ตอนที่ 304 ลูกสะใภ้ล้างผลาญ
บางทีอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ของคนบนเกาะก็ได้ ที่นี่ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ความซื่อสัตย์ของคนบนเกาะทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็กอีกครั้ง เศรษฐกิจของที่นี่ก็เหมือนจะย้อนกลับไปในช่วงอดีตเช่นเดียวกัน
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าสถานที่ป้องกันกองกำลังทหารทุกแห่งเป็นแบบนี้หรือไม่ ตอนนั้นในเมืองซุยหยวนก็ถูกสร้างขึ้นเหมือนที่เกาะ C แต่เกาะนี้เหมือนจะมีอาณาเขตกว้างขวางกว่าเมืองซุยหยวนไม่น้อย กองกำลังตั้งมั่นและรักษาการณ์แห่งนี้ ไม่เพียงแต่ทำหนาที่ปกป้องคุ้มกันชายแดน ทั้งยังเป็นฐานทัพที่มั่นคงของทางทหารอีกด้วย
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินคนท้องถิ่นที่นั่งอยู่ในเรือลำเดียวกันพูด จึงรู้ว่าที่แห่งนี้มักจะมีทหารออกไปฝึกฝนระเบียบริมชายหาดอยู่เสมอ เวลามีเรื่องอะไร คนในท้องถิ่นก็มักไปขอความช่วยเหลือจากนายทหารในกองทัพ ผู้หญิงบนเกาะก็มักได้แต่งงานกับทหารเหล่านั้นไปด้วย
เธอเป็นตัวประหลาดตัวหนึ่ง ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังขึ้นเรือก็ได้ค้นพบเรื่องบางอย่าง เสื้อผ้าในเมืองซุยหยวนเป็นแฟชั่นจ๋าเลยทีเดียว พวกนายทหารรุ่นเก่ามักจะมองค้อนอย่างเหยียดหยาม แต่กระนั้นเสื้อผ้าที่ทหารส่วนใหญ่สวมใส่ก็เป็นเสื้อผ้าที่จางฉุ้ยเหลียนออกแบบทั้งสิ้น แต่คนฝั่งนี้กลับไม่ใช่ พวกมักใส่แค่ชุดทหารสีเขียวกากีธรรมดาที่ไม่รู้ว่าไปซื้อมาจากร้านไหน สวมรองเท้าที่เย็บเอง พื้นรองเท้าหนา ใส่หมวกทรงสูงพร้อมกับคาบบุหรี่มวนในปาก ล้วนแต่มองเธอด้วยสายตาราวกับเห็นสัตว์ประหลาด
คนที่จับกลุ่มรวมหัวกัน ต่างก็ชี้มือชี้ไม้มาทางจางฉุ้ยเหลียนพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โดยไม่แคร์เลยสักนิดว่าเธอจะได้ยิน จางฉุ้ยเหลียนแยกแยะคำพูดจำพวก ‘ไม่เป็นทางการ’ ‘แต่งเกินจริง’ ‘ไม่มีแบบแผน’ ‘ไม่ใช่คนดี’ จากคนเหล่านี้ออก
จางฉุ้ยเหลียนเดินตามกู้จื้อเฉิงไปขึ้นรถ จากนั้นก็นั่งทำหน้าเคร่งเครียดไปจนถึงบ้านของพวกเรา
ลานทหารแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาที่ไม่ชันมาก รอบตัวอาคารถูกตกแต่งอย่างสง่างาม มีทางเดินเท้าทอดยาวลงไปตามทางลาดชัน ลานกว้างแต่ละแห่งมีขนาดแตกต่างกันออกไป สถานที่แห่งนี้แบ่งตามชั้นของยศทหารจากสูงไปต่ำ
กู้จื้อเฉิงพาจางฉุ้ยเหลียนมาถึงลานขนาดเล็กที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากแห่งหนึ่ง มีกำแพงสูงราว 2 เมตรล้อมรอบทั้งสี่ทิศ ตรงกลางเป็นประตูเหล็ก 2 บานสีแดง ตั้งแต่กำแพงที่ล้อมรอบไปจนถึงประตูเหล็กตรงกลาง จางฉุ้ยหลียนก็เข้าใจความคิดของกู้จื้อเฉิงในทันที บ้านคนอื่นเป็นกำแพงอิฐธรรมดา แต่บ้านของพวกเขาแตกต่างออกไป ด้านบนของกำแพงมีการติดกระเบื้องที่คล้ายคลึงกับกำแพงสมัยก่อนเพิ่มเข้ามาด้วย
ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปก็จะเห็นทางเดินโรยด้วยหินกรวดเด่นสง่าอยู่กลางลานบ้าน ซึ่งแบ่งลานออกเป็น 2 ฝั่ง
“บ้านคนอื่นมักปลูกผักสวนครัวในลานบ้าน เราเพิ่งย้ายเข้ามาก็เลยมีแต่หญ้า” กู้จื้อเฉิงถือกระเป๋าด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็โอบเอวของจางฉุ้ยเหลียนไว้ “บ้านเราไม่ปลูกของพวกนั้นหรอก ต่อไปเราจะปลูกดอกไม้หรือจะปล่อยทิ้งว่างก็แล้วแต่คุณเลย”
บ้านหลังนี้มีห้องขนาดไม่เล็กเลยถึง 5 ห้อง ทันทีที่เดินเข้ามาก็จะพบกับโต๊ะไม้สีออกดำ ๆ ที่ไม่รู้ว่าถูกใช้งานมานานกี่ปีแล้ววางอยู่ตรงกลางห้องรับแขก ขนาบด้วยม้านั่งสีเดียวกัน 2 ตัว นอกจากนี้ยังมีม้านั่งตัวยาวเพิ่มมาอีก 1 ตัว ห้องครัวอยู่ด้านหลังห้องรับแขก จางฉุ้ยเหลียนพบว่าที่นี่ยังคงทำอาหารกด้วยการใช้เตาปูนจุดฟืนไฟและมีตัวสูบลมวางอยู่ด้านข้าง ตู้ที่อยู่ภายในห้องครัวต่างก็เป็นของเก่าของแก่ที่ถูกเก็บมาเนิ่นนานหลายปี แลดูสกปรกเกรอะกรังจนสามารถเอาเล็บขูดได้
ด้านซ้ายของห้องรับแขกเป็นห้องโถงทิศตะวันออก มีโซฟาอายุรวมแล้วก็เกือบ 50 ปีวางเด่นสง่า ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวด้านบน นอกจากนี้ยังมีถังเคลือบพิมพ์ลายวางอยู่บนโต๊ะน้ำชาเหมือนในภาพยนตร์อีก 1 ถังด้วย
ตรงข้ามโซฟาตัวนั้นเป็นโต๊ะไม้ที่ค่อนข้างเก่าแก่สีแดงตั้งชิดกำแพงอีก 1 ตัว มีรูปปั้นประธานเหมาตั้งเด่นสง่าอยู่กลางโต๊ะ ใต้โต๊ะเป็นเครื่องเสียงรุ่นเก่า เท่าที่เห็นจากการประดับตกแต่งในห้องโถงนี้ เดาได้ทันทีว่าเจ้าของบ้านคนเดิมต้องมีอายุมากอย่างแน่นอน ไม่น่าจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ที่นี่อีก
หลังจากเดินต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นห้องโถงอีกห้อง เมื่อผลักประตู 2 บานพับเข้าไป ด้านบนของประตูได้ถูกติดตั้งด้วยม่านสีขาวโปร่งสบาย ภายในห้องนี้ยังมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่อีก 1 ตู้ ซึ่งตู้เสื้อผ้ามีประตูเป็นบานกระจกทั้ง 4 บานและมีรูปผู้หญิงหน้าตาสวยเหมือนคนสมัยก่อนแปะติดอยู่บนประตูมากมาย ด้านข้างของตู้เสื้อผ้าก็คือเตียงนอนเหล็ก 1 ตัว ขาเตียงเหล็กทั้ง 4 ด้านถูกทาเคลือบด้วยสีน้ำมัน ด้านในเป็นโต๊ะเขียนหนังสือวางชิดติดกำแพง และมีโคมไฟสำหรับทำงานวางอยู่บนนั้น
กู้จื้อเฉิงนำกระเป๋าถือของจางฉุ้ยเหลียนวางบนเตียง คลี่ยิ้มและพูดว่า “เดิมทีผมอยากเก็บกวาดและตกแต่งห้องใหม่ไว้ต้อนรับคุณ แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าสิ่งแวดล้อมของเพื่อนข้างบ้านที่เอาแต่จ้องจับผิด ไม่สู้รอคุณมาก่อนดีกว่า คุณจะตกแต่งแบบไหนก็แล้วแต่คุณเลย ”
กู้จื้อเฉิงจริงจังกับเรื่องนี้มาก ถ้าเขาเตรียมตกแต่งบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จางฉุ้ยเหลียนจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็มั่นใจได้ว่าหล่อนต้องไม่พึงพอใจ 100% อย่างแน่นอน
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้พูดอะไร เธอหมุนตัวและเดินไปฝั่งหนึ่งของบ้าน ซึ่งโครงสร้างของฝั่งนั้นเหมือนกับฝั่งนี้ไม่มีผิด โชคดีที่ในบ้านมีน้ำประปา แต่เรื่องโชคร้ายคือไม่มีชักโครก เรื่องนี้ทำให้จางฉุ้ยเหลียนปรับตัวไม่ทัน และเกิดการต่อต้านอยู่ลึก ๆ ในใจ
กู้จื้อเฉิงลอบสังเกตสีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนอย่างระมัดระวัง และลองพิจารณาถึงความคิดของหล่อน แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของจางฉุ้ยเหลียน เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเพราะเรื่องไม่มีชักโครกแน่นอน เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “บ้านเรามีห้องน้ำนะ ไม่ต้องไปใช้ห้องน้ำร่วมกับคนอื่น อีก 2 วันผมจะจ้างคนงานมาต่อเติมห้องน้ำจะได้อาบน้ำได้ ให้เหมือนกับซุยหยวนที่เราเคยอยู่”
จางฉุ้ยเหลียนจะพูดอะไรได้ล่ะ ? กู้จื้อเฉิงพยายามมอบชีวิตที่ดีที่สุดให้เธอ ไหน ๆ ก็มาแล้ว อย่าแสดงท่าทีไม่พอใจเลย เมื่อคิดได้เช่นนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ทอดถอนใจออกมา “จะอยู่ได้หรือไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง สิ่งสำคัญในตอนนี้คือคุณภาพทางการศึกษาต่างหาก ฉันไม่อยากให้คังคังห่างจากพวกเรา แต่คุณภาพทางการศึกษาของที่นี่ไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร”
กู้จื้อเฉิงถอนใจ “ผมรู้ แต่ในเมื่อย้ายมาที่นี่แล้วจะพูดว่ากลับก็กลับได้เลยก็คงจะไม่ได้ ทำที่นี่ 2 ปี รอจนกว่าจิ้นเหวินประจำการครบ 2 ปี ผมถึงสามารถย้ายได้ ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่ากู้จื้อเฉิงอึดอัดใจอยู่ลึก ๆ มาโดยตลอด นั่นคือเรื่องภัยพิบัติครั้งใหญ่ในปี 98 เขาจำหายนะครั้งนั้นได้อย่างแม่นยำ อยากเล่าความฝันที่มองเห็นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ก็พูดออกไปไม่ได้ แค่คิดว่าถ้าช่วยลดทอนความเสียหายได้ก็คงจะดี
จิ้นเหวินเปลี่ยนงานไปแล้ว เขาเคยเป็นทหารที่มีใบรับรอง มีความคิดและมีภูมิหลังที่ดี ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการนายกเทศมนตรีของเมือง Q อายุสามสิบต้น ๆ แต่สามารถประสบความสำเร็จจนถึงระดับนี้ได้ สิ่งสำคัญก็คือภูมิหลังของครอบครัวก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน
จางฉุ้ยเหลียนมีข้อสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับกู้จื้อเฉิง เธอเคยไหว้วานให้จิ้นเหวินช่วยตรวจสอบ การตรวจสอบในครั้งนี้ทำให้เธอพบกับปัญหา ไม่เพียงแต่นิสัยของจางฉุ้ยเหลียนที่เปลี่ยนไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ทำให้เจ้าตัวรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ทุกครั้งที่ทำการตัดสินใจก็มักจะทำให้เจ้าตัวตกตะลึง หัวทางด้านการค้า มีความสามารถในการคว้าโอกาสที่ดีไว้ ก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับอ้าปากค้างได้เหมือนกัน
หลังจากแต่งงานกัน จางฉุ้ยเหลียนกับกู้จื้อเฉิงก็เป็นกังวลเกี่ยวเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่ กู้จื้อเฉิงรักเธอมาก จนกระทั่งเชื่อว่าในโลกใบนี้ยังมีเรื่องน่าพิศวงที่ยังไม่เคยเจออีกมากมาย แต่เขาไม่สามารถบอกเล่าเรื่องนี้ให้จิ้นเหวินเข้าใจได้ สุดท้ายก็ต้องเลือกใช้ ‘ร่างทรง’ เป็นวิธีการบอกว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นฝันเห็นอนาคต มี ‘เทพ’ คอยชี้แนะแนวทาง จิ้นเหวินจึงไม่ได้สงสัย และยอมรับกับวิธีการของกู้จื้อเฉิง
ความหวังที่เกี่ยวกับภัยพิบัติน้ำท่วมของกู้จื้อเฉิงได้ถูกโอนถ่ายไปไว้บนตัวของจิ้นเหวินเรียบร้อยแล้ว เขาอยากให้จิ้นเหวินทำงานที่นั่นได้อย่างมั่นคง อย่างน้อยภัยพิบัติในลุ่มแม่น้ำเนิ่นเจียงก็ได้รับการแก้ไขล่วงหน้า ลดการบาดเจ็บล้มตายของจำนวนประชากรได้และยังลดการสูญเสียสินทรัพย์ของประชากรได้ดีอีกด้วย
เพราะมีมาตรฐานนี้อยู่ กู้จื้อเฉิงจึงไม่อยากให้ตนเองเป็นเหมือนชาติที่แล้วอีก ที่เป็นทหารธรรมดาต้องหอบเงินกลับไปเป็นคนขับรถแท็กซี่ที่บ้าน ในเมื่อรู้อนาคตแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ควรคิดหาทางเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของตน
เขาหวังว่าตัวเองจะขยันและอยู่ในค่ายได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากย้ายแล้วก็หวังว่าจะได้อยู่ในหน่วยงานที่เหมาะสม เพราะเขาไม่สามารถปล่อยให้พ่อแม่อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง แต่เลือกที่จะไปปกป้องภรรยาและลูกได้
จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจความคิดของกู้จื้อเฉิง รู้สาเหตุที่กู้จื้อเฉิงให้เธอมาอยู่ที่นี่ เมื่อชาติที่แล้วเธอเป็นเพียงภรรยานายทหาร ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีทหารเก่าอย่างเซี่ยจวิน กู้เต๋อไห่คอยวนเวียนอยู่ข้างกายตลอด
นี่คือหนึ่งในสองเหตุผลของกู้จื้อเฉิง เพราะการทำธุรกิจได้สร้างผลกระทบในทางไม่ดี ย่อมนำพาไปสู่ความล้มเหลวโดยพื้นฐานอยู่แล้ว ประเทศมีกฎเกณฑ์วัฒนธรรมที่ตายตัว นายทหารไม่สามารถทำธุรกิจได้ ตรงกันข้าม เขากำลังรับมือกับนโยบายของทหารที่มีแนวโน้มไปทางสีเขียว
เมื่อเกิดเรื่องในครอบครัวมากมายขนาดนี้ กู้จื้อเฉิงจึงตัดสินใจกัดฟันยอมย้ายไปในที่เหนือบ่ากว่าแรง ในที่ไกลออกไป ครั้งที่กลับเมือง Q เขาทะเลาะกับกู้เต๋อไห่ยกใหญ่ จนกระทั่งได้เห็นท่าทางของแม่และน้องสาว ประกอบกับสถานการณ์มากมายในช่วงนี้ เขา อันหลงและกู้จื้อชิวมักจะรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในตอนที่คุยผ่านโทรศัพท์อยู่เสมอ
ยิ่งอันหลงถือทิฐิค่อนข้างรุนแรง กู้จื้อชิวก็ค่อนข้างเก็บตัวชอบอยู่คนเดียวมากกว่าชาติที่แล้ว โชคดีที่ตอนนี้กู้จื้อชิวมีงานทำที่ดีแล้ว อนาคตไม่ต้องกังวลเรื่องงานแต่งงาน ตอนที่อันหลงเปิดร้านหนังสือก็ไม่ได้มีสินทรัพย์อะไรหรอก อยู่บ้านก็ต้องดูแลเซี่ยจวินและตงลี่หวา
กู้จื้อเฉิงรู้เรื่องงานแต่งงานของจางฉุ้ยจวิน แม่เฒ่าจางและเช่าหวาขึ้นศาลก็มีความคิดที่จะปล่อยจางฉุ้ยเหลียนตัดสินใจไป เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่าเช่าหวาโง่เง่าฟ้องร้องจางฉุ้ยเหลียน เมื่อภรรยาเล่าเรื่องตลกนี้ให้กู้จื้อเฉิงฟัง เขากลับแสดงสีหน้าเศร้าหมองออกมา
สามีภรรยาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น สามีคนนี้ก็ไม่เคยอยู่ข้างกายภรรยาเลยสักครั้ง จางฉุ้ยเหลียนเลี้ยงลูกและดูแลอาวุโสในบ้านหลังเดียวกัน ไม่ว่าอาชีพไหน อยากทำอะไร อยากมีชีวิตแบบไหน เธอก็ไม่สามารถทำตามความคิดของตนได้
สามีภรรยาไม่ต้องพูดเยอะ วิธีการที่กู้จื้อเฉิงเข้าใจที่สุดก็คือการ ‘จ่ายเงิน’
จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งจะลงจากเรือได้ไม่นาน ‘ภรรยาเด็ก’ ที่ถูกจับตามองตอนอยู่ในเรือก็ถูกจับตามองจนเป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง
เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดภายในบ้านถูกโยนทิ้งอยู่ในลานกว้าง กู้จื้อเฉิงเอาไว้ตัดเป็นฟืนจุดไฟทำอาหาร จากนั้นก็นั่งเรือออกนอกเกาะอีกหลายต่อหลายครั้งโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใช้ชีวิตตามใจต้องการ ราวกับไม่ต้องจ่ายเงินอย่างไรอย่างนั้น
อันดับแรกคือเตียงคู่ไม้ที่มีราคาถึง 600 หยวน ต่อไปก็ตู้เสื้อผ้าสีขาวลายดอกโบตั๋นสีชมพูและโต๊ะเครื่องแป้งเข้าชุด นี่เป็นเหตุการณ์ขนของชุดใหญ่ขึ้นเกาะครั้งแรก ส่งผลให้มีเสียงโห่ร้องดังตามคนส่งของมาที่บ้าน
ฟู่ซินมาคุมการนำส่งสินค้าจำพวกโทรทัศน์ 25 นิ้ว ตู้เย็นสูง 1.8 เมตร เครื่องซักผ้าสองฝา พัดลมตั้งพื้น ไดร์เป่าผม เตารีดไฟฟ้า หม้อหุงข้าว เตาอบไฟฟ้า ขึ้นเกาะ
ทั้งเกาะ C เกิดความปั่นป่วนไปทั่ว นี่คือสินเดิมของเจ้าสาวทั้งสิ้น แต่งงานและคลอดลูกแล้วทั้งที ทำราวกับลูกสาวของจักรพรรดิแต่งงานออกเรือน
มีคนอีกจำนวนมากบนเกาะที่ยังไม่มีโทรทัศน์ ส่วนตู้เย็นไม่รู้ว่ามีประโยชน์ไหม ลมทะเลแค่นี้ก็พอแล้ว ทำไมต้องเอาพัดลมมาด้วย ?
เสนาธิการกู้คนนี้มีเงินมากขนาดนั้นเชียวหรือ ? ทำไมเขาถึงได้แต่งงานกับสะใภ้ล้างผลาญคนนี้ ?
MANGA DISCUSSION