ตอนที่ 314 บาดหมาง
การสร้างหมู่บ้านใหม่ มีหมู่บ้านที่เหมาะแก่การเลียนแบบที่สุดคือหมู่บ้านเสี่ยวกัง นั่นคือหมู่บ้านตัวอย่างระดับประเทศ เป็นที่ทราบกันดีว่าหมู่บ้านเสี่ยวกัง อานฮุย เฟิงหยางได้ดำเนินการรับเหมาที่ดินกันเองในปี 1978 ต่อมาได้มีการสนับสนุนระบบไปให้อีกหลายเมืองทำตาม ถือเป็นการปฏิรูปครั้งแรกทางประวัติศาสตร์จีน
หลังจากนั้น ทางหมู่บ้านรูปแบบใหม่ก็เริ่มพัฒนา แต่เมือง Q ยังคงล้าหลังอยู่วันยังค่ำ เจ้าหน้าที่รับราชการในเมืองต่างก็ต้องไปตรวจสอบทางทิศใต้ทั้งนั้น การเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านฝั่งนั้นตราตรึงอยู่ในความทรงจำ เมือง Q เป็นเมืองอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ผลประโยชน์ทางรัฐวิสาหกิจในช่วงหลังมานี้ไม่ค่อยดีนัก ดึงดูดพ่อค้าคนกลางไม่ได้เลย เศรษฐกิจของเมืองพัฒนาการไปอย่างช้า ๆ จึงยิ่งล้าหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้ทุกหัวมุมเมืองมีสถานที่สำหรับทำการวิจัยอยู่ทุกหนทุกแห่ง สาเหตุที่จิ้นเหวินอยากหาสถานที่แบบนี้ให้กับกู้จื้อเฉิง เป็นเพราะว่า หนึ่ง อยากให้เขาออกจากสถานที่ที่ทำให้ไม่สบายใจ, สอง เขาจะได้ไม่ต้องเสียหยาดเหงื่อโดยเปล่าประโยชน์
กู้จื้อเฉิงฟังจิ้นเหวินพูดจนจบด้วยความฮึกเหิม ตอนนี้เขามีไอเดียดี ๆ สำหรับงานใหม่แล้ว เพียงแต่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเท่านั้น เขาต้องปรึกษาเรื่องนี้กับจางฉุ้ยเหลียนให้มั่นใจก่อน แต่เนื่องจากมีอันหลงอาศัยอยู่ในบ้านด้วย เรื่องจึงไม่ง่ายเช่นนั้น
จิ้นเหวินเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลกู้ดี เขาปลอบใจกู้จื้อเฉิง เรื่องนี้ตราบใดที่คิดจะทำย่อมทำสำเร็จอย่างแน่นอน ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือการปรึกษากับครอบครัว ถ้าไม่มีปัญหาเขาก็จะเริ่มลงมือจัดการทันที
เมื่อกลับถึงบ้าน กู้จื้อเฉิงยังคิดไม่ตก รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ยากและท้าทายที่สุด ถึงอย่างไรการทำงานก็ไม่สู้การหางานที่มีระดับความยากขึ้น ถ้าสามารถเปลี่ยนหมู่บ้านที่ยากจนให้ดีขึ้นได้ แม้แต่ชาวเยเมนที่เอาแต่ดื่มชาอ่านข่าวทั้งวันก็ยังสู้ไม่ได้
แต่เรื่องนี้ต้องดูปฏิกิริยาจางฉุ้ยเหลียนก่อนว่าเธอเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ดูว่าวันนี้ต้องทำอย่างไรต่อไป
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกได้ลาง ๆ ว่ากู้จื้อเฉิงพลิกตัวไปพลิกตัวมาอยู่ด้านข้าง ยังไม่ทันลืมตาก็เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องมีเรื่องไม่สบายใจอย่างแน่นอน เธอยื่นมือไปเปิดโคมไฟข้างหัวเตียง จากนั้นก็แทรกตัวออกจากในผ้าห่มช้า ๆ ถามเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหมคะ ? ”
กู้จื้อเฉิงคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนต้องการไปเข้าห้องน้ำ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเธอจะเปิดโคมไฟหัวเตียง ลุกขึ้นมานั่งและเอ่ยปากถามเขา ความคิดว้าวุ่นในใจได้สงบลงแล้ว แต่เขาก็ยังทำตัวไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี ไม่นานเขาก็ยิ้ม “ผมทำคุณตื่นสินะ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า “ไม่เท่าไรหรอกค่ะ ฉันนอนหลับไปแล้วและก็ตื่นขึ้นมาถึง 3 ครั้ง ”
เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็ลุกมานั่ง จากนั้นลงจากเตียงและเดินออกจากห้องไป ไม่นานก็เดินเข้ามาพร้อมน้ำอุ่น 1 แก้ว จางฉุ้ยเหลียนรับมาดื่มไปครึ่งแก้ว กู้จื้อเฉิงรับแก้วที่เหลือน้ำเพียงครึ่งเดียวจากจางฉุ้ยเหลียน ก้มหน้าและดื่มไปอีกสองอึก
จางฉุ้ยเหลียนอดหงุดหงิดใจไม่ได้ “หม้อต้มนี้ดีจริง ๆ เลยนะ ต้มกลางดึกกลางดื่นยังร้อนได้ขนาดนี้ อุณหภูมิตอนกลางวันก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 25 องศา ไม่สวมเสื้อแขนสั้นก็คงอึดอัดน่าดู”
ฤดูหนาวในทิศตะวันออกเฉียงเหนือค่อนข้างยาวนาน อุณหภูมิก็ค่อนข้างต่ำ แต่เครื่องทำความร้อนยังคงใช้งานได้ดีมากในช่วงกลางคืน ภายในบ้านของจางฉุ้ยเหลียนจะมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20 องศา กลางวันมักมีเสียงเอะอะโวยวายของคนในบ้านจึงปรับให้อุณหภูมิภายในบ้านสูงขึ้นเล็กน้อย
ปกติแล้ว เวลาที่ทั้งสองอยู่บ้าน กู้จื้อเฉิงมักชอบใส่เสื้อกล้ามไม่ก็เสื้อแขนสั้นอยู่เสมอ ส่วนจางฉุ้ยเหลียนมักจะชอบใส่ชุดกระโปรงแขนยาวและกางเกงขาสั้นไว้ข้างในเป็นอันเสร็จสิ้น
สองสามีภรรยาลุกขึ้นมาคุยกันพักใหญ่ โดยที่ไม่ได้ใส่เสื้อคลุมตัวนอกแม้แต่ชั้นเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะมันดึกเกินไป กู้จื้อเฉิงก็ตั้งใจว่าจะหยิบไอศกรีมไปนั่งกินตรงระเบียงต่อด้วย
จางฉุ้ยเหลียนเอนกายนอนบนเตียงในท่าสบายมากที่สุด เธอยิ้มตาหยีพร้อมกับมองสามี “งานมีการเปลี่ยนแปลงใช่ไหมคะ ? ”
กู้จื้อเฉิงผงะไป จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ผมปิดบังอะไรคุณไม่ได้เลย คุณเป็นพยาธิตัวกลมอยู่ในท้องของผมใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยกยิ้มเล็กน้อย “ตอนคุณไปดื่มกับจิ้นเหวิน คุณจะพูดอะไรก็ได้ คุณก็เลยเล่าเรื่องขมขื่นในช่วงเวลานี้ของคุณเสียหมดเปลือก แต่พอเห็นว่าจิ้นเหวินไม่สนใจ คุณก็หาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าให้เขาฟัง”
กู้จื้อเฉิงทอดถอนใจออกมา “ตอนที่กลับมาใหม่ ๆ เขาจะหางานใหม่ให้ผม แต่ผมไม่ยอม ไม่ใช่ว่ากลัวบุญคุณอะไรหรอกนะ จริง ๆ ที่ไม่ยอมก็เพราะสีหน้าลำบากใจของผม ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าจะไม่มีงานทำเสียหน่อย ทางองค์กรมอบหมายงานอะไรมาให้ ผมก็ทำหมดแหละ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าตอนจ่ายเงิน จำนวนเงินที่ได้มันมากมายมหาศาลจนทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ”
จางฉุ้ยเหลียนอิงแอบแนบชิดไหล่ของกู้จื้อเฉิง เขาจึงยื่นมือไปโอบกอดหญิงสาวผู้เป็นที่รัก จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ถามขึ้น “ฉันกลัวว่างานนี้ไม่หมูแล้วน่ะสิ ที่คุณไม่พูด ก็เพราะกลัวฉันลำบากใจใช่ไหมคะ ? ”
เธอถามว่าเป็นเพราะกลัวเธอลำบากใจใช่หรือไม่ ไม่ใช่ถามว่ากลัวเธอไม่เห็นด้วยใช่ไหม สองคำถามนี้แตกต่างกันมาก แต่ก็มากพอที่จะทำให้กู้จื้อเฉิงรู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนมีทัศนคติกับงานของเขาอย่างไร
กู้จื้อเฉิงรู้สึกเหมือนมีเกลียวคลื่นระลอกใหม่ซัดสาดอยู่ในหัวใจ มักจะรู้สึกว่าในชาตินี้ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ต้องเสียเปรียบภรรยาทุกครั้งไป แสดงว่าเขายังปฏิบัติหน้าที่ของความเป็นสามีไม่ดีพอ และยังดูแลเธอไม่ได้อีกด้วย
เมื่อเห็นว่ากู้จื้อเฉิงเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา น้ำเสียงของจางฉุ้ยเหลียนก็อ่อนโยนลงเรื่อย ๆ “ไหนลองพูดมาสิคะ มีเรื่องอะไรทำให้คุณไม่สบายใจขนาดนี้ งานที่จิ้นเหวินหามาให้ย่อมเป็นงานที่ดีมากอย่างแน่นอน ถึงจะยากมาก แต่สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคต ต้องดีกว่าคนอื่นให้ได้”
กู้จื้อเฉิงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เล่าเรื่องที่จิ้นเหวินหวังจะให้ไปช่วยนำร่องเศรษฐกิจในชนบท จริง ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่เห็นด้วยหรอก แต่ในใจลึก ๆ ก็ยอมรับว่างานนี้ค่อนข้างยากมาก เพราะถึงอย่างไรสถานการณ์ในบ้านก็ใช่ว่าจะดีเหมือนเมื่อก่อน อยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน
นึกไม่ถึงว่าจางฉุ้ยเหลียนจะนั่งตัวตรงขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้นก็มองกู้จื้อเฉิงด้วยแววตาลุกวาว “ก็เหมือนกับหมู่บ้านใหม่ที่ตั้งอยู่ในทิศใต้ไงคะ”
กู้จื้อเฉิงงุนงงและไม่เข้าใจว่าทำไมจางฉุ้ยเหลียนถึงดีใจมากขนาดนี้ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่อง ‘กลับชาติมาเกิดใหม่’ ของเธอขึ้นมาได้ ทำให้เขาตื่นตกใจ จากนั้นก็คว้ามือของเธอมากุมไว้ด้วยความตื่นเต้น “หลังจากนั้นสิบปี ชนบทในประเทศจะมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น คุณบอกผมมาเดี๋ยวนี้เลยว่าคุณเห็นอะไรมา”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มและพรรณนาถึงภาพลักษณ์ของชนบทใหม่ที่ตัวเธอเห็นหลังจากสิบปีออกมา แน่นอนว่าเรื่องที่เธอพูดออกมานั้นเป็นเหตุการณ์บางส่วนที่ได้รับการพัฒนาทางเศรษฐกิจไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับวิลล่าและรถยนต์หรู ๆ ของครัวเรือนในพื้นที่มณฑลเจ้อเจียง หรือทุกครัวเรือนในหมู่บ้านต่างก็ย้ายถิ่นฐานออกไปอยู่ต่างประเทศอะไรทำนองนั้น แต่คนในชนบทก็ได้มารวมตัวกัน ย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ พืชผลทางเศรษฐกิจที่ปลูกในดิน นอกหมู่บ้าน ไม่ก็สนามกว้าง แถมยังมีกำลังคนมากมาย ไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานข้างนอก อยู่บ้านก็สามารถสร้างเงินได้ รถยนต์ไม่ใช่สิ่งหายากอีกต่อไป มีเงื่อนไขก็แค่ต้องพาลูกไปเข้าเรียนในตัวเมือง
เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินก็แสดงความเชื่อมั่นออกมาเต็มเปี่ยม จางฉุ้ยเหลียนเองก็ฮึกเหิมขึ้นมาไม่น้อย ทั้งสองคนคิดไม่ออกว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ในทางตรงกันข้ามก็ได้มีการพูดคุยด้วยความกระตือรือร้นว่าจะช่วยกันพัฒนาไปในรูปแบบไหน
ไปไปมามา ทั้งสองคนก็คุยกันจนฟ้าสว่างโดยไม่รู้ตัว กู้จื้อเฉิงกอดจางฉุ้ยเหลียนที่พูดปร๋ออย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เอนกายลงบนเตียงช้า ๆ ทั้งสองคนหลับไปพร้อมกับความหอมหวาน แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็สะเทือนเลือนลั่น ปลุกพวกเขาให้สะดุ้งตื่น ตามมาด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายด้วยความโกรธของอันหลง “ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ รีบ ๆ ลุกขึ้นมาเลย นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ยังจะนอนขี้เกียจกินบ้านกินเมืองอยู่อีก ให้ฉันทำอาหารประเคนให้พวกเธอเลยไหม พวกเธอต้องเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา ฉันเองก็ต้องเข้าร่วมด้วย รีบลุกขึ้นมาทำอาหารเดี๋ยวนี้เลย ฉันต้องไปเปิดร้าน”
จางฉุ้นเหลียนลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ สะบัดผ้าห่มออกและลงจากเตียง แต่ในตอนนั้นเองเธอกลับถูกกู้จื้อเฉิงดึงเข้าไปในอ้อมกอดอีกครั้ง เขากดเธอลงไปบนเตียง เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นกู้จื้อเฉิงกำลังจะปีนขึ้นมาคร่อมตัวเธอ ก็ทั้งอับอายและร้อนใจ จากนั้นก็ผลักเขาและพูดเบา ๆ ว่า “คุณรีบลุกออกจากตัวฉันเดี๋ยวนี้เลย คุณแม่โกรธแล้วนะ ฉันต้องไปทำอาหารแล้ว”
แต่กลับเห็นใบหน้าที่ชวนตกตะลึงของกู้จื้อเฉิง จากนั้นตามมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมของเขา “ถ้าหล่อนอยากกินข้าว ข้างบ้านก็มีไม่ใช่หรือ ทำไมต้องตั้งใจมาปลุกคุณด้วยล่ะ ตอนคุณไม่อยู่ หล่อนก็ไปบ้านคุณยายทุกวันไม่ใช่หรือไง”
เมื่อพูดจบ เขาก็ดันตัวขึ้นและลงจากเตียง กำลังจะเดินพ้นประตู ก็เห็นจางฉุ้ยเหลียนทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียง เขาจึงยื่นมือออกไปห้ามหล่อนทันที “นอนลงเลย หลับซะ” เขาพูดในขณะที่เปิดประตูและเดินออกไปข้างนอก
อันหลงนั่งบนโซฟาอย่างสบายใจ แต่เมื่อเห็นลูกชายเดินออกมาแค่คนเดียว สีหน้าของหล่อนก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ หล่อนจึงได้ตะโกนใส่กู้จื้อเฉิงว่า “เมียของลูกล่ะ ยังไม่ลุกขึ้นมาทำอาหารอีกหรือ หิวจนไส้กิ่วหมดแล้วเนี่ย”
กู้จื้อเฉิงมองแม่ผู้ให้กำเนิดด้วยท่าทางแปลกไป ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าใครกำจัดน้ำใจที่ปลูกฝังอยู่ในตัวหล่อนออกไปได้อย่างไร แล้วเปลี่ยนตัวหล่อนให้กลายเป็นหญิงที่ไร้เหตุผลแบบนี้
เขานั่งลงและพูดอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “การเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาไม่จำเป็นต้องตื่นเช้านี่ครับ ให้หล่อนนอนต่ออีกหน่อยจะเป็นอะไรไป”
อันหลงชักสีหน้าไม่พอใจลูกชาย ทำตัวเหมือนเกลือเป็นหนอน ยอมทรยศคนในบ้าน มีภรรยาเข้าหน่อยก็ลืมหัวคนเป็นแม่ หล่อนส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจออกมา จากนั้นก็ชี้ไปทางห้องนอนของจางฉุ้ยเหลียน “นอน ? เมื่อคืนพวกเธอไม่ได้นอนกันหรือไง คุยเรื่องไร้สาระกันทั้งคืนเลยสิท่า ตอนนี้มาคิดอยากนอนให้ใครดูมิทราบ ? ”
กู้จื้อเฉิงเงยหน้ามายิ้มอย่างเย็นชา “คุณแม่ไม่พอใจที่หล่อนกับผมคุยเรื่องไร้สาระกัน หรือไม่พอใจที่หล่อนไม่ลุกมาทำอาหารเช้าให้คุณแม่กันแน่ครับ”
อันหลงเมินหน้าไปทางอื่น “ไม่พอใจทั้งคู่นั่นแหละ แม่สามีต้องไปทำงานทั้งที่ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า ลูกสะใภ้ยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง”
กู้จื้อเฉิงชี้ไปทางบ้านข้าง ๆ “แม่มีกุญแจบ้านคุณยายไม่ใช่หรือ แม่ตื่นเช้า แม่ก็ไปกินข้าวเช้าบ้านข้าง ๆ สิครับ ถ้าไม่ได้ เดี๋ยวคุณยายก็ไล่แม่ออกมาเองแหละครับ ใช่ว่าแม่จะไม่เข้าใจลูกสาวของหล่อนเสียหน่อย ใช่ไหมครับ ตอนนี้แม่ไม่อยากทำเรื่องอะไรแบบนั้นแล้วใช่ไหม”
อันหลงหมุนตัวกลับมาด้วยความโกรธ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างจนใจ “ลูกมีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรถึงให้แม่กล้ำกลืนฝืนทน พวกเธอสองคนไม่คิดจะสนใจเรื่องความกตัญญูกันแล้วหรือ ถึงได้ทำกับแม่แบบนี้”
กู้จื้อเฉิงคิดถึงเรื่องที่ตนต้องเปลี่ยนงานย้ายกลับมาอยู่บ้าน แม่ของเขาพูดด้วยถ้อยคำไม่น่าฟัง ตอนแรกเขาก็พอเข้าใจหล่อนบ้าง หล่อนคงช็อกกับการแต่งงานใหม่ของพ่อ แต่เมื่อเห็นหล่อนไปชี้หน้าด่ากราดอยู่ในบ้าน ต่อไปเขาก็คงไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว
ตอนนี้เขาอดนึกถึงช่วงวัยเด็กไม่ได้ ตอนที่อันหลงอยู่บ้านแม่สามี หล่อนก็ได้รับความลำบากไม่น้อย ทิ้งเขาให้อยู่คนเดียวในชนบทโดยไม่ถามไม่สนใจ จนเขาแอบหนีกลับบ้านแต่ก็ถูกหล่อนส่งตัวกลับอีก หล่อนย้ำกับเขาอยู่เสมอว่าให้อดทนและอดทน
หลังจากได้กลับเข้าเมือง พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้สนิทเหมือนเดิม สาเหตุบางส่วนมาจากวัยเด็ก แต่ก็ยังมีบางส่วนที่มาจากเรื่องที่หล่อนต้องพลัดพรากจากลูกสาว ถึงแม้ว่าจะกลับมาใช้นิสัยชอบอยู่คนเดียวก็ตาม แต่สถานการณ์ก็ต่างไปแล้ว เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นเหมือนแขก บางครั้งก็ยังสู้แขกคนหนึ่งไม่ได้เลย
“สกปรกเหมือนกับย่าของลูกนั่นแหละ” มีหลายครั้งที่กู้จื้อเฉิงโดนอันหลงตำหนิต่อหน้าแบบนี้ แม้กระทั่งตอนที่หล่อนอารมณ์ไม่ดี ก็หยิบเอางาขาวถั่วเขียวเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาต่อว่าเขา “ลูกถอดรองเท้าไม่ถูกต้องตามกฎหรือเปล่า ถึงได้ทิ้งไว้ตะวันออกข้างหนึ่ง ตะวันตกข้างหนึ่ง นี่มันชนบทนะ จะเข้าห้องก็ต้องจุดเตา คับอกคับใจมากขนาดนั้นเลยหรือ ต่อไปก็หาสะใภ้ อย่าหาคนสกปรกมอมแมมมาให้แม่อีกล่ะ เห็นแล้วรู้สึกรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก”
ตอนนี้เขาหาสะใภ้ที่ทั้งขยันทำมาหากิน ใจดี และมีความกตัญญูมาได้แล้ว 1 คน ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เสี่ยวชิวได้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยเท่านั้น ยังช่วยฉุดครอบครัวของเราอีกด้วย เธอมีทางเลือก ไม่เพียงแต่จะไม่เห็นอกเห็นใจแล้ว ตรงกันข้ามกลับยังคอยจับผิดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกด้วย
กู้จื้อเฉิงไม่เข้าใจ ความคิดของหญิงวัยห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งเป็นอย่างไรกันแน่ ?
MANGA DISCUSSION