต่งงานแล้ว รอให้บรรลุนิติภาวะแล้วค่อยจดทะเบียนจากนั้นก็รับอุปการะเด็กเข้ามาอยู่ด้วยกัน”
กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ทำไมครอบครัวของเถ้าแก่เนี้ยถึงมีลูก 2 คนได้ล่ะครับ ? ”
ตระกูลหยางผงะทันใดและเริ่มรู้สึกกลัวเล็กน้อย จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบอธิบาย “เราไม่ได้จะมาจับผิดหรอกนะคะ แค่อยากถามเท่านั้น”
ลุงหยางจึงพูดออกไปว่า “ฉันมีลูกชาย 3 คน แต่ลูกสะใภ้คนโตมีภาวะเยื่อบุในท้องอักเสบมีลูกไม่ได้ คนรองก็เป็นโปลิโอจึงมีลูกไม่ได้ ลูกชายคนที่สามจึงควรมีลูกชายทั้งหมด 2 คน แต่คนแรกก็ได้ผู้หญิงมา จริง ๆ เขาหมดปัญญาจะให้กำเนิดอีกคนแล้ว แต่ทางผู้ใหญ่บ้านเข้ามาช่วยก็เลยสามารถให้กำเนิดเพิ่มอีก 1 คนจนได้”
ป้าหยางจึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “การมีลูก 2 คนเป็นเรื่องปกติของหมู่บ้าน พบกันครึ่งทาง เสียค่าปรับก็จบ เราคงปฏิบัติเหมือนในเมืองไม่ได้หรอกที่ต้องคลอดลูกตามกฎระเบียบ”
กู้จื้อเฉิงจึงถามสถานการณ์ของตระกูลหยางและได้รู้ว่าที่แท้ครอบครัวของพวกเขาก็มีฐานะที่ดี ลูกชายคนโตเป็นชาวไร่ชาวนาที่มาจากสังคมเกษตรกรอย่างแท้จริง ชีวิตตลอด 1 ปีที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่เลวด้วย ลูกคนรองพิการตั้งแต่เกิดแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีฝีมือเย็บปักถักร้อย ฝีมือการเย็บพื้นรองเท้าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ชีวิตของลูกชายคนที่สามนั้นดีหน่อย เขารับเหมาทำบ่อปลาแต่น่าเสียดายที่ในฤดูหนาวปีหนึ่งดันพลาดตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง ตอนที่ทุกคนช่วยออกมาได้เขาก็จากไปแล้ว
ลุงหยางเองก็เป็นโรคหอบหืดที่มักพบได้ในผู้สูงอายุตะวันออกเฉียงเหนือ โรคนี้จะค่อย ๆ บรรเทาลงเมื่ออยู่ในสถานที่อบอุ่น ฉะนั้นตั้งแต่ฤดูหนาวมาถึงก็หายใจไม่ค่อยออกได้แต่กินยาบรรเทาไปเท่านั้น
หวังต้าฮวาก็มีฐานะเป็นเล็กน้อยแต่เนื่องจากยกที่ดินให้พี่สามีไปส่วนหนึ่งก็เหลือดินที่เพียงแค่ 3-5 ไร่จึงไม่เรียกว่าที่ดินใหญ่โตแค่อยู่บนพื้นฐานความพอเพียงได้เท่านั้น
ตามที่หวังต้าฮวาได้พูดไว้จึงทำให้กู้จื้อเฉิงเข้าใจสถานการณ์ของหมู่บ้านหยางจวงโดยพื้นฐาน คนที่นี่มีงานทำบนที่ดินซึ่งไม่ใช่ที่ดินของตนเอง ที่ดินที่มีจำนวนประชากรบางเบาจะมีเนื้อที่แค่ 10-15 ไร่เท่านั้นส่งผลให้ผลผลิตต่อปีไม่สูงมากนัก
น้ำแข็งมักจะละลายกลางเดือนเมษายนของทุกปี เดือนตุลาคมเพิ่งเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็ต้องเสียเงินค่ายาฆ่าแมลงเป็นระยะเวลา 1 ปี จนแทบไม่มีเงินเหลือกินในบ้าน
“ครอบครัวของแม่ฉันเดิมทีไม่ใช่คนในท้องถิ่นหรอก บ้านหวังมีที่ดินทั้งสิ้น 6 ไร่ ปลูกไปแล้วมันไม่คุ้มค่าเหนื่อย สู้ขายเต้าหู้ดีกว่า” ครอบครัวฝ่ายแม่ของหวังต้าฮวาขายเต้าหู้อยู่ในพื้นที่ถ้าเทียบกับคนในหมู่บ้านก็อยู่ในระดับกลาง
ตามที่หวังต้าฮวาได้พูดไว้ แหล่งรายได้ของอีกหลายร้อยชีวิตในหยางจวงมีความเกี่ยวข้องกับที่ดินที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ คนที่อยู่ละแวกใกล้เคียงตลาดต่างก็ทำธุรกิจค้าขายทั้งสิ้น มีร้านเสริมสวย ร้านขายอาหาร ขายผักขายปลาในตลาด เปิดแผงรับซ่อมนาฬิกา ขายของกิน ขายเสื้อผ้า เป็นต้น
แอ่งน้ำทิศตะวันตกติดกับแม่น้ำ คนที่มีอาชีพทำการประมงของหมู่บ้านมักจะตั้งรกรากอาศัยอยู่ที่นั่น โรงเรียนที่อยู่ในละแวกนี้ต่างก็ปลูกพืชปลูกผักเสียส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังมีแรงงานชั่วคราวอีกจำนวนไม่น้อย ที่เหลือก็มีงานทำของตนเองทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น โกดังเก็บธัญญพืช สหกรณ์ขายของ สถานีซื้อขายผลิตผลทางการเกษตร โรงงานผลิตไอศกรีมขนาดเล็กและยังมีวัยรุ่นอายุ 20 ต้น ๆ อีกหลายคนที่มีงานมีการทำ
หมู่บ้านหยางจวงถือว่าเป็นชนบทที่มีฐานะร่ำรวยแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ที่กู้จื้อเฉิงได้รับช่วงต่อดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ ต้องบอกเลยว่าจิ้นเหวินเปิดไฟเขียวให้เขา
จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่อยากปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป ถือโอกาสพูดคุยตีสนิทกับตระกูลหยางจนได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของหมู่บ้านไปไม่น้อย
ทั้งสองคนเพิ่งได้รู้ว่า ที่หมู่บ้านแห่งนี้ดูมีฐานะร่ำรวย ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย ห่างไกลความมั่งคั่งร่ำรวยไปเยอะทีเดียว โดยส่วนใหญ่มักจะทำธุรกิจของตนมากกว่าปลูกพืชไร่ มีจำนวนน้อยมากที่จะมีที่ดินเป็นของตนเอง โชคดีที่ไม่ว่าจะเก็บเกี่ยวอะไรก็ยังได้รับเงิน
ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัวที่มั่งคั่งครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้าน ลูกชายคนโต หยางเหย้าจู่ ของอาสี่หยางชางเซิ่งผู้ใหญ่บ้านได้ครอบครองที่ดินไปกว่า 20 ส่าง โดยพื้นฐานแล้วต้องครอบครองที่ดินในส่วนของโรงเรียนไปด้วย
กู้จื้อเฉิงตะลึงงันทันใด “20 ส่าง ? ปลูกพืชไร่แล้วหรือครับ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยกมือขึ้นนวดขมับ “1 ส่างเท่ากับ 15 ไร่, 10 ส่าง เท่ากับ 150 ไร่, 20 ส่างเท่ากับ 300 ไร่ ซึ่งเท่ากับพื้นที่บ้าน 30 หลัง ทำไมเขาถึงมีเงินมากมายขนาดนั้นคะ ? ”
MANGA DISCUSSION