ตอนที่ 299 ยื่นฟ้อง
แม่เฒ่าจางไปพูดกับเซี่ยจวินและตงลี่หวาเกี่ยวกับลูกชายของตน นี่คือลูกของหล่อน ย่อมจะพึ่งพาได้แค่พวกเขา จะมาพึ่งพาจางฉุ้ยเหลียนได้อย่างไร แล้วการคาดหวังให้เซี่ยจวินและภรรยาดูแลก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
หล่อนอยากกลับบ้าน การกลับไปครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของใครอีก คิดปลอบใจตัวเอง ในเมื่อลูกชายทั้งสองพูดแบบนี้ ก็หมายความว่าพวกเขาคิดถึงแต่ตัวเองจริง ๆ
จางฉุ้ยเหลียนไปขอคำปรึกษาจากฟู่ซินเกี่ยวกับธุรกิจ เธอกำลังตัดสินใจจะเซ้งหรือปิดร้านดี อันหลงไปเปิดร้านขายหนังสือ สุดสัปดาห์นี้ตงลี่หวาพาคังคังไปหากู้เต๋อไห่ จากนั้นก็ไปเข้าเรียนเสริมทันที
แม่เฒ่าจางอิจฉาบ้านหลังนี้มาก ทุกคนในบ้านต่างก็มีเรื่องต้องทำทั้งสิ้น แต่กลับรู้สึกว่าหญิงชราอย่างหล่อนไม่น่าเป็นแบบนี้ ควรจะทำความสะอาด ทำอาหารและเลี้ยงหลานอยู่บ้าน ทว่าตอนนี้สังคมที่หล่อนอยู่มันต่างกัน เพราะพวกเขาล้วนทำงานหาเงินกันคนละแบบ ไม่มีใครทำงานแบบเดียวกัน ดังนั้นครอบครัวนี้จึงไม่มีเรื่องบาดหมางใจต่อกัน
เมื่อทุกคนไปแล้ว แม่เฒ่าจางก็มาเปิดประตูให้จางกว่างโหย๋วและหลิวกุ้ยเฟิน นี่คือช่วงเวลาที่สองแม่ลูกจะได้คุยกันดี ๆ อันที่จริงไม่ใช่จางกว่างโหย๋วหรอกที่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เป็นแม่เฒ่าจางต่างหาก หล่อนไม่อยากให้เซี่ยจวินเห็น ถ้าต้องเผชิญหน้าและให้พวกเขารู้บทสนทนาระหว่างหล่อนกับลูก ก็คงจะดูไม่ให้เกียรติ
จางกว่างโหย๋วเดินเข้ามาในบ้านและเห็นมารดานั่งอยู่ในห้อง เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย ตัวเขายุ่งแต่กับงานมาตลอดชีวิต ไม่เคยให้ผู้เป็นแม่ได้มีโอกาสมาอยู่ในห้องแบบนี้เลย จางฉุ้ยเหลียนสามารถสร้างขึ้นในไม่กี่ปี และทำให้ทุกคนได้อยู่อย่างมีความสุข เขารู้สึกเสียใจที่ทำให้ลูกชายไม่สามารถเข้าเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัยได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตของพวกเขาก็คงจะรุ่งเรืองมากกว่านี้ ไม่ถึงขนาดทำให้ลูกดิ้นรนเข้าเรียนอย่างเหน็ดเหนื่อยแบบนั้น!
เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของเขา หลิวกุ้ยเฟินก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที พวกหล่อนมักทะเลาะกันเพราะเงิน แถมข่าวลือที่แพร่สะพัดเกินจริงข้างนอกก็ดังเข้าหูอย่างต่อเนื่อง ขนาดพี่น้องในครอบครัวฝ่ายแม่ก็ยังพากันวิ่งหน้าตั้งมาโน้มน้าวหล่อน อยู่มาหลายสิบปีแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมาคิดอยากดิ้นรน หญิงชราก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ผ่านอะไรมาก็ตั้งมากมายจนมาถึงจุดนี้ เสแสร้งแกล้งทำก็หลายปี ไม่คุ้มกับที่ต้องทำให้ชื่อเสียงเสื่อมเสียเลย
หล่อนบอกว่าตัวเองไม่สนใจเรื่องชื่อเสียง ของพวกนี้กินไม่ได้ สอดคล้องกับทัศนคติของตัวเองอย่างน่าประหลาด มันเป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พยายามสรรหาเหตุผลมาแย้งแทบตาย
แต่เมื่อโดนญาติทางฝ่ายแม่ด่าฉากใหญ่ จะเรียกว่าโง่ไร้สมองก็ได้ ตอนเด็กไม่เข้าใจอย่างไร โตถึงขนาดนี้แล้วหล่อนก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลนี้อยู่ดี หล่อนถือว่าชื่อเสียงจะดีหรือไม่ดีมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จางกว่างโหย๋วและจางฉุ้ยหลินล่ะ ? พวกผู้ชายต่างก็เป็นคนที่ออกไปทำงานหาเงินข้างนอก สิ่งที่พวกเขาต้องมีในธุรกิจขนาดเล็กก็คือความน่าเชื่อถือ คนรอบข้างจะพูดได้ว่าขนาดแม่ก็ยังไม่รู้จักกตัญญู ของในบ้านของพวกคุณก็ใช่ว่าจะดี ขาดไปเพียงนิด ๆ หน่อย ๆ ถือว่าเรื่องเล็ก แต่ถ้าเผลอไปกินเนื้อหมูที่ติดโรคเข้าคงเรื่องใหญ่เป็นแน่
“บอกว่าเป็นไปไม่ได้หรือ ? ขนาดแม่ของคุณยังไม่รู้จักกตัญญูเลย แล้วคุณจะทำดีกับคนข้างนอกได้อย่างไร เพื่อเงินทำไมจะทำไม่ได้ ? ” คำพูดแบบนี้ ไม่ได้ทำให้ขนแขนลุกซู่แต่อย่างใด
หลิวกุ้ยเฟินตื่นตกใจอย่างมาก แอบกลัวลึก ๆ ว่าตนนั้นจะถ่วงความเจริญของครอบครัว หล่อนจึงทำบัญชีกับสะใภ้ให้จบ ช่วงนี้จึงสร้างเงินได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นงานหลักหรือว่างานย่อย จางฉุ้ยเหลียนก็ทำได้ดีกว่าตัวเอง เพราะเรื่องเหลวไหลพวกนี้ จึงได้ไปล่วงเกินญาติที่มีความสามารถที่สุดคนหนึ่งเข้า ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ จางกว่างโหย๋วจึงรีบปรี่มารับตัวหญิงชรากลับบ้านอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้เขาถูกเพื่อนเข้าใจผิดอยู่หลายครั้ง ก็เลยรีบมารับมารดากลับบ้านโดยเร็ว น้องชายของเขาไม่อยากได้หน้า อยากได้แค่เงินเพียงอย่างเดียว นั้นคือเรื่องที่ชินชามานานหลายปี แต่สำหรับเขาไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาหนักอกอยู่ก็ตาม แต่บางเรื่องก็ยังเข้าใจได้
ช่วงนี้แม่เฒ่าจางมีเรื่องให้คิดอยู่ในหัวมากมาย หล่อนรู้ว่าลูกชายคนเล็กพึ่งพาไม่ได้ เมื่อเห็นลูกชายคนโตมาถึงที่นี่ หล่อนก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
“แม่ครับ เราไม่อยากได้เงินของแม่นะครับ หลายปีที่ผ่านมา เราเคยเรียกร้องเงินจากแม่บ้างไหม ? ครอบครัวผมลำบาก แต่เราก็ออกไปหาเงินข้างนอก ไม่ได้เรียกร้องอะไรเหมือนน้องรองเลย ก็เพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะโกรธ เลยไม่มีเงินบำนาญยามแก่เฒ่าแบบนี้” จางกว่างโหย๋วตาแดงก่ำยามพ่นคำพูดเหล่านี้ออกมา
แม่เฒ่าจางปาดน้ำตา และพยักหน้า “พวกลูกเป็นคนดีมาก แม่รู้ แม่รู้แล้ว!”
จางกว่างโหย๋วพูดต่อ “เงินก้อนนี้ เป็นเงินที่พ่อทุ่มเทแรงกายแรงใจหามา ท่านอยากเก็บไว้ให้ลูกชายคนรอง แต่ดูน้องรองสิ ยังอยากให้แม่โดนรถชนตายไปพร้อมกับพ่อ เพื่อจะได้ประหยัดค่าทำศพได้อีกหลายหยวน”
หลิวกุ้ยเฟินโกรธขึ้นมาทันใด จากนั้นก็โพล่งออกไป “คุณแม่ ตอนที่คุณแม่อยู่โรงพยาบาล หนูก็พยายามปรนนิบัติรับใช้อย่างเต็มที่แล้วนะ บ้านน้องรองต่างหากที่บังคับขู่เข็ญ คุณแม่ก็ลำเอียงเชื่อแต่ลูกชายคนรอง เงินก็ให้พวกเขา ได้ เรายอมรับ นั่นเป็นเงินของหลานคนโต นั่นเป็นเรื่องที่พ่อได้คุยไว้ก่อนตาย แต่แม่ก็นอนโรงพยาบาลตั้งหลายวัน พวกเขายังมีเงินไม่ขัดสน หมายความว่าอย่างไร ? ”
หล่อนไม่กล้าพูดเรื่องที่ตัวเองก็ทรมานแม่สามี ถึงแม้ไม่เคยลงไม้ลงมือเหมือนกับเช่าหวา แต่ก็ด่ากราดอย่างไม่มีเกรงใจ หล่อนไม่กล้าให้จางกว่างโหย๋วรู้ แต่ทำไมจางฉุ้ยเหลียนถึงได้มารับตัวของหญิงชราไป ครอบครัวเธอมีคุณธรรมจริง ๆ
ดังนั้น จึงมีคนวิ่งเข้ามาหาจางกว่างโหย๋วมากมาย จนกระทั่งมีคนไปด่าจางกว่างโหย๋ว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจางกว่างโหย๋วต้องมารับหญิงชรากลับบ้าน
“เหตุผลของผมน่ะ เห็นว่าแม่ต้องเอาเงินก้อนนี้กลับมาเก็บไว้กับตัว ห้ามให้น้องสะใภ้รองถือไว้เด็ดขาด จากนั้นถ้าน้องรองมีเรื่องอะไร แม่ก็ค่อยเข้าไปช่วย ไม่อย่างนั้น สะใภ้รองต้องไปพึ่งพาฉุ้ยเหลียน นี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ ฉุ้ยเหลียนต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับแม่สามี นอกจากนี้ก็ยังมีสองสามีภรรยาเซี่ย ยากไม่ยาก แม่เองก็น่าจะเห็นแล้ว” จางกว่างโหย๋วพูดจริง แม่เฒ่าจางพยักหน้าคล้อยตาม
แรกเริ่มแม่เฒ่าจางรู้สึกว่าสองสามีภรรยาเซี่ยไม่เลวเลยทีเดียว แม่สามีของฉุ้ยเหลียนหย่าร้างกันไม่ใช่เรื่องดี ต่อมาไม่รู้ว่าทำไม อันหลงถึงได้ดีขึ้นมากขนาดนี้ แต่ละวันของอันหลงจึงผ่านไปอย่างมีความสุข เมื่อสภาพจิตใจดีขึ้นก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับครอบครัวใหญ่นี้
เข้าไปมีส่วนร่วมก็มากพออยู่แล้ว ต่อจากนั้นหญิงชราก็ค่อย ๆ ทำความเข้าใจจางฉุ้ยเหลียนอย่างช้า ๆ
คนภายนอกมักมองว่าจางฉุ้ยเหลียนเหมือนคนสมัยใหม่ ผู้ชายเป็นทหารออกไปปฏิบัติหน้าที่อย่างมีเกียรติ ส่วนเธอก็ทำธุรกิจสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ แม่สามีกลับไม่ได้พูดคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงห่างเหิน พ่อแม่บุญธรรมของเธอมีเงิน ช่วยเลี้ยงลูกได้ ฝั่งนั้นก็ยังมีเพื่อนที่มีความสามารถอีกมากมายที่มีชีวิตที่ดี
แต่ในความเป็นจริงเธอเป็นภรรยานายทหาร และไม่เจอกับสามีมานานนับปีแล้ว เธอต้องวิ่งวุ่นคนเดียวทั้งเรื่องนอกบ้านและในบ้าน ข้างบนก็ผู้อาวุโสข้างล่างก็เด็ก ต้องจัดการทุกสิ่งอย่าง อยู่ในเมืองหาเงินคนเดียว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตรากตรำทำงานหนักขนาดนี้เลยก็ได้นี่ พ่อแม่สามีหย่าร้างกันและแม่สามีก็ย้ายมาอยู่กับเธอในบ้าน เสี่ยวชิวไปเรียน เธอต้องคอยช่วยสนับสนุน จะไม่เห็นเธอเป็นญาติสนิทได้อย่างไร ? พ่อแม่บุญธรรมก็เลี้ยงดูลูกของเธออย่างดี แต่ผู้อาวุโสทั้งสองก็อายุมากแล้ว คงอยากให้เธอมาดูแลปรนนิบัติอยู่ไม่น้อย เพื่อนก็เยอะ เรื่องก็แยะ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเธอต้องสนใจทั้งเงินและคน
แต่ก็เข้าใจ บางครั้งคนเราก็ไม่เข้าใจหรอก มักจะคิดตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมชีวิตของคนอื่นถึงดีมากมายขนาดนั้น ต้องมีรสนิยม ต้องคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด แต่วันเวลาที่ต้องเจอกลับเหนื่อยเสียยิ่งกว่าเหนื่อย เรื่องมากมายต่าง ๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ สารพัดอย่าง
“แล้วจะให้ทำอย่างไร ? นิสัยอย่างสะใภ้รอง ก็ใช่ว่าพวกเธอจะไม่รู้นี่” หญิงชราครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ทอดถอนใจออกมา สองสามีภรรยาจางกว่างโหย๋วมองหน้ากันแล้วถอนใจ
“เจ้ารองไม่มีความหวังอะไรหรอก ตอนนี้เขาเองก็มีอนาคตและย้ายออกไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแล้ว” หลังจากที่เกิดเรื่อง จางกว่างฝูพยายามไม่ปรากฏตัวให้พี่ชายเห็น ดังนั้นจึงไม่กลับบ้าน เช่าหวาเลยไม่สามารถครอบครองเงินก้อนนั้นได้
จางกว่างโหย๋วมาหาจางกว่างฝูที่เข้าใจดีว่าตัวเองไม่มีความสามารถแต่โชคดีที่มีงานและหลักประกัน เงินก้อนนั้นเป็นเงินที่เก็บไว้ให้กับจางฉุ้ยจวิน ซึ่งไม่อยากเอาออกมาใช้ อีกทั้งก็ไม่ใช่เจ้าของบ้านอีกด้วย ไม่อย่างนั้นลูกชายก็คงจะตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้ว
จางกว่างฝูไม่มีความหวัง จางกว่างโหย๋วได้เตรียมการไว้ในใจแล้ว เห็นอีกฝ่ายทุ่มแรงกายแรงใจ ถือว่าได้รับรางวัลเกินความคาดหมาย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เข้ามาหาหญิงชราก็หมายความว่าจะต้องฟ้องร้องเอาเงินคืนด้วยกระบวนการทางกฎหมาย ตัดสินกันไปเลยว่าเท่าไหร่ ถ้าเขาจะไม่ได้เลยแม้แต่ส่วนเดียวก็จะยอมรับ แต่โชคดีว่าคนที่ไม่เอาไหนแบบพวกเขาก็สามารถทำให้คนภายนอกรู้ความจริง
ทันทีที่หญิงชราได้ยินเช่นนั้น ย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน คนรอบข้างไม่พูดก็เพราะเห็นแก่หน้าจางฉุ้ยเหลียน จึงไม่อาจทำเรื่องเลวทรามขนาดนั้นได้ จางกว่างโหย๋วกัดฟันกรอดและไปขอคำปรึกษาจากจางฉุ้ยเหลียน เพราะคิดว่ายิ่งลงแรงเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้ผลมากขึ้น นึกไม่ถึงว่าจางฉุ้ยเหลียนจะเฉยเมย และยังพูดว่า “นี่คือเรื่องของรุ่นก่อน หนูมันรุ่นหลัง คงจะควบคุมไม่ได้หรอก”
ได้ยินขนาดนี้แล้วจะยังพูดอะไรได้อีก ? จางกว่างโหย๋วตำหนิเช่าหวามาโดยตลอด ถึงไม่ผิดก็ตำหนิแต่เช่าหวา
“อะไร ? ” เช่าหวาได้รับหมายศาลจากบุรุษไปรษณีย์ เมื่อคลี่ออกและเห็นก็ถึงกับโง่ไปในทันที
ยิงเจี๋ยที่นั่งกินแตงโมอยู่ในห้องนอน ได้ยินเสียงดังโวยวายจากบ้านข้าง ๆ จึงยกเท้าไปเตะจางฉุ้ยจวิน และพุดด้วยน้ำเสียงขี้เกียจ “ไป ไปดูแม่ของนายว่าเกิดอะไรขึ้น”
ยังไม่ทันรอให้จางฉุ้นจวินจอมขี้เกียจลุกขึ้น ก็ได้ยินเสียงเช่าหวาผลักประตูและแทรกตัวเข้ามาแล้ว ยิงเจี๋ยขมวดคิ้วและกำลังจะอ้าปากด่า หางตากลับเหลือบไปเห็นหมายศาลนั้น สีหน้าของหล่อนก็ซีดเผือดทันที “ลูก นี่มันอะไรกัน นังแก่หนังเหนียวคนนั้นฟ้องเรา เรียกร้องจะเอาเงินก้อนนั้นคืน อะไรกัน ? ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นการออกหน้าของจางกว่างโหย๋ว แต่ชื่อคนที่ฟ้องเช่าหวากลับเป็นแม่เฒ่าจาง เหตุผลนั้นง่ายมากก็คือคนเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า ย่อมได้ครอบครองมรดกของคุณปู่โดยถูกต้องตามกฎหมาย
“ทำไมถึงทำแบบนี้ ? เงินก้อนนี้เดิมทีเป็นของคุณปู่ที่เก็บไว้ให้ผม เป็นเรื่องที่คุยกับแกไปก่อนหน้านั้นแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงได้มาร้องขอเงินก้อนนั้นจากเรา ? ” จางฉุ้ยจวินเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาโกรธตะโกนใส่แม่เสียงดังราวกับฟ้าร้อง
ยิงเจี๋ยหน้าชาทันใด จากนั้นก็ถามเช่าหวา “ยังไม่โทรศัพท์หาพี่สาวของฉันอีก หล่อนแสดงความกตัญญูด้วยการรับคุณย่าไปดูแล เรื่องนี้เป็นความคิดของหล่อนหรือเปล่า ? ”
MANGA DISCUSSION