ตอนที่ 309 สไตล์
สุดท้ายผู้หญิงก็ยังไม่กลับบ้าน ผู้ชายมองหารอบ ๆ และเดาไปต่าง ๆ นานาว่าหล่อนไปซ่อนตัวอยู่กับนายทหารคนไหน ไม่กล้าเข้าไปค้นหาทีละบ้าน แต่ยืนด่ากราดอยู่หน้าบ้าน
“เธอเคยอยู่กับพวกเขามาก่อน ถ้าเธอเจอที่ที่ดีกว่าก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว”
“เธอกำลังป่าวประกาศเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของเราอยู่หรือ ? เธอเป็นลูกสาวของแม่หรือว่าเป็นเทวดาบนสรวงสวรรค์กันแน่ ? ”
“ฉันสู้กับเธอ ต่อให้แม่ของเธอมา ฉันก็ยังสู้กับเธอ แล้วจะทำอะไรฉันได้ ? ”
“ยัยเต่า ฝากไว้ก่อน ต่อไปอย่ากลับมาที่บ้านอีก ฉันไม่ต้องการเธอแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็โกรธทันใด แต่จะให้เดินออกไปเล่นงานก็คงดูไม่ดี ตรงกันข้ามกับผู้หญิงคนนั้นที่ยังคงดื้อรั้น ไม่ปริปากเถียงสักคำ บอกแค่ว่าผู้ชายคนนั้นยังมีความสามารถอยู่ ถ้าทั้งสองคนออกไปทะเลาะกันข้างนอก บางทีเขาอาจมีสิทธิชนะก็ได้
หลังจากด่าอีกพักใหญ่ ผู้ชายคนนั้นก็เดินจากไป ผู้หญิงแกล้งทำตัวสดใสต่อหน้าจางฉุ้ยเหลียน ดูเหมือนผู้ชายจะหาตัวหล่อนไม่เจอ จึงกลับบ้านไปด้วยท่าทางหยิ่งผยอง จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้ไม่ค่อยชอบวิธีจัดการปัญหาของหล่อนก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ไล่หล่อนกลับไปแต่อย่างใด อยากเห็นว่าหล่อนจะใช้เหตุผลอะไรในการออกจากบ้านของเธอ จะว่าไปแล้วการปรากฎตัวของผู้หญิงคนนี้ก็ทำให้นิยายของเธอมีตัวละครเพิ่มขึ้น เพิ่มกลิ่นอายในการดำรงชีวิตมากขึ้น
ความภูมิใจแบบนี้อยู่ได้ไม่เกิน 2-3 นาที ผู้หญิงคนนี้จะต้องกลับบ้านแล้ว
หลังจากที่สามีของหล่อนหายไปได้ไม่นาน ทันใดนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ได้ยินเสียงแสบแก้วหูดังขึ้นมา เสียงนั้นเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าหล่อนจะได้รับความเจ็บปวดบางอย่างจึงคร่ำครวญไปพลางร้องขอความช่วยเหลือไปพลาง
จู่ ๆ ผู้หญิงที่แสดงท่าทางลำพองใจเมื่อสักครู่ก็กระโดดโหยงขึ้นอย่างฉับพลันราวกับถูกแทงอย่างไรอย่างนั้น ไม่รอให้จางฉุ้ยเหลียนมีปฏิกิริยาตอบสนอง หล่อนก็วิ่งพรวดออกไปทันที ตั้งแต่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวหล่อนใช้เวลาวิ่งออกจากบ้านของจางฉุ้ยเหลียบแทบไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำ หล่อนวิ่งอย่างรวดเร็วและปราดเปรียวไม่เหมือนคนได้รับบาดเจ็บมาก่อน เร็วเสียจนแชมป์นักวิ่งโอลิมปิกยังต้องปาดเหงื่อ
ทันทีที่ได้สติกลับมา จางฉุ้ยเหลียนก็วิ่งออกไปดูนอกบ้าน เห็นคนฝั่งนั้นกำลังรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ จางฉุ้ยเหลียนรุดหน้าเข้าไปดู จนพบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยื่นมือไปกระชากคอเสื้อของผู้หญิง ส่วนมืออีกข้างก็กำลังง้างตบไปบนใบหน้าเนียนใสอย่างไร้ความปรานี
ข้างกายหล่อนมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องห่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด พร้อมทั้งคุกเข่ากอดขาของผู้ชายคนนั้นไว้ “อย่าทำร้ายแม่เลยนะคะ พ่อ หนูขอร้อง พ่อกลับบ้านไปก่อนเถิดนะ!”
จางฉุ้ยเหลียนมองออกในทันใด ที่แท้ก็เป็นครอบครัวเดียวกันนี่เอง ผู้ชายหาภรรยาไม่เจอก็เลยไปลากตัวลูกสาวออกมา จากนั้นก็ทุบตีทำร้ายลูกสาวต่อหน้าทุกคน เพื่อขู่ให้ภรรยาออกจากที่ซ่อน
สองแม่ลูกถูกผู้ชายจิตใจอำมหิตตำหนิต่อหน้าทุกคนโดยไร้ความเคารพ คำพูดลามกสกปรกหลุดออกจากปากของเขา ทั้งสองคนช่วยประคองกันกลับบ้านด้วยสีหน้าหดหู่และเสียใจอย่างสุดซึ้ง ยังมีความรุนแรงยิ่งกว่านี้กำลังรอพวกหล่อนอยู่
เธอไม่เข้าใจว่าเขามีสิทธิ์อะไรมาทำกันขนาดนี้ ? นี่ภรรยาและลูกของเขานะ เพราะเรื่องเล็กแค่นั้นเองนะ ?
สำหรับผู้ชายอาจเป็นเพราะความเหนื่อยสะสมติดต่อกันหลายวันจึงทำให้เกิดความขัดแย้งไปด้วย บางทีสำหรับภรรยานี่อาจเป็นละครตลกธรรมดาเรื่องหนึ่งก็ได้ หรือบางทีสำหรับคนเป็นลูกนี่คือเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในครอบครัวอยู่บ่อย ๆ ก็ได้
กระนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำร้ายครอบครัว ขนาดเช่ากวาผู้ไร้เหตุผล สร้างแต่ปัญหาจนคนอื่นแทบแทรกตัวหนีลงดินขนาดนั้น ใครจะทำร้ายหล่อน ? จางกว่างฝูผู้ไร้ความสามารถถึงขนาดนั้น ทำได้เพียงแค่ยืนหาวิธีการแก้ไขความบาดหมางใจ ซึ่งจางกว่างฝูถือว่าเป็นสามีที่ดีมากคนหนึ่งทีเดียว
จางฉุ้ยเหลียนกลับบ้านด้วยความคับแค้นใจ รีบปีนขึ้นไปดูเหตุการณ์บนหลังคาอย่างกังวลใจ
ทุกครัวเรือนบนเกาะแห่งนี้ชอบปีนขึ้นมาตากของบนหลังคา บางคนถึงขนาดปีนขึ้นมาทานข้าวบนหลังคาบ้านเลยทีเดียว บางคนก็ลงทุนสร้างบันไดที่เชื่อมต่อจากพื้นดินขึ้นหลังคาโดยตรง ช่วงนี้จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ทำหัวไชเท้าขึ้นมาตากบนหลังคาชั่วคราว แต่ก็ปีนขึ้นมาทำความสะอาดบ่อยครั้ง
ตอนนี้เธอทำตัวราวกับกำลังนอนบนฟูกนุ่ม ๆ กอดหมอนตากลมแห่งท้องทะเล ตากแสงแดดร้อนระอุจากดวงอาทิตย์อย่างไรอย่างนั้น ถัดจากนั้นเป็นชุดน้ำชาเคลือบดินเผาลวดลายวิจิตรชุดหนึ่ง นี่เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบและเรียบง่ายที่สุดวันหนึ่งทีเดียว
ทันใดนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ได้ยินบทสนทนาจากหลังบ้านดังขึ้นมา เสียงที่ได้ยินในครั้งนี้แตกต่างจากเสียงของเพื่อนบ้านที่ทะเลาะกันเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิง คราวนี้เธอได้ยินบทสนทนารวมถึงน้ำเสียงที่น่าจะเป็นเพื่อนบ้านของผู้หญิงที่โดนทำร้าย
ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวน ยิ่งได้ยินยิ่งรู้สึกได้ถึงความคิดอยากทำร้ายคนอื่น
ดูเหมือนว่าหญิงชราคนหนึ่งกำลังทำการเกษตรอะไรสักอย่าง หล่อนทอดถอนใจเบา ๆ พลางพูดว่า “เธอคิดว่าสะใภ้ตระกูลหวังสมควรโดนทำร้ายแบบนั้นไหมล่ะ ให้พ่อแม่พี่น้องยืมเงินไปจนหมดแต่ไม่บอกครอบครัวฝ่ายชายสักคำ ”
เด็กสาวอีกคนกลับพูดขึ้นว่า “แม่ แม่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ หลายปีที่ผ่านมานี้ครอบครัวของหล่อนก็เอาแต่พึ่งพาเงินที่หล่อนหาได้ไม่ใช่หรือ ? อาเจ็ดเคยมีความสุขบ้างไหม ? ไม่ให้ครอบครัวฝ่ายหญิงยืมเงิน ก็ต้องเอาเงินให้อาเจ็ดทั้งหมดแบบนั้น หายนะไม่บังเกิดเอาหรือ ? ”
หญิงชราพูดจาด้วยถ้อยคำรุนแรงจากนั้นก็ถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างไม่เกรงใจ “ถุย!ไร้สาระสิ้นดี ! เธอเอาความคิดอะไรยัดเหยียดให้หล่อน นี่ตั้งใจจะลองเชิงฉันใช่ไหม ? ”
ผู้หญิงคนนั้นรีบอธิบายเพราะได้รับความไม่เป็นธรรมทันที “แม่พูดอะไรแบบนั้น ? ทำไมพูดไปพูดมาถึงเข้าเรื่องนี้ได้ล่ะ”
หญิงชราทำปากขมุบขมิบ “ไม่ว่าอย่างไร ลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปก็เปรียบเสมือนน้ำถูกเททิ้งไปแล้ว อาเจ็ดไม่ใช่เด็กที่แม่สามีจะเพิกเฉยไม่ดูดำดูดีได้ลงคอหรอกนะ แต่ในเมื่อหล่อนแต่งงานเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ผู้ชายแบบนั้นทำได้เพียงบอกว่าชีวิตของหล่อนไม่ดีเอาเสียเลย ทั้งสองครอบครัวถูกเลี้ยงในรูปแบบที่ต่างกันหรือ ? เรื่องที่หวาดกลัวที่สุดคืออะไร ? ใครจะจ่ายเงินมันแตกต่างตรงไหน ? หล่อนให้เงินกับแม่ แถมหล่อนไม่มีแม้แต่จะเปิดตู้เอาของให้บ้านสามีสักนิด ! ”
จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจคำพูดเหล่านี้ นี่คือบทสนทนาระหว่างลูกสะใภ้กับแม่สามี แม่สามีอาศัยเวลานี้ชี้แนะแนวทางให้ลูกสะใภ้ ยิ่งจางฉุ้ยเหลียนได้ยินก็ยิ่งกระวนกระวายใจ นึกไม่ถึงว่าการที่ผู้ชายไร้เกียรติทุบตีทำร้ายภรรยาจะเป็นเรื่องปกติ
ในบทสนทนาระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ได้มีการเอ่ยถึงจางฉุ้ยเหลียนด้วย นึกไม่ถึงว่าแม่สามีคนนั้นจะไม่ค่อยชอบจางฉุ้ยเหลียนสักเท่าไร
“เธอคิดว่าภรรยานายทหารที่อยู่ข้างบ้านคนนั้นเป็นคนดีหรือ ? ฮึ เธออย่าไปมองว่าชีวิตของหล่อนดูเหมือนสะดวกสบายสิ ทั้งสองคนก็ใช่ว่าจะได้อยู่ด้วยกัน ผู้ชายคนนี้แค่เห่อของใหม่ไม่กี่วันหรอก เธอคอยดูแล้วกัน รอให้ผ่านช่วงเห่อของใหม่ไปก่อน เห็นหน้าภรรยาทีไร เป็นต้องอยากเอาส้อมแทงหล่อนให้รู้แล้วรู้รอดทุกที!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนหม่นหมองราวกับก้นหม้อ เธอลุกพรวดขึ้นมาทันที ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถามว่าเขาไปมีสิทธิ์ทำร้ายเธอตอนไหน เธอก็ได้ยินสะใภ้คนนั้นบีบเสียงและถามคำถามที่ยังติดอยู่ในใจออกไป
ดูเหมือนว่าแม่สามีจะชะงักลง จากนั้นก็ทุบไปบนเอวพร้อมกับร้องเสียงหลง ไอ้หยา ไอ้หยา ถึงสองครั้งสองครา ก่อนจะยืดตัวขึ้น อาศัยพิงด้ามจอบเพื่อพักกายพลางพูดว่า “เธอดูแม่สะใภ้คนนั้นสิ ไม่บิดเอวแล้วจะรู้ไหมว่าตรงไหนเจ็บ เพิ่งย้ายเข้ามาแต่ไม่ทำอะไร แล้วจะรู้จักคำว่าสบาย รู้จักคำว่าฟุ่มเฟือยและรู้จักคำว่าทุกข์ยากได้อย่างไร พ่อแม่และลูกของหล่อนก็ไม่มา ไหนเธอลองบอกหน่อยสิว่าหล่อนทุกข์ยากตรงไหน ? เพื่อให้ทั้งสองคนมีชีวิตแบบคลุมเครือต่อไปน่ะหรือ ฮึ ไร้ยางอายสิ้นดี !”
กำลังจะบอกว่าจางฉุ้ยเหลียนแตกต่างจากคนอื่นอย่างนั้นหรือ ก่อนเธอจะมา กู้จื้อเฉิงยอมทุ่มทุนเก็บกวาดบ้านให้เธอ แต่ผลสุดท้ายคือทันทีที่เธอมาถึง กลับแสดงทีท่าไม่พอใจ ปรับเปลี่ยนโยกย้ายทั้งข้างในและข้างนอก จนเพื่อนบ้านออกมามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนกระทั่งพบว่าบ้านของพวกเขาตกแต่งคล้ายกับรูปแบบที่อยู่ในโทรทัศน์ไม่มีผิดเพี้ยน
“เธอบอกว่าบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นแต่ไม่รู้จักปลูกผักสวนครัว รู้จักแต่ใช้เงินแก้ปัญหา ด้วยการออกไปซื้อข้างนอก หมั่นโถวก็นึ่งไม่เป็น ให้ผู้ชายอย่างเขาหิ้วกลับมาจากโรงอาหารทุกวัน ถ้าเป็นสะใภ้ของฉันล่ะก็ ฉันคงได้ฉะกับหล่อนเกือบทั้งวันแน่ ดูสิว่าหล่อนจะกล้าขี้เกียจแบบนี้อีกไหม!”
ฝ่ายสะใภ้พูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา “แต่ผู้ชายของหล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ แถมยังรีบไปนึ่งซาลาเปาให้พร้อมหน้าตาเบิกบานอีกด้วยไม่ใช่หรือไง อีกอย่างหล่อนหาเงินได้เองด้วย ถูกเลี้ยงดูอยู่ในบ้านสบายจะไปกลัวอะไร! ”
แม่สามีโพล่งออกไปอย่างโหดร้ายด้วยคำพูดรุนแรง “ใครจะไปรู้ว่าพวกเขามีปัญหาอะไรกัน เรื่องของคนสองคนก็ต้องพูดกันแค่สองคนไม่ใช่หรือ เธอดูผู้หญิงคนนั้นสิ เป็นถึงนักศึกษา หึ นักศึกษาคนไหนบ้างที่ไม่มีงานมีการทำจนต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ ? เธอน่าจะเห็นว่าหล่อนดูไม่เหมือนคนดีสักนิด ดูเสื้อผ้าที่หล่อนใส่ หึ ส่อแววให้คิดแบบนั้นทั้งนั้นแหละ”
จางฉุ้ยเหลียนหมดความอดทนทันใด เธอลุกขึ้นและเดินไปยังชายคาบ้าน จากนั้นก็ก้มหน้ามองหญิงชราและเด็กสาววัยรุ่นในบ้าน หญิงชราคนนั้นยืนหันข้างให้เธอ กำลังพิงด้ามจอบ พูดจนน้ำลายกระเด็นอย่างออกรสออกชาติ หล่อนแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายแขนสั้นสีฟ้าครามตัดสลับสีขาว ผ้าขนหนูที่ใช้คลุมศีรษะเปียกโชก เนื้อตัวมอมแมม ดูออกในทันทีว่าเป็นคนทำงานหนักแค่ไหน ส่วนเด็กสาววัยรุ่นแต่งกายด้วยชุดทำงานสีฟ้า สวมหมวกฟางที่ขาดวิ่นตรงมุม
เด็กสาววัยรุ่นเห็นจางฉุ้ยเหลียนคนแรก ทันใดนั้นใบหน้าของหล่อนก็ซีดเผือด ก่อนจะผลักหญิงชราโดยแรง ทันทีที่แม่สามีตระหนักได้ก็หันกลับมามองจนปะทะเข้ากับสายตาของจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังจ้องเขม็งพวกหล่อนจากบนหลังคา
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มเย็นยะเยือก “พูดต่อสิคะ ฉันยังฟังไม่หนำใจเลย อะไรเป็นอะไรล่ะคะ ? ”
หญิงชราหน้าถอดสีทันใด จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะพูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า “อ่า แม่หนู ทำไมเธอขึ้นไปยืนบนหลังคาแบบนั้นล่ะ ? แสงแดดจากดวงอาทิตย์ร้ายนะ ระวังทำให้ผิวของเธอไหม้เกรียมเอานะ”
จางฉุ้ยเหลียนยืนเท้าสะเอว “ฉันไม่กลัวอยู่แล้วค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดในช่วงเวลานี้ ได้รับวิตามินเติมเต็ม ในตอนที่ฉันกำลังสะลืมสะลือบังเอิญได้ยินคำชี้แนะของคุณดังมาจากด้านล่างพอดี ยืนฟังมาเกือบครึ่งแต่ก็ยังไม่เข้าใจ คุณช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงอยากทำร้ายฉัน ? ไหนลองบอกมาสิว่าฉันไปทำอะไรให้”
หลังจากได้มีปฏิสัมพันธ์กันไม่กี่วัน จางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มชินกับที่นี่บ้างแล้ว ที่แห่งนี้แตกต่างจากการทำธุรกิจในเมือง Q โดยสิ้นเชิง คนที่สานสัมพันธ์ด้วยตอนนั้นต่างก็เป็นคนมีไหวพริบสมองปราดเปรื่องทั้งสิ้น ไม่ต้องพูด ก็พอมองออก ถ้าคุณค่อย ๆ ครุ่นคิดอย่างช้า ๆ คุณก็จะได้ยินเสียงเมฆที่ลอยไปตามสายลม เสียงม่านหมอกที่ปกคลุมทั่วทั้งภูเขาแห่งนี้ ทุกคนต่างก็ให้ความสำคัญกับความไม่ยุติธรรม บางคำพูดก็เข้าใจ ตรงกันข้ามกลับทำให้อีกฝ่ายไม่มีความชัดเจนมากพอและไม่จริงใจ
แต่การอยู่ที่นี่ ถ้าคุณเคยตีวัวกระทบคราดหรือตั้งใจพูดชี้ไปทางหล่อน เจ้าตัวอาจจะไม่เข้าใจ แย่กว่านั้นอาจคิดว่าตนเองไม่เกี่ยวอะไรก็ได้
ดังนั้น บทสนทนาจึงต้องระบุชื่อและนามสกุล กระแทกไปทีละชั้นจนเข้าใจในที่สุด
เมื่อหญิงชราได้ยินจางฉุ้ยเหลียนพูดก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องได้ยินบทสนทนาของพวกหล่อนตั้งแต่แรกจนจบ ทว่าหล่อนเป็นคนหัวแข็งมาก สามารถทำให้คนอื่นกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลได้
หล่อนเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่เกรงใจ “ปากดีนักนะ อยู่ในเขตบ้านตัวเองก็พูดไม่ได้อย่างนั้นหรือ ? ยังกล้าพูดว่าเธอเป็นนักศึกษาอยู่ไหม นักศึกษาที่ไหนปีนหลังคาบ้านแล้วมายืนกร่างพูดด้วยถ้อยคำแบบนี้ ? ”
ไม่ทันรอให้จางฉุ้ยเหลียนตอบกลับ หญิงชราก็พูดอย่างอวดอ้างก่อนว่า “อย่าคิดว่าผู้ชายของเธอเป็นถึงนายทหารแล้วทำอะไรไม่ได้นะ ฉันจะบอกเธอให้ เธอไม่มีประโยชน์ คิดว่าเป็นทหารแล้วจะไม่สนใจอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ หลานชายของฉันอยู่หน่วยรักษาความปลอดภัย หึ คิดว่าฉันกลัวเธอหรือ ? ”
MANGA DISCUSSION