ตอนที่ 300 ถาม
“เรื่องนี้เป็นความคิดของหล่อนหรือเปล่า ? ”
จางฉุ้ยจวินคิดเงียบ ๆ อยู่ในใจ ‘เข้าใจผิดไปหรือเปล่า ถ้าพี่สาวได้ยินก็ไม่รู้ว่าจะขำกันออกไหม’
เขาออกหน้าปกป้องจางฉุ้ยเหลียน “พี่จะทำเพื่ออะไร ? หล่อนมีเงินมากขนาดนั้น ลืมที่พวกนั้นไปเยี่ยมคุณย่าไม่ได้หรือ ? เรื่องนี้ต้องเป็นความคิดไม่ดีของคุณลุงคุณป้าแน่นอน ! ”
ยิงเจี๋ยเบ้ปากอย่างไม่พอใจ “พอเลย พี่สาวของนายฉลาดหลักแหลมจะตาย ไม่รู้หรอกว่าเป็นความคิดของใคร ตรงกันข้ามคือหล่อนมารับคุณย่าไป แสดงความเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมกตัญญู ตอนนี้จะส่งคุณย่าไปให้คนอื่นก็ทำไม่ได้แล้ว จึงยุยงให้คุณลุงหอบเงินกลับบ้าน แต่มันไม่ใช่เงินของหล่อน ซึ่งหล่อนไม่ได้เจ็บปวดเหมือนเรา!”
เดิมทีจางฉุ้ยจวินชอบยิงเจี๋ยมาก โดยเฉพาะท่าทางอ่อนโยน ความเอาใจใส่และเข้าใจของหล่อน แต่หลังจากแต่งงานกลับพบว่าทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นเรื่องโกหก พวกผู้หญิงมักขี้เกียจเหมือนหมูนอนอืด กินก็เยอะ นอนก็มากกว่าเขาเสียอีก อ้างว่าสตรีตั้งครรภ์ต้องอยู่บ้านแบบสวย ๆ
แค่อุ้มท้องอยู่บ้านแล้วให้แม่สามีออกไปซื้อของกินมาให้ แต่ของกินเหล่านั้นกลับไม่ได้เข้าปากของเขาสักคำ
ตอนที่พ่อแม่อยู่บ้าน หล่อนมักพูดด้วยถ้อยคำหวาน ๆ “ที่รัก มากินสักสองคำสิ คุณแม่เองก็กินหนึ่งคำ” จากนั้นก็เอากลับไปในห้องของหล่อน เขาพบว่ายิงเจี๋ยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนที่เขาไม่สนิทใจ “คุณกินหมดแบบนี้ แล้วลูกจะกินอะไรล่ะ ? ไม่ต้องกิน ออกไปเลย!”
ถ้ามีของราคาสูง หล่อนก็จะซื้อมาแค่เล็กน้อย ไม่เคยซื้อมากกว่านั้น หล่อนเขมือบปากกว้างราวกับคนไม่เคยกินข้าวอิ่มอย่างไรอย่างนั้น จางฉุ้ยจวินถูกเช่าหวาเอาใจตั้งแต่เด็กจนโต อะไรที่ดีก็มักให้เขาหมด แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับตกกระป๋อง ซึ่งทำให้รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ
แต่เพื่อเป็นการไว้หน้าเขา สะใภ้คนนี้เขาเลือกที่จะแต่งงานด้วยเอง ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางไประบายความทุกข์กับคนในบ้านได้ แต่วันนี้หล่อนบอกว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ดี ไม่รู้ว่าทำไมจางฉุ้ยจวินถึงรู้สึกไม่ชอบอยู่ในใจ เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับจางฉุ้ยเหลียนไม่ใช่หรือ คนที่ไร้อนาคตเช่นเขา ในสายตาของหล่อนไม่มีดีสักอย่าง แต่เขาจะพูดอะไรได้ ? เขาพลาดเองไม่ใช่หรือ ?
“ฉันจะบอกเธอให้นะ พี่สาวของฉันไม่ใช่คนแบบนั้น เรื่องบางเรื่องเธอไม่เข้าใจหรอก หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว แม่ของฉันก็เคยบอกเธอแล้ว เงินในบ้าน ข้าวของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านก็เป็นเงินของพี่สาวทั้งนั้น พี่ของฉันขัดสนเรื่องเงินหรือสมองไม่รู้จักโตงั้นหรือ ? ” ยิงเจี๋ยไม่ใส่ใจกับความรู้สึกชนะที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจางฉุ้ยจวิน
“พี่สาวของคุณมีเงินแล้วอย่างไร ถ้าเก่งจริงไม่เปิดร้านแล้วให้คุณเป็นเถ้าแก่ล่ะ ? เรื่องอื่นก็ไม่ได้ ขนาดจะเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ให้ยังไม่มีเลย ฝีมือทำอาหารของคุณใช้ไม่ได้หรือ ? ทำไมต้องให้คุณตามคนอื่นไปทำงานหาเงิน” ยิงเจี๋ยอุ้มท้องลูกของเขาและพยายามพูดโน้มน้าวจางฉุ้ยจวินว่า “คุณกำลังจะบอกว่า หลังจากที่ฉันคลอดลูกชายออกมาแล้ว ต่อไปเราจะไม่มีเงินอีกใช่ไหม ? หากเปิดร้านอาหารขนาดเล็กและคอยเรียนรู้ ฝึกฝีมือจากพ่อครัวเป็นเวลาสัก 2 ปี รอให้ลูกห่างมือได้ก่อน ฉันจะไปเป็นพนักงานต้อนรับแขก ส่วนคุณก็เป็นพ่อครัว ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คุณน่ะต้องคิดให้มากกว่านี้”
ยิงเจี๋ยพูดออกมาทีละประโยค แต่จางฉุ้ยจวินไม่ใช่คนโง่ เขาถูกหลอกให้ทำขายตรงเพราะคิดมากและเชื่อใจคนอื่นง่าย แต่หลังจากหลุดพ้น เขาก็มีท่าทีเปลี่ยนไปราวกับนกตื่นธนู คอยระแวงคนอื่น ระวังตัวมากขึ้น พอได้ฟังยิงเจี๋ยพูดแบบนี้ เขาก็เริ่มพึมพำในใจไม่พูดออกมา ทำได้แต่อ้ำอึ้งไม่สนทนาต่อ
เช่าหวาได้ฟังบทสนทนาระหว่างสามีภรรยาที่ออกทะเลไปเรื่อย ๆ จึงบ่นในใจว่าลูกชายใจกว้างเกินไป หล่อนร้อนใจจนบ้านแทบลุกเป็นไฟอยู่แล้ว แต่เขายังไม่มีทีท่ากระวนกระวายร้อนใจ ขนาดภรรยาเหยียบเท้าจางฉุ้ยเหลียนและลากออกมายุ่งเกี่ยว ก็ยังนิ่งได้
“ลูกชาย แกช่วยคิดให้แม่หน่อยสิ ทางนั้นฟ้องแม่แล้ว แม่จะทำอย่างไรดี ? ” จางฉุ้ยจวินมองไปทางภรรยาแวบหนึ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน “จะลองถามพี่สาวให้แล้วกัน คุณย่าอยู่ที่บ้านพี่ไม่ใช่หรือ!”
พูดได้ถูกใจเช่าหวา หล่อนพยักหน้าหงึกหงักราวกับโขลกกระเทียม “ใช่ใช่ใช่ ต้องไปถามนังผู้หญิงปลิ้นปล้อนคนนั้นให้รู้เรื่อง” หล่อนเดินวนไปรอบ ๆ เพื่อหาของบางอย่างแต่ก็ยังมิวายด่ากราดใส่คนอื่น “นังแก่หนังเหนียว คอยดูแล้วกัน ถ้าฉันไปถึงที่นั่นแล้วจะด่าหล่อนแบบไหน ! ”
จางฉุ้ยจวินตามเช่าหวาออกไป เมื่อสีหน้านิ่งเฉยของภรรยาที่เหมือนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องก็โกรธขึ้นมา “มาสิ เธอไม่ไปหรือไง”
ยิงเจี๋ยพยักหน้าตอบรับ “ฉันไม่ไปหรอก เกี่ยวอะไรกับฉันมิทราบ ? อีกอย่างฉันก็ท้องโตขนาดนี้ ถ้าไม่ระวังไปชนอะไรเข้า ฉันจะทำอย่างไร ? ”
เช่าหวาพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ไม่ต้องให้หล่อนไปหรอก เกิดกระทบกระเทือนขึ้นมา จะไปเรียกร้องเงินไม่ได้นะ ! ”
จางฉุ้ยจวินชำเลืองมองไปทางยิงเจี๋ยด้วยสายตาเหยียดหยาม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแล้วเดินตามเช่าหวาไป จากนั้นก็นั่งรถประจำทางไปตามเส้นทาง เช่าหวาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพึมพำคำด่าไปตลอดทาง ทำให้เขาอดที่จะเอาหน้าฟุบลงตักไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขานั่งอยู่ด้านใน คงย้ายที่นั่งแล้วทำเป็นไม่รู้จักไปนานแล้ว
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจปฏิเสธมารดาได้ เงินเดือนแต่ละเดือนก็ไม่เคยพอ เพราะต้องใช้ด้วยกันถึงสองคน คือตัวเองและภรรยา จำเป็นต้องให้เช่าหวาช่วยเหลือ พึ่งพาเงินขายบะหมี่ริมทางของหล่อนมาเลี้ยงภรรยาที่ตะกละตะกลาม
สองแม่ลูกรีบมาหาจางฉุ้ยเหลียนถึงที่ เคาะประตูอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครเปิด มีแต่เสียงตอบรับดังมาจากข้างใน ทั้งสองไม่รู้และไม่อยากเชื่อว่าวันนี้หญิงชราจะอยู่บ้านของตงลี่หวา จะเป็นไปได้อย่างไร
ทั้งสองยืนเคาะประตูแล้วตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าบ้าน คนในบ้านตอบรับกลับมาแล้ว ตงลี่หวาและเซี่ยจวินมองหน้ากันแล้วรีบเก็บข้าวของในห้องราวกับถูกหมาป่าไล่ล่าอย่างไรอย่างนั้น
แม่เฒ่าจางก็วิ่งเข้าไปในห้องราวกับเห็นผี ทำการล็อกประตูโดยไม่ต้องให้ตงลี่หวาบอก เซี่ยจวินนำรองเท้าและของใช้คุณย่าไปซ่อน จากนั้นก็ถอนหายใจ ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก
ตงลี่หวาเดินมาเปิดประตูพร้อมสีหน้าเรียบเฉย สองแม่ลูกเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทันทีที่เข้ามา เช่าหวาก็พูดขึ้นว่า “มานี่ มาเปิดประตู ฉันจะพาคุณย่ากลับไป”
ทั้งสามคนตื่นตกใจทันใด เช่าหวาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือ ? หลังจากนั้นเช่าหวาก็พูดต่อ “พวกคุณรู้ใช่ไหมว่าคุณย่าฟ้องร้องฉัน บอกว่าฉันยึดครองทรัพย์สิน บอกว่าฉันอกตัญญู ฉันบีบบังคับสามีของหล่อน แล้วทำไมฉันต้องเชื่อฟังหล่อนด้วย”
ตงลี่หวามองไปทางเซี่ยจวินด้วยสีหน้าซีดเผือด คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากันพร้อมชี้ไปทางโซฟาและพูดว่า “มีอะไรก็คุยกันดี ๆ จะมาแยกเขี้ยวยิงฟัน อารมณ์ร้อนใส่กันทำไม”
เช่าหวาไม่ลดละ ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว แม้แต่รองเท้าก็ไม่ยอมถอด นั่งแบบไม่ยี่หระ ไม่สนใจไยดีอะไรอยู่บนโซฟา “ต่อให้พวกคุณไม่พูดฉันก็รู้ คุณย่าให้จางฉุ้ยเหลียนรับมาอยู่ที่บ้านของพวกคุณใช่ไหม ? ฉันบอกฉุ้ยเหลียนแล้วว่าจะต้องมีปัญหา กตัญญูกับหล่อนไม่เท่ากตัญญูกับฉัน ฉันอุ้มท้องแกแล้วคลอดออกมา ทำไมไม่ชวนฉันมาอยู่สบายที่บ้านบ้างล่ะ เอานังแก่หนังเหนียวตายยากมาทำไม ? พออาการดีขึ้น ลุงกับย่าของแกก็ฟ้องร้องฉัน ไหนพวกคุณลองบอกสิว่าคุณย่าตายยากยังมีมโนธรรมอยู่ไหม ? ”
สีหน้าของตงลี่หวาดูอ่อนลงในทันที ที่แท้เช่าหวาก็ไม่รู้ว่าหญิงชราที่ตนพูดถึงอยู่ที่นี่ด้วย หล่อนหัวเราะและพูดว่า “ไอ้หยา เรื่องนี้เธอน่าจะไปคุยกับลุงของฉุ้ยเหลียนก่อนนะ เราไม่ได้เป็นเจ้าของ อีกอย่างทั้งสองบ้านก็อยู่ใกล้กันแค่นั้นเอง แต่เธอกลับมาไกลถึงขนาดนี้…”
“ยังไม่ออกมาอีก!” เช่าหวาแสดงสีหน้าฉุนโกรธ พร้อมกับชี้ไปทางกำแพงแล้วตะคอกเสียงดัง “ฉันรู้ว่าหล่อนอยู่ที่นี่ ไม่กล้าเปิดประตูออกมาสู้หน้าฉันใช่ไหมล่ะ ฉันจะบอกให้นะ วันนี้ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะฉันต้องไปปรนนิบัติรับใช้คุณแม่ที่โรงพยาบาล คุณแม่จะมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ไหม ? ทีแบบนี้มาพูดเรื่องกตัญญู เวรเอ๊ย ! ฉันปรนนิบัติรับใช้คุณแม่อยู่ที่โรงพยาบาล ยังหาว่าไม่กตัญญูอีก”
“คุณแม่ยกเงินให้ลูกชายคนโตหมด แต่ให้ฉันดูแลรับใช้ ใครจะโง่ทนรับเรื่องแบบนี้ได้ล่ะคะ ? ” เช่าหวาด่าต่อหน้าสองสามีภรรยา ไม่ว่าคนอื่นจะมองตนอย่างไร นี่ก็เป็นชีวิตของตนและก็ชินกับมันแล้ว
“ลูกชายของฉันแซ่จาง แต่งงานไปแล้วก็ไม่ได้เงินสักหยวน คุณแม่ว่าเรื่องนี้มันถูกต้องแล้วหรือ ? ” เช่าหวาดึงมือของตงลี่หวามากุมไว้ จนกระทั่งพูดถึงเหตุผลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมา
“ใช่ ฉันชี้แนะผู้อาวุโสให้ฆ่าตัวตายเพื่อจะได้เรียกร้องเงิน ฉันเป็นคนทำเรื่องนี้เอง ฉันยอมรับ แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำให้คุณพ่อต้องตาย ฉันไม่ได้เป็นคนผลักท่าน คุณแม่พาท่านออกไปเอง หลังจากที่เรื่องจบลง ก็เอาเงินมาแบ่งให้ลูกชาย บอกว่าปฏิบัติกับหลานคนโตอย่างไม่ยุติธรรมมาหลายปี ให้เป็นค่าสินสอดแต่งสะใภ้เข้าบ้าน จำนวนเงินกว่า 30,000 หยวน จำนวนมากขนาดนี้ ไอ้หยา เงิน 30,000 หยวนจะให้ใช้ไปตลอดชีวิต คิดว่ามันเยอะไปไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยืนฟังบทสนทนาที่ดังทะลุออกมาจากรอบแง้มของประตูอยู่ด้านนอก เธอเอามือปิดหูคังคังไว้เพราะไม่อยากให้เขาได้ยิน อันหลงที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะปิดทำไม ? เขาได้ยินหมดแล้ว ทีอย่างนี้เพิ่งจะมาปิดหูเขา ฉันบอกแล้วว่าให้เธอไปข้างนอกอย่าอยู่บ้าน เธอก็ไม่ฟัง”
อาจเพราะได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกก็เป็นได้ จางฉุ้ยจวินจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองค่อนข้างไว เขารีบสาวเท้าออกมา ทันทีที่ประตูเปิดก็พบว่าเป็นจางฉุ้ยเหลียน อันหลงและคังคัง ดวงตาของเขาเบิกกว้างและเอ่ยถามด้วยสีหน้าอึ้งงัน “คุณย่าล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนถลึงตาใส่ “ทำไม จางฉุ้ยจวิน แกมีอนาคตที่ดีแล้วนี่ จะมาหาเรื่องพวกเราอีกทำไม ? ต้องการอะไร ? ”
ในตอนนี้ จางฉุ้ยจวินกำลังพึ่งพาเส้นสายและทุนช่วยเหลือจากจางฉุ้ยเหลียนมาเลี้ยงชีพ ต่อหน้าเธอ เขาก็ขาดความมั่นใจไปโดยปริยาย แตกต่างกับชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องกลับตาลปัตร ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนมีอำนาจต่อจางฉุ้ยจวินยิ่งกว่าเช่าหวา พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ จางฉุ้ยจวินก็ได้แต่เงียบไม่กล้าส่งเสียงออกมา
จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าบ้าน แล้วถามด้วยสีหน้ามึนตึงว่า “แม่จะทำอะไร ? ”
แววตาของเช่าหวาเปลี่ยนไป หล่อนหันไปมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยแววตาไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฉัน คุณย่าของแกฟ้องร้องฉัน แกรู้เรื่องไหม ? อายุฉันก็ปูนนี้แล้วยังต้องไปขึ้นโรงขึ้นศาลอีก จะตายอยู่รอมร่อ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่หน้าห้องรับแขก พร้อมกับเบิกตากว้าง “ตาย ? แม่ยังสูบเลือดสูบเนื้อหนูไม่พอเลย จะตายแล้วหรือคะ ? ไหน ลองตายให้เห็นหน่อยสิ ถ้าแม่ตาย หนูจะดูแลลูกชายและหลานชายของแม่เอง แม่รีบ ๆ ตายเถิดนะ ! ”
ทันทีที่จางฉุ้ยเหลียนพูดเช่นนี้ หล่อนก็พูดอะไรไม่ออก แต่ไม่นานก็ปาดน้ำตาแสดงท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม “แกไม่ได้คาดหวังให้ฉันมีชีวิตสุขสบายอยู่แล้วนี่ พวกแกก็พวกเดียวกัน” หล่อนยืนขึ้นแล้วตะโกนเสียงดัง “ไปเรียกนังแก่หนังเหนียวออกมาเดี๋ยวนี้ ฉันอยากถามว่าฉันไปทำอะไรให้หล่อน”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว “ก็ได้ ค่อยไปเจอกันในศาลแล้วกัน ให้คนทั้งศาลเห็นว่าแม่ปฏิบัติต่อผู้อาวุโสอย่างไร”
เช่าหวาตะลึงงันแล้วรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่พูดเรื่องอยากเจอหน้าออกมาอีก
MANGA DISCUSSION