ตอนที่ 305 ความเคยชินที่ไม่ดี
“เสนาธิการกู้ เลิกงานแล้วหรือ!” ช่วงพลบค่ำ กู้จื้อเฉิงในชุดนายทหารมาดเท่เดินถือกล่องข้าวออกมาจากโรงอาหาร เพื่อนที่รู้จักเขาต่างก็เดินเข้ามากล่าวทักทาย นอกจากนี้ยังมีเด็กผู้หญิงซึ่งถักผมเปียสวยงามพากันหันมามองอย่างไม่ละสายตา
กู้จื้อเฉิงเดินถือกล่องข้าวออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากสายตาหวาดหยาดเยิ้มของสาว ๆ เหล่านั้นสักนิด นอกจากพยักหน้าตอบรับกับคนที่เดินเข้ามาทักทายด้วยใบหน้าอบอุ่น ก็ทำราวกับไม่เห็นความผิดปกติที่สะท้อนออกมาจากแววตาของคนอื่นแต่อย่างใด
จางฉุ้ยเหลียนทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ กู้จื้อเฉิงรักเธอมาก กลัวว่าเธอจะเหนื่อยและหลังขดหลังแข็งอยู่ทุกวัน จึงทนไม่ได้ที่จะให้เธอมานั่งทำอาหารให้เขาอีก แต่การกระทำของ ‘ผู้ชายที่แสนดี’ ในสายตาของคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่รับไม่ได้
กระนั้น กู้จื้อเฉิงก็ไม่สนใจ ขอแค่ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คนอื่นจะพูดนินทาว่าอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ภรรยาของตน บ้านก็บ้านของตน รอให้เรื่องของจางฉุ้ยเหลียนซาลงก่อน ทุกอย่างก็จะกลับไปสงบดังเดิม
ในขณะที่คิดเพลิน ๆ กู้จื้อเฉิงก็เดินถือกล่องข้าวมาถึงบ้านโดยไม่รู้ตัว เขาเห็นจางฉุ้ยเหลียนกำลังเช็ดหน้าต่างราวกับต้องการให้มันใสจนทะลุปรุโปร่งอย่างไรอย่างนั้น ด้านทิศตะวันตกของลานกว้างหน้าบ้านมีศาลาไม้อยู่หลังหนึ่ง ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่งทั้งสี่ทิศ ดอกโบตั๋นที่อยู่ในกระถางดอกไม้แข่งกันบานให้คนอื่นชื่นชมดมดอม
นอกจากนี้จางฉุ้ยเหลียนยังตั้งใจปลูกต้นหางไม้กวาดที่สามารถตัดตกแต่งเป็นทรงกลมขนาบไว้ทั้งสองข้างทางอีกด้วย ทำให้ลานกว้างที่ดูจืดชืดเริ่มดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา ด้านล่างหน้าต่างด้านขวาถูกวางด้วยตู้ปลาทรงสูงครึ่งเมตรที่ไม่รู้ว่าไปซื้อมาตอนไหน จางฉุ้ยเหลียนไม่มีเวลาออกไปซื้อดอกบัวสักเท่าไรก็เลยปล่อยให้ปลาตัวน้อยว่ายวนเวียนอยู่ในตู้เพียงอย่างเดียว ทั้งสองไม่ใช่คนที่ชื่นชอบในการเลี้ยงปลา เพียงแต่เห็นว่ามันสวยดีเท่านั้น ถัดจากตู้ปลาเป็นเก้าอี้ไม้โยกตัวหนึ่ง ด้านข้างของเก้าอี้ไม้โยกถูกวางด้วยโต๊ะทรงเตี้ยตัวหนึ่ง มีชุดน้ำชาวางอยู่ด้านบน ให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตได้รับการพักผ่อน ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างไรอย่างนั้น
กู้จื้อเฉิงรู้ว่าเพื่อนบ้านที่มาดูความสนุกเหล่านี้พูดกันว่าอย่างไรบ้าง บางคนก็พูดว่าจางฉุ้ยเหลียนชอบเอะอะโวยวายเกินไป และไม่รู้จะอยู่ที่นี่ได้นานกี่วัน พวกเขาพยายามสร้างปัญหาราวกับต้องการประกาศตนเพื่อดึงดูดความสนใจก็มิปาน
แต่ครั้งนี้ ในสายตาของกู้จื้อเฉิงเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนดูจริงจังมากทีเดียว แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวนั้นจริงจังกับชีวิต ไม่อยากใช้ชีวิตเอ้อระเหยไปวัน ๆ อีกแล้ว กู้จื้อเฉิงรู้ว่าในชาติที่แล้วจางฉุ้ยเหลียนต้องมีชีวิตลำบากขนาดไหน ต้องใช้ชีวิตต่อไปเพื่ออีกวัน ยอมวิ่งเต้นทำงานอย่างหนักแทบไม่มีเวลาพักผ่อนก็เพื่ออยากเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบาย ไม่ ‘ได้ดี’ เหมือนอย่างตอนนี้
และไม่ดีกว่ามื้อค่ำในคืนนี้อีกด้วย จางฉุ้ยเหลียนบอกว่าชีวิตในชาติที่แล้วของเธอก็เหมือนครอบครัวอื่น ข้าวหม้อใหญ่กับผัดผักจานใหญ่ ถึงจะมีน้ำซุปไว้ซดคล่องคอ แต่ก็กินได้แค่ข้าว 1 ถ้วยและผัก 1 อย่างเท่านั้น ทำเยอะก็สิ้นเปลือง ทุกครอบครัวก็เป็นเช่นนี้
แต่หลังจากที่แต่งงานกับเธอ จางฉุ้ยเหลียนก็พยายามลดปริมาณของอาหารลง น้ำเต้าผัดหมู 1 จาน และมะเขืออีก 1 จาน จากนั้นก็หั่นแตงกวาอีกครึ่งลูกสำหรับสลัดเย็น นอกจากนี้ยังมีหมั่นโถวที่กำลังนึ่งอยู่บนเตา เมื่อน้ำที่อยู่ด้านล่างเดือด เธอก็นำไข่และผักกาดขาวใส่ลงไปต้ม ครึ่งชั่วโมงผ่านไป อาหาร 3 อย่างและซุป 1 ถ้วยก็เป็นอันเสร็จสิ้น
เขาจำได้ว่าในตอนนั้นเชี่ยวเชี่ยวได้มาทบทวนบทเรียนที่บ้าน บางครั้งจางฉุ้ยเหลียนก็ทำอาหารมื้อค่ำชุดนั้นให้หล่อน เธอมักจะต้มไข่ 1 ฟอง และจัดวางใส่ถ้วยขนาดเล็ก เมื่อพี่ใหญ่เฉินเห็นก็พากันหัวเราะด้วยความเกรงใจว่า “ดูสะใภ้บ้านเธอสิ อุตส่าห์ต้มไข่มาให้เลยนะ ไอ้หยา แถมยังใส่ใจกับการเลือกชามด้วย จัดใส่ถ้วยข้าวมาให้ แล้วก็ยังยุ่งยากทำความสะอาดถ้วยชามอีก”
ถูกต้อง ภรรยาของเขาก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่กลัวความยุ่งยาก เธอมักพูดอยู่เสมอว่าบ้านเช่าได้ แต่ชีวิตในแต่ละวันมันเช่าไม่ได้ ดังนั้นถึงจะเพิ่งย้ายเข้ามาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก เธอเริ่มลงมือทำความสะอาดบ้านทั้งข้างในและข้างนอกทันที
โต๊ะอาหารที่เคลือบเงาวาวในห้องรับแขกตัวเดิมถูกภรรยาออกคำสั่งให้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นฟืนไม้ 1 กองอยู่ตรงมุมกำแพง ตอนนี้ที่ว่างนั้นถูกแทนที่ด้วยโต๊ะยาวสีขาวที่เพิ่งซื้อใหม่ วางอยู่ในตำแหน่ง 1 ใน 3 ของด้านซ้ายห้องรับแขก จางฉุ้ยเหลียนยังบอกอีกว่าจะแบ่งโซนเป็นสีเหลืองทองไว้ตรงมุมกำแพงไม่ก็ตรงกลางเพื่อให้คนอื่นได้เห็นจนตาลุกวาว
โต๊ะทั้ง 2 ด้านถูกขนาบด้วยเก้าอี้ 2 ตัว ทั้งหน้าและหลังคล้ายกับนิสัยของชาวตะวันตกในภาพวาดน้ำมัน นอกจากนี้ยังมีแจกันดอกไม้ 1 ใบวางอยู่บนโต๊ะ ในนั้นมีดอกไม้ปลอมประดับอยู่ด้วย ผนังในห้องครัวถูกแขวนด้วยภาพน้ำมัน ภาพนั้นคือภาพกังหันลมเนเธอแลนด์ และมีโต๊ะพิงติดผนังอยู่ 1 ตัว ถัดไปเป็นภาพที่จางฉุ้ยเหลียนนำมาด้วย กรอบรูปขนาดเล็กใหญ่ถูกแขวนเรียงรายเต็มผนัง
‘ชุดโซฟา’ ที่วางอยู่ในห้องโถงถูกเปลี่ยนเป็นโซฟาสปริงสีดำ จางฉุ้ยเหลียนหงุดหงิดใจที่หาผ้าที่ตัดเย็บเองไม่เจอ โซฟาตัวนี้เป็นโซฟามือสองที่กู้จื้อเฉิงซื้อต่อจากคนรู้จัก เข้ากันดีกับพนักพิงที่จางฉุ้ยเหลียนเย็บปักเองมากทีเดียว ให้ความหรูหรามีระดับขึ้นมาทันใด
โต๊ะบูชาถูกเปลี่ยนเป็นตู้สีขาวมีความสูง 1 เมตร มีชุดชาวางอยู่ด้านบน ใบชารวมทั้งสิ่งของขนาดเล็กถูกเก็บไว้ในลิ้นชักของตู้ใบนั้นอย่างเป็นระเบียบ
ห้องนอนได้รับการรีโนเวทมากที่สุด เตียงคู่ที่ซื้อมาในราคา 600 หยวนบวกกับฟูกนอนสปริงถูกวางไว้ตรงกลางห้อง ตู้เสื้อผ้าวางไว้ด้านใน โต๊ะเครื่องแป้งที่เข้าชุดก็ถูกวางไว้ข้างหน้าต่าง
กู้จื้อเฉิงแอบไปหาจิ้นเหวินลับหลังจางฉุ้ยเหลียน เขาต้องการซื้อเก้าอี้นวมยาวสีฟ้าน้ำทะเลมาเซอร์ไพรส์เธอ และนำมาวางไว้ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนด้านล่างก็ปูด้วยพรมที่สั่งมาจากซินเจียง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประดับอยู่ในห้องนอนล้วนเป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของกู้จื้อเฉิงทั้งสิ้น เขาแค่ปรารถนาให้ ‘สะใภ้ล้างผลาญเงิน’ มีความสุข
ไม่ว่าใครจะไปใครจะมา ต่างก็หยุดชื่นชมห้องนอนห้องนี้ด้วยความตะลึงทั้งนั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมแค่กู้จื้อเฉิงถือข้าวเดินออกมาจากโรงอาหารและเดินกลับบ้านถึงได้ดึงดูดสายตาสาวน้อยสาวใหญ่ได้
แต่อย่าบอกว่าเสนาธิการกู้กลัวเมีย ให้พูดว่าไม่รู้จะหลอกล่อภรรยาอย่างไรดีกว่า
จางฉุ้ยเหลียนนั่งทานมื้อค่ำด้วยใบหน้าซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง เธอเคี้ยวหมั่นโถวพลางส่ายหัว “มันไม่เหมือนกัน คนที่นี่ชอบกินหมั่นโถวเคี้ยวจนแก้มตุ่ย พรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะทำอาหารเอง จะนึ่งซาลาเปาแป้งนุ่ม ๆ เอง!”
กู้จื้อเฉิงยิ้ม “นิสัยเสีย! ทำไมถึงเปราะบางขนาดนี้นะ ขนาดหมั่นโถวก็ยังแข็งเกินไปเนี่ยนะ ? ไอ้หยา ฉุ้ยเหลียน คุณสบายใจที่อยู่บนเกาะนี้กับผมไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ใส่ใจ “ตราบใดที่พ่อแม่และลูกชายไม่ได้มาด้วย ฉันก็ไม่มีทางสบายใจและไม่มีอะไรทำให้สบายใจได้ ”
กู้จื้อเฉิงคิดตามอยู่พักใหญ่ก่อนจะวางถ้วยลง จากนั้นก็ให้คำแนะนำว่า “ฉุ้ยเหลียน บางคำพูดก็อยากเตือนคุณเสียหน่อย เราไม่สามารถตัดขาดจากโลกภายนอกและใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ที่นี่ได้หรอก คุณต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตที่นี่ให้ดี ที่แห่งนี้ค่อนข้างล้าหลังกว่าซุยหยวน ถ้าเดินลำบากในช่วงเวลาปกติ คุณอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่ากู้จื้อเฉิงกลัวเธอเป็นเหมือนตอนอยู่ซุยหยวน พยายามเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร แต่ที่นี่แตกต่างออกไป ทหารและชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เมื่อวานมีแกะของชาวบ้านหลุดออกมาและวิ่งไปบนภูเขา เขาวิ่งมาเคาะประตูขอความช่วยเหลือกลางดึก กู้จื้อเฉิงต้องจัดกำลังไปตามหาแกะที่หลงทางบนภูเขา
เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหลังตัดสินใจมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ต่อไปชีวิตของเธอก็จะไม่สงบสุข อีกทั้งกู้จื้อเฉิงก็ประจำการที่นี่ด้วย มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องสำนึกรู้ตัวตลอดเวลาในฐานะครอบครัวของผู้นำ
“คุณวางใจเถิด ฉันรู้ว่าต้องทำอย่างไร” คำตอบของจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ทำให้กู้จื้อเฉิงสบายใจขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับเพิ่มความไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
“ที่นี่มีความคิดค่อนข้างล้าสมัย อย่าว่าแต่คุณเลย คนเมืองใหญ่ก็ไม่มีทางเข้าใจ แม้แต่ผมที่ไม่ค่อยเห็นโลกภายนอกก็ยังทนไม่ได้” กู้จื้อเฉิงนำหมวกใบใหญ่มาสวมให้จางฉุ้ยเหลียน แกล้งจนเธอเกือบสำลักซุป
“เอาล่ะ หยุดแกล้งฉันได้แล้ว ไหนคุณลองบอกมาว่าที่นี่ล้าหลังอย่างไร ? ทำไมถึงทำให้คุณทนไม่ไหว ? ” จางฉุ้ยเหลียนกลืนหมั่นโถวคำสุดท้ายลงคอ วางตะเกียบ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าคางพร้อมมองไปทางกู้จื้อเฉิง
นานมากแล้วที่ทั้งสองไม่ได้มองอีกฝ่ายอย่างละเอียดแบบนี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะมีคนจากสองชาติภพมาแต่งงานกัน
ภาพเงาของตนเองสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาของอีกฝ่าย และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ฉายออกทางแววตา ซึ่งทำให้สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างชัดเจน ขนาดอยู่ในที่มีแต่เด็กเดินไปซื้อซีอิ๊ว ไม่มีใครสนใจกันและกัน ยังสามารถทำให้ใจเต้นแรงขนาดนี้ได้ แสดงว่าต้องเจอเรื่องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ที่นี่มีอันธพาลเยอะแยะ ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่ชอบใช้ถ้อยคำหยาบคายไม่มีสัมมาคารวะ หรือไม่ก็เด็กที่ชอบแกล้งคนอื่น ผมไม่อยากให้คังคังมาอยู่ที่นี่ด้วย และก็กลัวว่าคุณต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่อาจทนได้แบบนี้ด้วย!” แค่ตัวอย่างแรกของกู้จื้อเฉิงก็ทำให้จางฉุ้ยเหลียนนั่งไม่ติดแล้ว
“หมายความว่า ? ” เธอเบิกตากว้าง บรรยากาศเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์เมื่อสักครู่จายหายไปทันที
“คำพูดหยาบคายแบบไหน การกระทำแบบไหน ? ” จางฉุ้ยเหลียนตื่นตระหนก สมองในตอนนี้เต็มไปด้วยการกระทำที่สกปรกโสมม หรือว่าจะเป็นพฤติกรรมล่วงเกินเด็กจนกลายเป็นข่าวดังกระฉ่อนอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ในยุคหลัง ?
ทันทีที่กู้จื้อเฉิงเห็นสีหน้าของเธอ กอปรกับภรรยาเป็นคนคิดมากอยู่แล้ว เขาจึงรีบเข้าไปพูดปลอบโยนทันที “คุณก็คิดมากเกินไป ผมแค่บอกว่าคนที่นี่มีนิสัยแตกต่างจากคุณมาก คุณให้ความสำคัญกับการศึกษาของเด็ก ย่อมไม่ชินอยู่แล้ว”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วเพื่อบอกให้กู้จื้อเฉิงพูดต่อ “มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเห็นผู้ใหญ่ 2 คนกำลังแกล้งเด็กอายุแค่ 2 ขวบกว่า ๆ ผู้ใหญ่ทั้งสองน่าจะเป็นญาติกับเด็กคนนั้น เด็กมีหน้าตาน่ารักน่าชังมาก ผู้ใหญ่ชี้ไปทางขี้แกะแล้วบอกว่าอร่อย เด็กก็ช่างไร้เดียงสา หยิบเอาขี้แกะมายัดใส่ปาก ผู้ใหญ่รู้สึกสนุกจึงหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ต่อมาก็เอาเรื่องตลกนี้ไปเล่าให้ย่าของเด็กฟัง พวกเขาไม่รู้สึกอะไรและไม่ได้กังวลใจด้วย เรื่องเย้าแหย่แกล้งเด็กแบบนี้เป็นเรื่องปกติของที่นี่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เข้าใจและไม่เคยจำด้วย”
ตัวอย่างที่กู้จื้อเฉิงบอกมาข้างต้นเป็นเรื่องปกติมาก พวกผู้ใหญ่มักจะพูดเรื่องสนุกในวัยเด็กให้ฟังอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่จางฉุ้ยจวินยังเป็นเด็กประมาณ 5-6 ขวบ เขาก็เคยถูกผู้ใหญ่ที่บ้านจับกรอกเหล้าขาว ด้วยความเป็นเด็กตัวนิดเดียวถูกเล่นแบบนั้น สุดท้ายก็ลงไปนอนหัวเราะเหมือนกับคนบ้าบนพื้น
และมีอีกครั้งหนึ่ง ตอนที่เธออายุได้ 8 ขวบ เธอถูกส่งมาอยู่กับตงลี่หวาและเซี่ยจวิน มีบางคนถึงขั้นกล้าถามจางฉุ้ยเหลียนด้วยคำถามชวนรังเกียจว่า “พ่อคนนี้นอนเตียงเดียวกับเธอใช่ไหม ? ” ตอนนั้นจางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่เธอรู้สึกไม่สบายใจกับสายตา การแสดงออก และน้ำเสียงของคนเหล่านั้นมาก โชคดีที่เธอไม่ได้พูดความจริงกับตงลี่หวา ไม่อย่างนั้นนิสัยอย่างพวกเขาทั้งสองก็คงจะไม่มีทางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่สนิทสนมกับครอบครัวจากใจจริงก็ได้
“เกาะนี้ยังมีผู้หญิงที่สมองไม่ปกติด้วยอีกหนึ่งคน หล่อนแต่งงานกับคนพิการและให้กำเนิดลูกถึง 3 คน พวกเขาต่างก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และมักมีคนมาแกล้งลูกพวกเขาอยู่เสมอ แม่แกโคตรโง่เลย ไม่สิ แม่แกไม่ใช่คนโง่ แม่แกแค่ไม่ยอมรับ แม่แกมันโง่ ต่อไป แกก็คงจะโง่ตามแม่ของแก!” กู้จื้อเฉิงขมวดคิ้วตาม จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ “พวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรเรียกไม่ดี ถึงอย่างไรถ้าพูดตามจริง แม้ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจบนเกาะแห่งนี้ได้ แต่วัฒนธรรมไม่ใช่จะเปลี่ยนได้ในวันสองวัน”
กู้จื้อเฉิงมีความกังวลอยู่ไม่น้อย ถึงแม้เรื่องแบบนี้จะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่บรรยากาศทางวัฒนธรรมก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเขาไม่ชอบ จางฉุ้ยเหลียนก็คงจะไม่สบายใจเช่นเดียวกัน
การที่จะให้คังคังมาใช้ชีวิตอยู่บนเกาะจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ !
MANGA DISCUSSION