ตอนที่ 303 เกาะ C
ยิงเจี๋ยถูกไล่ออกไป นับเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผู้พิพากษาต้องเจอในหลายปีที่ผ่านมา ส่วนเรื่องค่าเลี้ยงดูที่จางฉุ้ยเหลียนต้องจ่ายในทุกเดือนนั้น เช่าหวาคงจะพอใจ
ยิงเจี๋ยได้ยินรายละเอียดของค่าใช้จ่ายเหล่านั้นจากหน้าประตู เนื่องจากตัวหล่อนกำลังตั้งท้องจึงไม่มีใครกล้าทำอะไร ดังนั้นหล่อนจึงวิ่งเข้าไปหาจางฉุ้ยเหลียนและพูดว่า “พ่อของเธอก็ยังมีเงินเดือน ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินสักหน่อย”
คนในบ้านก็ไม่ได้อดอยากถึงขั้นไม่มีอะไรกิน จางกว่างฝูมีรายได้เข้ามาตลอด แถมมักจะซื้อของเข้าบ้านเสมอ แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการจ่ายค่าเลี้ยงดูของพ่อแม่แต่อย่างใด ในฐานะเป็นลูกสาวย่อมต้องรับผิดชอบและรับภาระเรื่องค่าเลี้ยงดูพ่อแม่อยู่แล้ว
แต่เงินจำนวนนี้ไม่ได้จ่ายตามที่เช่าหวาต้องการแต่อย่างใด ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบที่ตกลงกันไว้ อันดับแรกต้องคำนวณรายได้ต่ออัตราส่วนของคนในบ้าน ครอบครัวที่มีบุตรจำนวน 2 คนสูงกว่าการประกันสังคมขั้นต่ำจะได้รับการจัดสรร 50 % ของส่วนที่สูงที่สุด การประกันขั้นต่ำที่สุดของเมือง Q ในปี 1995 คิดเป็นเงิน 83 หยวน ครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนมีรายได้เกินกว่ามาตรฐานไปมากแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรายได้ของจางฉุ้ยเหลียนเพียงคนเดียวเลย กู้จื้อเฉิงเองก็มีรายได้ต่อเดือน เดือนละ 800 หยวน รายได้ของร้านในแต่ละเดือนก็ยังมากกว่า 300-400 หยวนเลยทีเดียว รายได้รวมกันของทั้งสองคนคิดเป็นเงิน 1,200 หยวนซึ่งตกไปอยู่บนตัวคังคังทั้งสิ้น ขนาดแกล้งนับก็ยังมีรายได้เข้าจำนวน 400 หยวน เงินเดือนเท่านี้แต่ไม่คิดให้เช่าหวาสัก 150 หยวนเลยก็คงดูไม่ดีเท่าไร
แต่ปัญหาคือสามีภรรยาจางฉุ้ยจวินไม่ได้มีความสุขอีกต่อไป ตอนที่จางฉุ้ยจวินใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอยู่กับฟู่ซิน ยังมีรายได้เดือนละ 300 หยวน และยังแบ่งเงินให้ยิงเจี๋ยเป็นจำนวน 150 หยวนด้วย ตามมาตรฐานของเขาแล้ว เขาจะได้รับเพียงแค่ 40 หยวนต่อเดือนเท่านั้น ทั้งสองคนคิดว่าเงินจำนวนนี้ไม่คุ้มค่าเลย
ทันทีที่เช่าหวาได้ยินจากปากของจางฉุ้ยเหลียนว่าหาเงินได้ 50 หยวนต่อเดือน หล่อนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที หล่อนตะโกนออกไปว่าร้านของจางฉุ้ยเหลียนไม่มีวันทำเงินได้แค่นี้แน่ ๆ ยังบอกอีกว่าจางฉุ้ยเหลียนมีรายได้ทางอื่นที่ไม่สามารพูดออกมาได้
ขั้นตอนการพิจารณาคดีดำเนินต่อมาถึงตอนนี้ ถึงแม้แค่ดูเพื่อความสนุกแต่ก็น่าสนใจไม่น้อย ใครจะคิดว่าเช่าหวาทำแบบนี้ จางฉุ้ยเหลียนแอบดีใจอยู่ลึก ๆ เธอหยิบยกหลักฐานที่เป็นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ที่ยกให้ก็มีหลักฐานเขียนกำกับไว้ว่าเธอต้องชดใช้เป็นเงินคืนบริษัท ดังนั้นเรื่องที่เช่าหวากล่าวหาจางฉุ้ยเหลียนร่ำรวยจึงไม่เป็นความจริง
เท่าที่ดูจากในเวลาอันสั้น รายได้หลักภายในครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนเป็นรายได้ที่มาจากเงินเดือนของทหารอย่างกู้จื้อเฉิง ทั้ง 3 คนถูกเฉลี่ยตกเดือนละ 200 หยวน ได้ถูกลดจำนวนตกคนละ 100 หยวน ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเช่าหวาก็เคร่งขรึมทันที เพราะมันไม่ได้เป็นไปตามแผนการที่คาดหวังไว้ ดังนั้นหล่อนจึงเรียกร้องให้จางฉุ้ยเหลียนจ่ายเงินในครั้งเดียวเป็นจำนวนหลักหมื่น ให้จางฉุ้ยเหลียนกัดฟันจ่ายเพียงครั้งเดียวต่อไปก็จะได้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
แน่นอนว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่เห็นด้วย เพราะไม่เช่นนั้นเช่าหวาจะหาข้ออ้างในการเรียกร้องให้เธอจ่ายเงินเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหายไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ได้ สุดท้ายแล้วภายใต้ความพยายามของทนายความ ผู้พิพากษาจึงตัดสินให้จางฉุ้ยเหลียนจ่ายเงินเลี้ยงดูเช่าหวาเป็นจำนวน 100 หยวนต่อเดือน และต้องให้เงินกับจางฉุ้ยจวินอีก 40 หยวนต่อเดือนด้วย ส่วนของจางฉุ้ยจวินทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ เดิมทีมันไม่มีข้อเรียกร้องด้วยซ้ำ เช่าหวารู้สึกว่าเงินจำนวน 100 หยวนที่ได้จากจางฉุ้ยเหลียนทุกเดือนมันค่อนข้างน้อยเกินไป
อีกทั้งทนายได้ตักเตือนเช่าหวาต่อหน้าสาธารณะชนอีกด้วย จางฉุ้ยเหลียนมี ‘เงินเก็บ’ จำนวน 300-400 หยวน เงินค่าเลี้ยงดูก้อนใหม่นี้ต้องให้ทันทีหลังจากนี้ 3 เดือน จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้กลัวปัญหาที่จะเข้ามาหาเธอในทุกเดือน
เช่าหวาครุ่นคิดอยู่หลายตลบจนเกิดความคิดที่ไม่ดีขึ้น ใน 1 ปีหากว่าป่วย ไหนจะค่ารักษาพยาบาล ค่าฉีดยา เงินแค่นี้ยังไม่พออุดซอกฟันเลยด้วยซ้ำ จางฉุ้ยเหลียนยังพูดอีกว่าถ้าวันนั้นมาถึง เธอและจางฉุ้ยจวินจะช่วยกันออกคนละครึ่ง จางฉุ้ยจวินไม่กล้าพูดอะไรออกมา เขาไม่ใช่คนโง่ที่เอาตัวเองมาแทรกแซงตรงกลางระหว่างแม่ลูกคู่นี้
เช่าหวารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ทำให้จางฉุ้ยเหลียนได้เปรียบไม่น้อย ต่อไปค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้าน จางฉุ้ยเหลียนไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอีก ค่าเลี้ยงดู 100 หยวนนี้ทำให้เช่าหวารู้สึกท้อแท้ไม่น้อย จะเรียกร้อง 500 หยวนก็คงมากเกินไป แต่เงินแค่ 100 หยวนก็น้อยเกินไป
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มอย่างเย็นชา บางครอบครัวไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายขนาดนั้นเลย รายได้ของการเกษตรยังไม่เกิน 2,000-3,000 หยวนต่อปีเลย แถมยังต้องนำเงินมาเลี้ยงดูคนในบ้านอีก แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็สามารถใช้ชีวิตด้วยกันได้อย่างมีความสุข แต่สำหรับเช่าหวาที่ได้รับเงินมากถึง 120 หยวนต่อเดือนก็ยังไม่เพียงพอ สามีก็มีรายได้เดือนละ 300 หยวน สองสามีภรรยารวมกันก็คิดเป็นเงินกว่า 400 หยวน เงินจำนวนนี้สามารถใช้ชีวิตในประจำวันได้อย่างสบายเลยทีเดียว
สุดท้ายเรื่องนี้ก็จบลง จางฉุ้ยเหลียนไม่สามารถปัดความรับชอบจำนวน 1,200 หยวนของเช่าหวาได้ ถ้าพูดมากไป มีหวังคงได้จ่ายปีละ 30,000-40,000 หยวน ยอมเหนื่อยเพราะเงินแต่สบายใจดีกว่า
จางฉุ้ยเหลียนเดินออกมาจากศาล ในตอนนั้นเองก็ถูกเช่าหวารั้งตัวไว้ หล่อนเริ่มพูดในเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อ กล่าวหาจางฉุ้ยเหลียนว่าคิดน้อยเกินไป ครั้งนี้จะไม่นับ ต่อไปทั้งสองครอบครัวต้องไปมาหาสู่กันเหมือนเมื่อก่อน ให้จางฉุ้ยเหลียนปฏิบัติตัวเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ และอย่าไปสนิทสนมกับคุณย่าคนนี้นัก จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้สนใจ หวังแค่อยากจะยุติความสัมพันธ์ที่ยืดเยื้อกันมาเนิ่นนานระหว่างเธอกับหล่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเช่าหวาจบลงนับจากที่เธอยอมจ่ายเงินก้อนนั้นไป ถ้ายังมาวนเวียนอยู่รอบตัวอีก จางฉุ้ยจวินทำอย่างไร เธอก็จะทำเช่นนั้น
จางกว่างฝูด่าเช่าหวาโง่เง่า ลูกสาวแค่คนเดียวก็ยังหลอกล่อไม่ได้ แถมยังถูกอีกฝ่ายเฉดหัวทิ้งอีกด้วย จางฉุ้ยจวินเองก็หงุดหงิดมารดาอย่างไม่ให้เกียรติ ครอบครัวของเขายังจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากจางฉุ้ยเหลียน มีแค่ยิงเจี๋ยคนเดียวที่ยังถลึงตาใส่ โดยไม่รู้ด้วยว่าหล่อนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนกลับถึงบ้านก็ได้รับข่าวจากกู้จื้อเฉิงทันที ทางนั้นทำเรื่องย้ายแล้ว ในฐานะเป็นนายทหารอนาคตไกลนายหนึ่ง ทำไมกู้จื้อเฉิงเลือกย้ายไปยังสถานที่ห่างไกลแสนเปล่าเปลี่ยว แม้แต่นกก็ยังไม่บินผ่านแบบนั้นอีกตั้ง 3 ปีด้วยล่ะ เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี เพื่อได้เลื่อนตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุด แต่คนที่โดดเด่นในค่ายทหารก็มีจำนวนไม่น้อย คนที่อยากได้โอกาสดี ๆ แบบนี้ก็มีเยอะ
กู้จื้อเฉิงจะต้องกลับบ้านภายใต้แรงกดดันอย่างมากทีเดียว การปฏิบัติตนของเขาก็มากพอจะเป็นบทเรียนล้ำค่าให้เขาได้แล้ว อีกด้านหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครนำเรื่องธุรกิจของจางฉุ้ยเหลียนไปแจ้งต่อเบื้องบน ถึงแม้ว่ากู้จื้อเฉิงจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ถึงแม้ว่าทั้งสองไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมายมาก่อน แต่ทั้งสองเรื่องนี้ก็ร้ายแรงสำหรับกู้จื้อเฉิงไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่เบื้องหลังและคู่แข่งอีกไม่รู้ตั้งเท่าไร
แต่ผู้บังคับบัญชาของกู้จื้อเฉิงคงรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย ล้วนคิดว่ากู้จื้อเฉิงเป็นบุคคลมีความสามารถโดดเด่น ถูกเก็บซ่อนไว้แบบนี้คงน่าเสียดายแย่ การปลดประจำการก็ยิ่งทำให้สิ้นเปลืองความสามารถไปโดยปริยาย
หลังจากทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว เบื้องบนก็ลงมติว่าจะให้กู้จื้อเฉิงไปประจำการยังเกาะที่หาไม่ได้จากในแผนที่ ให้เขาไปช่วยพัฒนาและทำประโยชน์บนเกาะ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนรอบข้าง แต่สำหรับกู้จื้อเฉิงนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้เขาได้ขึ้นไปยังจุดสูงสุด
นี่เป็นครั้งแรกที่จางฉุ้ยเหลียนต้องขายร้าน ไม่เพียงแต่ร้านของตัวเองเท่านั้น แม้แต่หุ้นที่ถืออยู่ก็ถูกปลดออกทั้งสิ้น เหลือเพียงแค่เงินที่เก็บสะสมมาหลายปี จางฉุ้ยเหลียนจึงกลายเป็นคนว่างงานไปโดยปริยาย นอกจากต้นฉบับที่เขียนแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีช่องทางไหนสำหรับเธออีก
เดือนกันยายน กู้จื้อเฉิงขึ้นเกาะตามที่เบื้องบนสั่งการ เขาหวังให้จางฉุ้ยเหลียนไปใช้ชีวิตอยู่บนเกาะด้วยกัน แต่ถ้ามีแค่จางฉุ้ยเหลียนคนเดียวก็คงจะเป็นเรื่องง่าย เธอต้องพาคังคังมาด้วยซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา ปัญหาด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม กระทั่งปัญหาในการดำรงชีวิต ต่างก็เป็นเรื่องยากที่จะปรับตัวและแก้ไข จางฉุ้ยเหลียนรักคังคังมาก กลัวว่าการพาเขาขึ้นเกาะจะเป็นการถ่วงพัฒนาการของลูก
ในเวลานี้ กู้จื้อชิวเข้าสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัวแล้ว หล่อนได้รับมอบหมายให้ไปเป็นศุลกากรอยู่ในเมืองขนาดเล็กใกล้กับมณฑลเฮย์หลงเจียงในมองโกเลีย นี่เป็นงานที่ค่อนข้างมีประโยชน์มาก ทุกคนต่างรู้สึกเสียดายที่ในตอนเรียนมหาวิทยาลัยไม่มีโอกาสร่วมงานนี้ ทันทีที่ถูกแยกตัวออกมาเป็นศุลกากร ย่อมเป็นขนมชิ้นใหญ่ที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้าโดยไม่ต้องสงสัย
กู้จื้อชิวเตรียมตัวไปเมือง M ด้วยความตื่นเต้นดีใจ ระหว่างนั้นก็ยังไม่ลืมไปสร้างความปั่นป่วนต่อครอบครัวของกู้เต๋อไห่ บีบบังคับให้บิดาถึงกับกระอักเลือด ทำให้แม่เฒ่าเฝิงความดันสูงจนเกือบจะลาจากโลกนี้ไป
ทันทีที่ลูกสาวย้ายไป อันหลงก็เหมือนจะเสียสติ ตัวเองต้องหย่าร้าง ลูกชายก็ไปอยู่บนเกาะ ในวัยหมดประจำเดือนเข้าสู่วัยทองต้องเผชิญหน้ากับทั้ง 3 เรื่อง กรรมจึงตกมาอยู่ที่จางฉุ้ยเหลียนไปโดยปริยาย ยิ่งอยู่จำนวนคนยิ่งลดน้อยลงเรื่อย ๆ แถมความน่าสนใจก็ลดลงอีกด้วย
สุดท้าย หลังจากโทรศัพท์หากู้จื้อเฉิงเป็นครั้งที่ 47 จางฉุ้ยเหลียนก็ตัดสินใจจะขึ้นเกาะไปใช้ชีวิตแบบชาวประมงร่วมกับกู้จื้อเฉิง เพื่อความวางใจ จางฉุ้ยเหลียนจึงต้องอดทนต่อความเจ็บปวด ยกคังคังให้ตงลี่หวาดูแล
ผู้อาวุโสทั้งสองไม่รู้สึกถึงความไม่เหมาะสมแต่อย่างใด ถึงอย่างไรวัยชราในยุคนี้ ก็ต้องช่วยลูกเลี้ยงหลานอยู่แล้ว แม้จะเอาคังคังไปด้วย ทั้งสองคนก็ไม่มีวันปล่อยให้ไปเด็ดขาด
หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เก็บกระเป๋าเดินทาง เธอออกเดินทางไปยังเกาะแห่งนั้นตอนปลายเดือนกันยายน เกาะถูกล้อมรอบด้วยทะเลทั้งสี่ทิศ เมืองทั้งเมืองตั้งอยู่บนเกาะแห่งนี้
จางฉุ้ยเหลียนนั่งเรือมา ด้านหนึ่งก็เวียนหัวอยากอาเจียน อีกด้านก็ครุ่นคิดว่าตัวเองพร้อมจะใช้ชีวิตบนโลกใบใหม่แล้วหรือยัง เมื่อก่อนต้องก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว แต่ก้าวนี้เหมือนตอนที่เธอเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ทั้งสองคนใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ในชนบทแห่งนั้นเนิ่นนานหลายปี จากนั้นจึงสบโอกาสราวกับได้สับไพ่ครั้งใหม่
เพียงแต่ครั้งนี้ เธอมักรู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกชื่นชอบเลยสักนิดเดียว
ความตื่นเต้น หรือแม้แต่พลังก็ไม่มีเหลือ ตอนนั้น เธอหยิบใบจบการศึกษาตรงไปหากู้จื้อเฉิง เพื่อการแต่งงานและชีวิตใหม่ที่ตัวเองใฝ่ฝัน สิ่งที่เธอนำติดตัวไปด้วยก็คือสินสอดทองหมั้นหลากหลายชนิดที่เธอเตรียมเผื่อไว้หรือไม่ก็เอามาแลกเป็นเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้าน
ครั้งนี้ จางฉุ้ยเหลียนพากระเป๋าถือไปด้วยแค่ 1 ใบเท่านั้น ในที่สุดก็มาถึงเกาะ C สภาพของเธอไม่ต่างอะไรกับคนบ้า ใบหน้าซีดราวกับไก่ต้ม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง
ชีวิตใหม่ในครั้งนี้ ให้รสชาติที่แตกต่างกันออกไป กลิ่นอายทะเลปะปนคละคลุ้งอยู่ในสายลม ยังผสมปนเปไปด้วยกลิ่นของความซื่อสัตย์ที่ออกมาจากคนในท้องถิ่น
ยังไม่ทันทีเรือจะเทียบท่า จางฉุ้ยเหลียนก็เห็นกู้จื้อเฉิงยืนส่งยิ้มหวาน แววตาสดใสเปล่งประกายมาทางเธอ เหมือนกับตอนที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่อย่างไรอย่างนั้น เขาเข้ามาคอยประคองตัวเธอ กลัวว่าเธอจะเผลอตกทะเลไปด้วยอากัปกิริยาเหมือน ‘ขันทีคอยประคองพระโพธิสัตว์เฒ่า’ อย่างไรอย่างนั้น ประคองเจ้าหญิงองค์น้อยจางฉุ้ยเหลียนขึ้นจากท่าเทียบเรือ
ทันทีที่สองเท้าแตะลงผืนทราย ขาทั้งสองข้างของจางฉุ้ยเหลียนถึงกับอ่อนระทวยลงไปกองกับทรายทันที กู้จื้อเฉิงจึงต้องคอยกึ่งพยุงกึ่งอุ้ม สีหน้าของเธอในตอนนี้แย่ขั้นสุด อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ได้แต่คุกเข่าถอนหายใจอยู่บนผืนทราย
มหาสมุทรได้แสดงพลังอำนาจให้เห็นแล้ว จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าชีวิตที่นี่ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน!
MANGA DISCUSSION