ตอนที่ 307 นโยบายของภรรยา
ทันทีที่จางฉุ้ยเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันใด เพราะความดูถูกเหยียดหยามที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของชายคนนั้นไม่ได้เหยียดหยามแค่เพียงตัวเธอแต่ยังเหยียดหยามกองกำลังทหารอีกด้วย
เท่าที่จางฉุ้ยเหลียนรู้ กองกำลังทหารพยายามรักษาท่าทีกับประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งแตกต่างจากการปกครองโดยอำนาจทางการทหารในเมือง กองกำลังทหารประจำการเหล่านี้มีโอกาสได้คลุกคลีกับประชาชนในท้องถิ่นมากกว่า นอกจากนี้ยังมีกลุ่มวรรณกรรมและศิลปะทำการแสดงโชว์เพื่อปลอบขวัญให้กำลังใจชาวบ้านอีกด้วย หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินก็จะเข้าช่วยเหลือประชาชนทันที
ถ้าบอกว่าชายสูงวัยคนนี้เคยได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังทหารมาก่อน น้ำเสียงที่พูดก็อาจจะทำให้คนอื่นรู้สึกเย็นวาบไปทั้งหัวใจได้
ผู้หญิงคนนั้นมองออกว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่พอใจอยู่ลึก ๆ หล่อนจึงรีบแก้ตัวด้วยการหัวเราะกลบเกลื่อนและพูดว่า “มันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าไม่ได้เสียเปรียบก็แล้วไป คนส่วนน้อยที่จะเข้าใจ พอคนเยอะขึ้นมาหน่อยก็ดีไปอีกแบบ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจ จึงเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมถามผู้หญิงคนนั้น “ทำไมถึงบอกว่าไม่เสียเปรียบล่ะ ก็เห็นอยู่ว่าไม่พอใจที่ฉันซื้อของ”
ผู้หญิงคนนั้นส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าปกติว่า “เรื่องนี้ฉันเองก็ได้ยินมาจากคนอื่นเหมือนกัน ครอบครัวไหนบนเกาะมีฐานะยากจนก็จะไปรับจ้างเลี้ยงสัตว์ หากตกทุกข์ได้ยากจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อ ถ้าหัวหน้ากองกำลังทหารรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาจะระดมเงินช่วยเหลือและจับมือผ่านความยากลำบากนี้ไปด้วยกัน ช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิ มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งล้มลงไปกับพื้น เพราะปวดท้องจะคลอดลูกขึ้นมา แต่เนื่องจากท้องของหล่อนใหญ่มากแล้ว หมอที่อยู่บนเกาะก็หมดหนทาง เมื่อหัวหน้ากองกำลังทหารรู้เรื่องนี้เข้า ก็รีบส่งทหารมานำตัวหล่อนนั่งเรือออกจากเกาะทันที คุณหมอในโรงพยาบาลบอกว่าจำเป็นต้องผ่าคลอด แต่ตอนนั้นหล่อนไม่รู้จะทำอย่างไร รู้แค่เพียงว่าการผ่าตัดต้องใช้เงินมหาศาล จึงอยากกลับบ้านและปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิต โชคดีที่นั่นเป็นโรงพยาบาลของทหาร เจ้าตัวเลือกช่วยชีวิตคนเป็นอันดับแรกหลังทราบเรื่อง สุดท้ายก็ได้ลดค่าทำคลอด พอกลับบ้านไป หล่อนก็หาเงินมาคืนให้หัวหน้าคนนั้น”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อารมณ์ความรู้สึกของผู้หญิงคนนั้นก็ฮึกเหิมขึ้นทันใด เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก ใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่ออย่างเขินอาย “ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทหารมีฐานะ แค่บอกว่าครอบครัวไหนจน ครอบครัวไหนรวย แต่มันค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย ไม่มีใครยอมทิ้งหน้าตาของตนได้หรอก ชายแก่คนนี้วิ่งมาบอกว่าแกะของเขาหลุดหายไปบนภูเขา แถมยังเป็นแม่แกะท้องแก่อีกด้วย คนในบ้านกำลังเฝ้ารอการคลอดของแม่แกะตัวนี้ ต่อมาหัวหน้ากองกำลังทหารได้ส่งกำลังคนออกไปหา ชายแก่พยายามดักซ้ายทีขวาทีไม่ยอมรามือง่าย ๆ จนกระทั่งหาแม่แกะตัวนั้นพบในที่สุด”
เหตุการณ์ต่อไปไม่ต้องอธิบาย จางฉุ้ยเหลียนก็พอเดาออกได้ ถ้ากองกำลังทหารไม่ได้ส่งคนออกไปค้นหา คนที่น่าสงสารก็คงจะเป็นชายแก่ที่ต้องหาเงินมาจ่ายค่าแกะให้เจ้าของตัวจริง
ไม่มีอะไรดีที่สุดสำหรับโลกใบนี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับถิ่นที่อยู่อาศัยแต่เกี่ยวกับตัวบุคคลมากกว่า
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็แนะนำตัวกับอีกฝ่าย “ฉันชื่อจางฉุ้ยเหลียน เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน” แต่เธอไม่ได้บอกยศทหารของสามีออกไป บอกแค่ว่าสามีเป็นนายทหาร
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มอย่างเบิกบานใจ “ฉันชื่อเว่ยหลาน เพิ่งแต่งงานเมื่อปีที่แล้วนี่เอง”
จางฉุ้ยเหลียนมองหล่อนที่ยังคงอ่อนเยาว์ จากนั้นก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ทำไมเธอแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
เว่ยหลานแอบดีใจอยู่ลึก ๆ ที่จางฉุ้ยเหลียนแสดงท่าทางเกรงอกเกรงใจกับหล่อน ผิดไปจากตอนแรกที่มีคนมักจะถามหล่อนว่า ‘สามีของเธอไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะเข้าร่วมกองทัพ เธอมาได้อย่างไร’
คำถามต่อไปไม่จำเป็นต้องให้จางฉุ้ยเหลียนถาม เว่ยหลานก็โพล่งพูดออกมาเองอย่างตรงไปตรงมาราวกับเทถั่วลงในกระบอกไม้ไผ่
ที่แท้เว่ยหลานก็อาศัยบนเกาะที่ห่างออกไปไม่ไกลนี้เอง คุณน้าที่สนิทกับหล่อนแต่งงานและย้ายมาอยู่บนเกาะนานหลายปีแล้ว เธอเห็นทหารที่นี่ได้กินข้าวที่ชำระภาษีรัฐบาลแล้ว ดีกว่าต้องไปจับปลาเองตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง คุณน้าอาศัยการส่งปลาให้กองกำลังทหาร เชื่อมความสัมพันธ์จนได้เจอกับเพื่อนทหารที่แสนดีไม่น้อย
เพราะแบบนี้ เว่ยหลานจึงเลือกผู้ชายที่สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้และก้าวหน้าในอนาคต มีความกระตือรือร้นและปฏิบัติตัวดีต่อผู้อื่น หลังจากที่เว่ยหลานได้เจอเขา ทั้งสองฝ่ายต่างก็พึงพอใจกันอย่างมาก พ่อแม่ของทั้งสองก็ไม่ได้คัดค้าน เว่ยหลานจึงแต่งงานและย้ายมาอยู่ที่นี่
ปกติหล่อนต้องช่วยคุณน้าที่บ้านแม่ เงินเดือนที่น้าจ่ายให้ทุกเดือนก็เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และเลือกเก็บเงินเบี้ยเลี้ยงของฝ่ายชายแทน หล่อนดำเนินชีวิตไปอย่างมีความสุข
เว่ยหลานมองจางฉุ้ยเหลียน “พี่สะใภ้ พี่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานน่าจะยังไม่คุ้นชิน เดี๋ยววันเวลาก็จะกล่อมเกลาพี่เอง ว่าแต่บ้านของพี่สะใภ้อยู่ที่ไหนหรือคะ ? ”
ระหว่างที่สนทนากัน ทั้งสองก็เดินมาถึงตลาดทิศตะวันออกซึ่งห่างจากตลาดทิศตะวันตกไปไม่กี่ช่วงถนน แต่ก็ห่างจากบ้านค่อนข้างไกลมาก ทว่าเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่จึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกดีกับที่นี่มากขึ้น
ทุกอย่างเป็นไปตามที่เว่ยหลานพูด การบริการของคนฝั่งนี้มีต้นฉบับไปทางสมัยใหม่ ไม่เพียงแต่จะนิยมหัวหอมเป็นกองแล้ว ยังใส่ถุงและแบกขึ้นรถให้คุณอีกด้วย ถ้าซื้อจำนวนมากก็ไม่ต้องรีบร้อน พวกเขาจะถามที่อยู่และจัดส่งถึงบ้าน นี่คือการทำธุรกิจอย่างจริงจัง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตลาดทิศตะวันตกจึงไม่พอใจกันนัก
จางฉุ้ยเหลียนจึงเดินซื้อผัก เนื้อ ผลไม้ที่อยากได้อย่างสบายใจ จากนั้นก็ออกแรงหอบถุงใบใหญ่เดินจากตลาดทิศตะวันออกกลับบ้าน
เธอบอกที่อยู่ให้เว่ยหลานทราบ เพราะเธอเองก็อยากสานสัมพันธ์กับคนจิตใจดีเช่นนี้ แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงก็คือวันที่สอง เว่ยหลานมาหาเธอในฐานะแขกตั้งแต่เช้า
“ที่แท้พี่ก็เป็นภรรยาของเสนาธิการนายทหารที่ทุกคนพูดถึงบ่อย ๆ นี่เอง เมื่อวานฉันเดาออกแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าพี่จะจิตใจดีกว่าที่ทุกคนพูดไว้เสียอีก”
จางฉุ้ยเหลียนเชิญเว่ยหลานเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตัวใหม่อย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็รินน้ำชาพร้อมยิ้มตาหยี “ทุกคนพูดถึงฉันว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
เว่ยหลานชะงัก หลังจากได้สติกลับมา หล่อนก็ชักสีหน้าขุ่นเคืองทันใด “พี่คิดว่าฉันจะบอกพี่จริง ๆ หรือ ต้องขอโทษด้วย ฉันเป็นคนปากไม่มีหูรูดแบบนี้แหละ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ใส่ใจแต่ก็อยากรู้ คนรอบข้างไม่เคยรู้จักฉันจริง ๆ ว่าเป็นยังไง ต่างก็ตำหนิและวิจารณ์ไปก่อนแล้ว”
เว่ยหลานเกิดความลังเลเล็กน้อย คิดว่าไหน ๆ ก็เผลอหลุดปากไปแล้ว ต่อให้ปิดบังก็คงจะปิดบังไม่ได้อีกแล้ว ไม่สู้พูดออกไปให้ชัดเจนดีกว่า
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเว่ยหลาน จางฉุ้ยเหลียนก็เพิ่งได้รู้ว่าคนบนเกาะยังยึดมั่นประเพณีแบบนี้อยู่ จารีตประเพณีของแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน ในทางตรงกันข้าม ตัวเธอกลับคิดว่าอาจทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม
“พูดแบบนี้แสดงว่าคนข้างนอกต่างก็ไม่รู้กฎเกณฑ์และไม่เข้าใจเนื้อแท้ของฉัน” จางฉุ้ยเหลียนยิ้มและพูดอย่างจนปัญญา
เว่ยหลานพยักหน้าอย่างลำบากใจ หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหล่อนก็เงยหน้าขึ้น “คนฝั่งนี้ยึดมั่นในระบบศักดินามาก พากันดูถูกที่พี่สวมใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ฉันได้ยินคนอื่นด่าพี่ลับหลังอย่างไม่ยุติธรรม”
ดังนั้นจึงมีชาวไร่ชาวนาล้อเรื่องของเธอ ทำให้เธอมองไม่ออกว่าคนที่นี้มี ‘ความยุติธรรม’ อยู่หรือไม่
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะเยาะตนเองเล็กน้อย เรื่องเหล่านี้ยังพอเข้าใจได้ เมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนที่เธอตามกู้จื้อเฉิงไปทำความสะอาดสุสานที่บ้าน เพราะใส่รองเท้าหนังหัวแหลมความสูง 5 นิ้ว เธอจึงถูกอาวุโสเอือมระอา เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม คงไม่ได้แค่พูดลอย ๆ เท่านั้น
MANGA DISCUSSION