ตอนที่ 308 เจ็บแค้นแต่ไม่ลุกขึ้นสู้
ผลลัพธ์ในการใช้ความเป็นภรรยาของจางฉุ้ยเหลียนมีแนวโน้มไปในทางที่ดี เธอได้พบกับสถานะที่ตนอยู่ได้ท่ามกลางคนที่มีความสัมพันธ์ดีงามกับเธอ ในฐานะที่กู้จื้อเฉิงเป็นหนึ่งในทหารพลร่ม ย่อมเป็นหนึ่งเดียวท่ามกลางทุกคนที่มีความหวังจะได้เลื่อนขั้น
จางฉุ้ยเหลียนได้รู้สถานการณ์คร่าว ๆ จากปากของคนเหล่านี้ จึงเข้าใจว่าทำไมกู้จื้อเฉิงขอย้ายสถานที่ประจำการ ตราบใดที่จิ้นเหวินยังคงประจำการอยู่ที่นั่น และยังเข้าใจว่าทำไมกู้จื้อเฉิงไม่มีความกระตือรือร้นกับงานที่ทำอยู่ในตอนนี้ เธอรู้ว่าทำไมกู้จื้อเฉิงทำผิดจนต้องถูกย้ายมาประจำที่นี่
เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญในการวางยุทธศาสตร์ด้านสงคราม แต่ก็ไม่ได้มีการฝึกซ้อมหรือมีสินทรัพย์ทางการทหารที่จำเป็นต้องปกป้อง ที่นี่คือสถานีขนส่งแห่งหนึ่ง และเป็นสถานที่ฝึกซ้อมปกติเท่านั้น
ไม่ใช่สถานที่ถูกลืมจากเบื้องบน มีข่าวลือเกิดขึ้นภายในว่ากองกำลังทหารแห่งนี้น่าจะโดนยุบให้เหลือเพียงแค่กองพันเดียว
สมัยนี้ให้ความสำคัญกับข่าวและเทคโนโลยีทางการทหาร การปฏิรูปทางทหารจำเป็นต้องเลิกจ้างบางส่วนและผนวกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ปรับเปลี่ยนทรัพยากรทางการทหาร ไม่เพียงแต่วัตถุสิ่งของเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคนอีกด้วย คนที่แข็งแกร่งจะอยู่รอด คนที่อ่อนแอต้องพ่ายแพ้รับชะตากรรม
กู้จื้อเฉิงถูกย้ายมาในช่วงเวลานี้ ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวก็รู้ได้ง่าย คนที่อยากจะทำอะไรบางอย่างไม่จำเป็นต้องสานสัมพันธ์กับเขา ผู้อาวุโสที่ไม่มีความทะเยอทะยายและต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในกองกำลังมานานหลาย 10 ปี ได้เจอกับเขาคนที่ไม่มีนิสัยคุกคามคนอื่น แถมยังเกียจคร้านที่จะหาช่องทางทำให้เจริญก้าวหน้าเสียด้วยซ้ำ
เกาะแห่งนี้กลายเป็นเหมือนสถานที่กักกันคนไม่ปกติอย่างที่กู้จื้อเฉิงพูดไว้จริง ๆ เพราะการปฏิรูปตามที่คาดการณ์ไว้ ทุกคนจึงเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ความรู้สึกนั้นเหมือนกับว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดยาวฤดูใบไม้ผลิ วันนี้จึงยังต้องมาทำงานที่น่าเบื่อ รอคอยแต่เวลาเลิกงานแทบจะทุกวินาที
คนที่นี่ต่างก็เฝ้ารอข้อเสนอจากเบื้องบน มีความสามารถมีเส้นสายก็มีที่อยู่ ที่นี่ไม่ใช่กองกำลังทหารพิเศษอะไรทำนองนั้น แค่ทำงานปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจ ไม่เพียงแต่คนอื่นเท่านั้น กู้จื้อเฉิงเองก็ให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน เรื่องที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือการช่วยเหลือกู้จื้อเฉิงตลอดชีวิตการเป็นทหารของเขา ในช่วงเวลาสุดท้ายไม่ทำให้เขาต้องด่างพร้อยและเสียใจไปตลอดชีวิต
เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ใช่ว่าจะหมดหนทางและไร้ข้อจำกัด เพราะความยุ่งยากที่ชาวบ้านบนเกาะนำพามาให้พวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่อย่างใด
หลังจากเชิญเพื่อนทหารและครอบครัวของพวกเขาแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่คิดที่จะชวนเพื่อนบ้านท้องถิ่นในละแวกนี้แต่อย่างใด เหตุผลเพราะ หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องไปมาหาสู่กัน ถึงแม้ว่าทุกคนเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันก็ตาม แต่โดยปกติแล้วก็ไม่ค่อยมีโอกาสไปมาหาสู่กันสักเท่าไร สอง จางฉุ้ยเหลียนยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ไม่น้อย ภรรยาเสนาธิการอย่างเธอทำไมต้องไปเอาอกเอาใจคนบ้านนอกเหล่านั้นด้วย ? ถ้าไม่มาขอร้องฉันจะเป็นพระคุณอย่างสูงมาก จะให้เธอก้มหน้าต่อลูกน้องของสามีด้วยท่าทางนอบน้อมหรือ ? ฝันไปเถิด
แต่เพื่อไว้หน้ากัน จางฉุ้ยเหลียนยังนำไข่ไก่ไปแจกจ่ายให้เพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง
หลังบ้านของจางฉุ้ยเหลียนห่างจากบ้านของพวกเขาไม่ไกลนัก มีลานกว้างระยะห่างกันแค่ไม่กี่สิบเมตร บ้านของพวกเขาตั้งอยู่บนตำแหน่งไหล่เขา ถึงแม้ทั้งสองครอบครัวจะมองไม่เห็นอีกฝ่าย แต่ก็ได้ยินบทสนทนาอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านั้น กู้จื้อเฉิงเคยบอกว่าชาวบ้านที่อยู่บนเกาะมีนิสัยไม่ดีบางอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง นอกจากลูกชายที่ถูกเลี้ยงโดยไม่มีขอบเขตแล้ว ก็ยังมีการตบตีทำร้ายภรรยาอย่างไม่มีชขอบเขตอีกด้วย
ที่นี่มีเรื่องตลกอยู่หนึ่งเรื่อง เล่ากันว่าการตบตีทำร้ายภรรยาคือ ‘กินอาหารที่ยังไม่สุก’ ความหมายคือ หลังจากทะเลาะและลงมือทำร้ายภรรยาแล้ว หล่อนยังต้องเข้าครัวทำอาหาร หลังจากกินข้าวเสร็จ ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นอดีต
จางฉุ้ยเหลียนมาอยู่ที่นี่เป็นเวลาร่วม 2 เดือนแล้ว เพื่อนบ้านที่อยู่บนไหล่เขาหลังบ้านได้ทะเลาะกันไปแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งครั้งนี้ทำให้จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดมากที่สุด เพราะผู้หญิงจะทำมะเขือเทศผัดไข่ แต่ผู้ชายอยากกินไก่ผัดหัวหอม ไม่รู้ว่าภรรยาไปพูดอะไร ผู้ชายถึงได้โกรธจนคว่ำถ้วยชามไม่เหลือ ผู้หญิงโกรธจนด่ากราดออกไปว่าผู้ชายเป็นพวกล้างผลาญ จากนั้นก็เรียกร้องให้ชดใช้ค่าถ้วยชามที่แตกละเอียด ผู้ชายจึงลงมือทำร้ายผู้หญิงอย่างไม่เกรงใจ
ผู้ชายไม่คิดว่าผู้หญิงจะมาที่บ้านของจางฉุ้ยเหลียน เมื่อเห็นประตูบ้านที่ยังคงปิดสนิท เขาจึงตรงไปยังบ้านที่อยู่ถัดไป
จางฉุ้ยเหลียนถือบัวรดน้ำพร้อมมองไปทางผู้หญิงที่นั่งอยู่บนพื้นอย่างประหลาดใจ โดยเฉพาะมือเปื้อนเลือดของหล่อน
มือทั้งสองข้างของผู้หญิงคนนั้นประสานกันพร้อมอ้อนวอนจางฉุ้ยเหลียน “ขอร้องล่ะ อย่าเสียงดังนะ สามีจะทำร้ายฉัน ขอร้องนะ ขอฉันหลบอยู่ที่นี่สักพักได้ไหม”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าโดยไม่คิดอะไร เดินมาตรงหน้าของหล่อน ก้มลงและกระซิบ “กำแพงของบ้านฉันสูง เขาไม่มีทางมองเห็นหรอก เธอไปทายาในบ้านของฉันก่อนสิ”
หล่อนส่ายหน้าและยังนั่งอยู่บนพื้นเช่นเดิม “ไม่ต้องหรอก ฉันขอพักที่นี่สักครู่ก็พอแล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนชี้ไปที่บาดแผลบนมือของหล่อน “ดูมือเธอสิ ไม่ทายาแล้วจะหายได้หรือ ? ไหน ๆ ก็มาแล้วจะไปกลัวอะไร เข้ามาดื่มน้ำในบ้านฉันแก้กระหายสักหน่อยนะ”
อีกฝ่ายเกิดความลังเลเล็กน้อย จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดอีกครั้ง “ถ้าเขาหาเธอไม่เจอ ก็ต้องปีนกำแพงบ้านฉันเข้ามาถึงจะเห็นเธอ ไม่สู้เข้ามานั่งในบ้านดีกว่า ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเข้ามาในบ้านของฉันหรอก การบุกเข้าบ้านของคนอื่นถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย!”
พูดถึงตรงนี้ หล่อนจึงค่อย ๆ ลุกขึ้น จางฉุ้ยเหลียนพบว่าบนร่างกายของหล่อนเต็มไปด้วยบาดแผล ยังไม่ทันเดินก็ร้องเสียงหลงออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้ว เรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนเกลียดที่สุดก็คือผู้ชายทำร้ายผู้หญิง ชาติที่แล้วเธอก็ไม่เจอกับเรื่องแบบนั้น ถึงจะเป็นคนมีความสามาถ แต่ก็ไม่เคยเห็นกู้จื้อเฉิงลงมือ ไม่เคยแม้แต่ชี้หน้าด้วยซ้ำ ถึงนิสัยของเขาไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่เวลาโกรธก็ทำเพียงแค่เอามือชกกำแพงจนแตกเลือดท่วม ไม่มีทางทำร้ายเธอเด็ดขาด ดังนั้นในสายตาของจางฉุ้ยเหลียน สามีของผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ลูกผู้ชาย
เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็ทายาให้หล่อนพลางฟังความไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ผู้หญิงคนนี้ระบายออกมา เมื่อได้ยินว่าผู้ชายลงไม้ลงมือเพราะอาหารจานเดียว เธอก็รู้สึกอยากต่อยหน้าเขาสักหมัด
“ทำร้ายคนอื่นจนเป็นเรื่องปกติ แล้วเธอไม่คิดเรียกร้องความยุติธรรมให้กับภรรยาอย่างเราบ้างหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจ พวกนี้ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำกันหรือไง ถึงได้พูดไปไม่มีใครยอมฟังสักคน
หล่อนยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็ปาดน้ำตาพลางบ่นบรรดาสะใภ้ “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ พวกสะใภ้แก่ ๆ เอาแต่พูดว่านี่แหละรสชาติของชีวิต ใครจะไปรู้ว่าทะเลาะกันเพราะอะไร หล่อนไม่สนว่าฉันผ่านอะไรมา ผ่านไม่ได้ก็แค่ปล่อยมันไป”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วพลางคิดว่าแม่สามีคนนี้คงไม่ค่อยชอบหล่อนสักเท่าไรนัก ไม่อย่างนั้นคงไม่เมินเฉยกับสะใภ้คนนี้อย่างแน่นอน สองวันมานี้ก็เอาแต่ทะเลาะกัน คนเป็นพ่อเป็นแม่จะต้องพูดให้ลูกคืนดีกันสิ
ผู้หญิงคนนี้ปาดน้ำตา จากนั้นก็ด่าด้วยความฉุนเฉียว “ครอบครัวของเขาไม่ใช่คนดีอะไรเลย เรื่องที่ฉันเสียใจที่สุดตลอดชีวิตก็คือการแต่งงานเข้าไปเป็นสะใภ้ครอบครัวนี้ ยากจนข้นแค้น ตอนรู้จักกันใหม่ ๆ ฉันก็ไม่ค่อยพอใจอยู่แล้ว ตอนคบกันเราสองคนออกไปเดินห้างอยู่บ่อย ๆ แต่เขาไม่เคยซื้อเสื้อผ้าให้สักตัว บอกแค่ว่าพ่อของเขาไม่ได้ให้เงินมา ฉันต้องซื้อผ้าลายดอกไม้ด้วยเงินของฉันเอง แต่พอถึงบ้าน กลับบอกว่าเขาเป็นคนซื้อให้ฉัน”
จางฉุ้ยเหลียนนั่งฟังหล่อนระบายความในใจเงียบ ๆ มองไปทางมือทั้งสองข้างของหล่อนที่ถูกสามีเหยียบย่ำอย่างโหดร้ายไร้ความปรานี จนอดลูบไปบนมือของตนไม่ได้ ความลื่นละเอียดที่สัมผัสได้ทำให้เธอรับรู้ถึงความปลอดภัยบางอย่าง
“เขาทำร้ายเธอขนาดนี้ ยังไม่บอกแม่ของเธออีกหรือ ถ้ามีพี่น้องของเธอต้องมาช่วยหนุนหลังสิ บางทีสามีของเธออาจจะไม่กล้าทำแบบนี้อีกก็ได้นะ”
ผู้หญิงคนนี้มองจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาประหลาดใจ “อ่า? จะเอาหน้าที่ไหนไปพูดกับแม่เล่า ไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้นนะ!”
ทันทีที่จางฉุ้ยเหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกขึ้นทันใด “ตอนนี้เธอก็เป็นแม่คนแล้ว เธอต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วยสิ ถ้าลูกโดนสามีทุบตีแบบนี้เหมือนกันล่ะ เธอจะไม่อยากรู้หรือไง ? เธอหวังไม่ให้หล่อนพูดอะไร แล้วเธอคิดว่าหล่อนจะอดทนได้อย่างนั้นหรือ ? ”
หล่อนส่ายหน้า “เราไม่สนเรื่องพวกนี้หรอก ลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกจากบ้าน ต้องทำตัวเหมือนมีความสุขทุกครั้งที่กลับบ้าน ทั้งที่มันไม่เป็นอย่างนั้น นี่แหละชีวิต”
จางฉุ้ยเหลียนจึงโพล่งพูดออกไปอย่างหมดความอดทนว่า “ครอบครัวของฉัน ถ้าลูกสาวถูกสามีทำร้ายร่างกาย เว้นเสียแต่ว่าตัวเองเป็นฝ่ายนอกใจ แอบไปมั่วชายอื่นเสียเอง ไม่ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ควรทำร้ายคนอื่น ถ้าพ่อแม่และพี่น้องของเธอรู้เข้า พวกเขาต้องปะทะกับลูกเขยสักตั้งเพื่อเอาตัวเธอกลับบ้านอย่างแน่นอน”
หล่อนเบิกตากว้างพร้อมกับจ้องมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “ปะทะกับลูกเขย ? เป็นไปไม่ได้ ครอบครัวเราไม่สามารถเอาชนะลูกเขยได้หรอก ถ้าลูกเขยคนนี้ถูกชายแก่ทุบตีเข้าล่ะก็ เขาจะไม่มีทางไปเหยียบบ้านของชายแก่คนนั้นอีกตลอดชีวิต พวกเธอก็ใจร้ายเกินไป ถ้ารู้แล้วก็แค่พูดให้เข้าใจเสียก็จบ”
จางฉุ้ยเหลียนพบว่าเธอไม่สามารถคุยกับผู้หญิงคนนี้ได้อีกแล้ว ดูท่าทางหล่อนน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่ยึดมั่นประเพณีของท้องถิ่น ผู้ชายทุบตีภรรยาเป็นเรื่องธรรมดา ครอบครัวฝ่ายชายไม่สนใจ ครอบครัวฝ่ายหญิงก็ไม่สนใจ ตีให้ตายก็จบ
ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งเข้าใจว่าอะไรที่เรียกโกรธไปก็เหนื่อยเปล่า สาเหตุที่ผู้หญิงยังถูกทำร้ายมาจนถึงตอนนี้ เป็นเพราะอีกฝ่ายทำตัวน่าระอา รู้แค่วิธีการหลบเลี่ยงรอจนกว่าอีกฝ่ายจะสงบลง ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดมากพออยู่แล้ว
เมื่อเห็นจางฉุ้ยเหลียนไม่ส่งเสียงใด ผู้หญิงคนนี้จึงรู้สึกว่ามิอาจทนยืนอยู่ที่นี่ต่อไปได้ สุดท้ายก็ต้องเล่าสถานการณ์ออกไป แค่จางฉุ้ยเหลียนได้ยินก็อยากจะด่าออกไปว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง
เรื่องราวที่แสนเชยนี้เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่มีฐานะยากจน แต่บังเอิญได้แต่งงานกับคนบนเกาะเดียวกัน ผู้ชายคนนั้นเป็นประเภทดินเลนไม่มีแปดเปื้อน สิ่งสกปรกอย่าได้คิดย่างกราย ชอบแข่งขันกับตัวเอง เก็บเงินได้เดือนละไม่เท่าไหร่ งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวก็คือการดื่มเหล้าสังสรรค์ เงินเดือนที่หามาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหมดไปกับเพื่อนเลวและการสังสรรค์ไม่เว้นแต่ละวัน
ผู้หญิงตกปลาหาเงินได้เก่งกว่าผู้ชาย แถมยังให้กำเนิดลูกถึง 4 คน ชาย 2 หญิง 2 แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ผู้ชายก็ไม่ควรดูถูกผู้หญิง คิดว่าเงินที่พวกผู้หญิงหามาได้ก็ต้องเอาไปให้กับครอบครัวฝ่ายผู้หญิง
ผู้หญิงเกลียดผู้ชายที่ไม่กลับบ้าน แต่เอาเงินไปกินเลี้ยงสังสรรค์ ผู้ชายคิดว่าสามีภรรยาไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องเงิน เงินที่เธอหามาได้ก็ไม่ต้องจ่ายให้เขา ลูกทั้ง 4 คนต่างก็ตามแม่ของตน ให้หล่อนจ่ายและดูถูกพ่อของตัวเอง ทำให้แม่สามีของหล่อนเกิดความไม่พอใจ
“ตอนนี้ก็จะหย่ากันแล้ว ลูกของเราต่างก็สนับสนุนให้หย่ากัน และบอกว่าจะตามมาอยู่กับแม่ หลังจากที่หย่าก็ไม่มีใครอยากอยู่กับพ่อ” หล่อนพูดด้วยสีหน้าสดใส ตอนที่พูดถึงตรงนี้ก็พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจมาก
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ควรชื่นชมในเสรีภาพหรือทอดถอนใจกับความโชคร้ายของหล่อนดี !
MANGA DISCUSSION