ตอนที่ 294 ทรมาน
จางฉุ้ยเหลียนไม่อยากเข้าไปยุ่งเลยจริง ๆ เรื่องนี้น่าอับอายและน่าโมโหมาก คนเราจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอเชียวหรือ นี่มันต้มตุ๋นกันชัด ๆ
ที่เฉินเฉี่ยวหยิงมาหาจางฉุ้ยเหลียนก็เพราะว่าเธอมีสิทธิ์พูดต่อหน้าเช่าหวา แต่สิทธิ์ในการพูดนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อมีเงินเท่านั้น ปกติแล้วเธอก็ไม่ได้มีตัวตนหรอก จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว ไว้ฉันจะลองโน้มน้าวให้นะคะ” แต่ไม่ได้บอกว่าจะตามเฉินเฉี่ยวหยิงกลับบ้านตอนไหน
เมื่อเห็นเฉินเฉี่ยวหยิงจากไปพร้อมสีหน้าผิดหวัง จางฉุ้ยเหลียนก็รีบเก็บข้าวของกลับบ้านอย่างรวดเร็ว เธอไม่เคยสัมผัสกับเรื่องราวแบบนี้มาก่อนย่อมประหลาดใจไม่น้อย เธอไปขอคำแนะนำจากเซี่ยจวิน เพื่อถามว่าตัวเธอจะต้องทำอย่างไรภายใต้สถานการณ์เลวร้ายนี้
เซี่ยจวินได้ฟังก็ตกตะลึงทันใด เขาเงียบและครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็โพล่งออกไปว่า “นี่ก็คือเหตุผลอย่างหนึ่ง เรื่องราวในอดีตได้ถูกกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าสตรีนางไหนที่อยู่ในวังต่างก็ต้องเสียสละ ปล่อยแม่และเก็บลูกไว้ เพื่อให้เด็กได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทสืบต่อไป แม่คนไหนที่ไม่อยากให้ลูกเป็นรัชทายาท ก็คงมีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
ดูเหมือนว่าเรื่องแบบนี้เซี่ยจวินจะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จางฉุ้ยเหลียนแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา และในเวลาเดียวกันเขาก็คำนวณทุกอย่างไว้ให้จางฉุ้ยเหลียนแล้ว “ลูกบอกว่าคุณปู่ไม่มีเงินเก็บ แต่ทำไมหลังจากโลกนี้ไป เขากลับทิ้งเงินไว้ให้ลูกหลาน อุบัติเหตุรถชนนี้คือความโชคร้าย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นโชคร้ายของเจ้าของรถหรือว่าคนขับกันแน่ ไอ้หยา ถึงอย่างไรรถคันนั้นก็ให้เงินมา 30,000 หยวนเชียวนะ”
จางฉุ้ยเหลียนแอบส่ายหน้าเงียบ ๆ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวมักจะเข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี เซี่ยจวินไม่อยากเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ผลมันจะเป็นเช่นไรก็ปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของคนรุ่นก่อน
จางฉุ้ยเหลียนใช้เหตุผลที่ดีมาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธที่จะไปร่วมงานเลี้ยงของพวกเขา
เช่าหวาเป็นคนแบบไหนน่ะหรือ ? เนื้อที่เข้าปากไปแล้วย่อมไม่คายออก อยากได้เงินแต่ไปสร้างความลำบากให้คนอื่น แต่ผลสุดท้ายก็ไปคุกคามจางกว่างโหย๋วอยู่ดี ถ้าไม่ได้จริง ๆ ตัวเธอเองก็ต้องไปเผชิญหน้ากับพวกเขา ให้จางฉุ้ยจวินเล่าเหตุการณ์ และให้พวกเขานำเงินจำนวน 10,000 ออกมาจ่าย
ครอบครัวจางกว่างโหย๋วยินยอม และไม่สู้รบปรบมือแย่งเงินก้อนนั้นอีก แต่กลับสร้างความลำบากใจให้กับคุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนมาก ดูเหมือนว่าหญิงชราจะตั้งใจทำเรื่องเหล่านั้นเสียด้วย เดิมทีหล่อนตั้งใจถือโอกาสนี้เก็บเงินให้หลานชาย นึกไม่ถึงว่าจะทำให้ลูกชายทั้งสองคนต่อต้านและกลายเป็นศัตรูกันในที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสะใภ้ใหญ่และหลานสะใภ้ที่ต่างไม่พอใจ แม่สามีและสะใภ้กล้าที่จะชี้หน้าด่าคุณย่าอย่างไม่เกรงใจ บอกว่าในเมื่อคุณย่าเอาเงินให้คนอื่น ก็หอบข้าวของย้ายไปอยู่กับคนอื่นสิ
คุณย่าโกรธจนล้มหมอนนอนเสื่อ ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลโดยด่วน หลิวกุ้ยเฟินคิดว่าในเมื่อบ้านจางกว่างฝูได้เงินจากหญิงชราไปตั้งมากมาย ครั้งนี้ก็ให้พวกเขาดูแลหญิงชรากันเอง
เช่าหวาอยากปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป แต่ก็พูดไม่ได้ ทำได้เพียงแค่พูดว่าคุณปู่กับคุณย่าได้ยกทรัพย์สินที่เก็บหอมรอบริบมานานหลายปีชดเชยให้พี่ใหญ่ไปแล้ว จู่ ๆ หญิงชราก็มาล้มหมอนนอนเสื่อเช่นนี้ หล่อนไม่มีปัญญาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้หรอก
สะใภ้ทั้งสองไม่มีความละอายแก่ใจเลยสักนิด ในโรงพยาบาลก็ยังทำกันได้ลงคอ คุณหมอและพยาบาลต่างก็ช่วยพูดโน้มน้าว จางกว่างฝูไม่กล้าสู้หน้าจางกว่างโหย๋ว เขาพยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธโดยอ้างว่าลูกชายไม่เหมาะที่จะมาดูแลแม่ที่ป่วยติดเตียง
หญิงที่ไร้คู่ชีวิตมีแต่ประสบการณ์อันโชกโชน ได้เกิดความบาดหมางกับลูกชาย ล้มหมอนนอนเสื่อในวันนี้ก็แทบไม่มีใครสนใจ หล่อนรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอยู่ในใจ เข้าสู่สภาวะป่วยของโรคที่เลวร้ายที่สุด ระบบปัสสาวะมีปัญหาอั้นไว้ไม่อยู่ ปากก็เริ่มพูดไม่ได้
เพราะไม่มีใครอยากรับไปดูแลที่บ้าน สุดท้ายสะใภ้ทั้งสองก็หันหน้ามาปรึกษาหาทางแก้ไข ซึ่งได้ผลสรุปออกมาว่าแบ่งกันดูแลคนละวัน แบ่งค่ารักษาพยาบาลคนละครึ่ง เช่าหวายอมถอยอย่างสุดกำลัง ส่วนจางกว่างโหย๋วกลับไม่ยอมออกเงิน จึงต้องให้พี่รองมารับหน้าที่ออกเงินในครั้งนี้
ปัญหาอยู่ตรงนี้ คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือคุณย่า ปากพูดไม่ได้ ระบบปัสสาวะก็มีปัญหา ทำให้สะใภ้ที่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่แล้วไม่สบายใจขึ้นไปอีก พวกหล่อนจึงดูแลอย่างไม่ใส่ใจ ทำแบบขอไปที โดยเฉพาะตอนป้อนข้าว เนื่องจากปากเกิดอาการเบี้ยวไม่เข้ารูปและไม่ยอมกินข้าว ทำให้ข้าวหกเรี่ยราดสกปรกไปทั้งตัว
สองสามีภรรยาเซี่ยจวินและตงลี่หวาไปเยี่ยมหญิงชราที่โรงพยาบาล บังเอิญได้ยินคนไข้ตรงระเบียงทางเดินพูดถึงเด็กไม่มีความกตัญญู ทั้งสองคนไม่เชื่อ จึงแอบไปดูและก็เห็นเช่าหวากำลังตบตีแม่สามีอย่างไม่ปรานีอยู่จริง ๆ
หล่อนถือชามโจ๊กใบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังน้ำซุปที่ไหลเยิ้มออกจากมุมปากและหยดลงเสื้อของหญิงชราจนสกปรก หล่อนบีบปากคุณย่าอย่างแรงเพราะความโกรธ โกรธจนต้องด่าออกไปด้วยถ้อยคำสกปรกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ทุกวันนี้กินข้าวก็ยังกินไม่ได้เลย อยู่ไปจะมีประโยชน์อะไร ? ดูแลแม่ จ่ายเงินให้แม่ แค่นี้หนูก็ซวยไปทั้งเจ็ดชาติแปดชาติแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยจวินและตงลี่หวาก็มองหน้ากัน ไม่กล้าเชื่อภาพที่เห็นตรงหน้า ทั้งสองยืนอยู่หน้าประตูอย่างลังเลใจ ไม่รู้ควรจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปข้างในดี หลังจากฟังคำด่าหยาบคายไม่น่าฟังของเช่าหวาจบ เซี่ยจวินก็ทนยืนอยู่หน้าห้องไม่ไหวอีกต่อไป เขาตะโกนเสียงดังว่า “คุณแม่แซ่จางใช่ไหมครับ ? ”
เช่าหวาได้ยินเสียงที่คุ้นหูก็หันขวับไปมองยังทิศทางของประตูทันที สีหน้าเบื่อหน่ายไม่ทันแปรเปลี่ยน กระทั่งได้เห็นเซี่ยจวินยืนอยู่หน้าประตู ส่วนตงลี่หวาก็ชะเง้อหน้าจากด้านหลังของเขา
เมื่อเห็นสามีภรรยาคู่นี้ เช่าหวาก็คลี่ยิ้มอย่างดีใจออกมาทันที การที่ทั้งสองมาเยี่ยมอาวุโสในครั้งนี้ พวกเขาย่อมซื้อของดี ๆ มาเยี่ยมและให้เงินจำนวนหนึ่งก่อนกลับอย่างแน่นอน การได้เจอพวกเขาก็เหมือนกับการได้เจอพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด หล่อนรีบรุดหน้าเข้าไปต้อนรับทันที
“ลมอะไรหอบพวกคุณมาถึงนี่ได้ ? ฟ้าฝนต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ ไอ้หยา เข้ามาก่อนเร็ว ห้องผู้ป่วยห้องนี้รกหน่อยนะ มีแค่มุมแคบ ๆ แบบนี้แหละ” เช่าหวาพาทั้งสองเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเบิกบาน จากนั้นก็หยิบม้านั่ง 2 ตัวจากใต้เตียงคนไข้ให้ คลี่ยิ้มตาหยีอยู่ข้างเตียง และเปิดของที่ทั้งสองนำมาเยี่ยม เทและแกล้งจัดแจง จากนั้นก็หยิบมันใส่ลงถุงสีดำขนาดใหญ่
เซี่ยวจวินทนดูไม่ได้จึงเมินหน้าหนีไปถามหญิงชรา เห็นได้ชัดว่าสมองของหล่อนค่อนข้างเลอะเลือน ได้แต่พยักหน้าอือ ๆ อา ๆ อยู่ราวครึ่งวัน มีคนนอกมาเยี่ยมทั้งทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเซี่ยจวิน เช่าหวาจึงไม่กล้าแสดงพฤติกรรมไม่ดีเหล่านั้นต่อหน้าพวกเขา ตรงกันข้ามกลับทำตัวกตัญญู เดี๋ยวก็เช็ดมุมปาก เดี๋ยวก็พูดให้หล่อนกินข้าว
“ต้องรีบเอาถ้วยนี้ไปล้างนะ ไม่อย่างนั้นเกิดมันแข็งตัวขึ้นมาจะล้างไม่ออก” ตงลี่หวาชี้ไปยังถ้วยสแตนเลสขนาดเล็กที่วางอยู่บนตู้ข้างหัวเตียง ในนั้นยังเห็นโจ๊กที่เหลืออีกเป็นครึ่งถ้วย
เช่าหวาอยากพูดว่าวางไว้แบบนี้แหละ แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าจะต้องทำตัวให้มีคุณธรรมเพียบพร้อมเสียก่อน เพื่อเงิน ให้ทำอะไรก็ต้องทำหมด หล่อนยิ้ม จากนั้นก็ลุกขึ้นและพูดกับทั้งสองคนว่า “ได้สิ พวกคุณดื่มน้ำไปก่อนนะ ฉันขอตัวไปล้างจานก่อน”
ทันทีที่หล่อนเดินพ้นประตูออกไป เซี่ยจวินและตงลี่หวาก็ขยิบตาให้กัน ตงลี่หวาจึงรีบไปยืนดูลาดเลาหน้าประตูทันที ส่วนเซี่ยจวินก็หันมามองหญิงชราและเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผมเห็นที่หล่อนทำกับคุณเมื่อครู่แล้วนะครับ ปกติแล้วหล่อนมักจะโหดร้ายกับคุณแบบนี้เสมอเลยหรือ ? ”
หยดน้ำตาของคุณย่าเอ่อล้นออกมา กระนั้นหล่อนก็ไม่กล้าร้องไห้และเมินหน้าหนีไปทางอื่นโดยไม่พูดอะไร ญาติของเตียงผู้ป่วยข้าง ๆ หงุดหงิดใจจึงโพล่งถามออกไปว่า “พวกคุณเป็นญาติแบบไหนกัน ? หญิงชราผู้นี้น่าสงสารนัก พวกคุณควรสนใจกันหน่อยนะ”
อีกคนก็พูดเสริม “ใช่ คนบ้านนี้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ไม่มีความกตัญญู สะใภ้คนนี้ใช้มือตบปาก ลงไม้ลงมือ สะใภ้อีกคนก็ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายโหดร้าย น่ารังเกียจที่สุด!”
ผู้สูงอายุที่นอนโรงพยาบาลเหมือนกันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา จากนั้นก็พูดกับเซี่ยจวินด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “คุณไปบอกลูกสาวของหล่อนเสียเถิด ลูกสาวไม่มีทางทำกับแม่แบบนี้แน่นอน สะใภ้คนนี้ยังไม่สู้สะใภ้อีกคน หลานสะใภ้ของหล่อนรุนแรงยิ่งกว่านี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเซี่ยจวินก็แดงเถือกด้วยความโกรธ คิดว่าคงจะไม่มีใครมาหยามหน้าเขาได้ตลอดชีวิตนี้ และไม่เคยรู้มาก่อนว่าการยอมรับว่ารู้จักใครสักคนหนึ่งจะกลายเป็นเรื่องน่าอับอายเช่นนี้
“ผมไม่ใช่ญาติแท้ ๆ ของครอบครัวนี้หรอกครับ แต่ก็ถือว่านับเป็นญาติได้” เซี่ยจวินขยี้จมูกเล็กน้อย “ผู้หญิงคนเมื่อครู่มีลูกสาว 1 คน แต่ให้คนอื่นรับเลี้ยงตั้งแต่เด็กแล้ว เราสองคนเป็นพ่อแม่บุญธรรมของเด็กผู้หญิงคนนั้น ตอนนี้เด็กคนนั้นเรียนจบและแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว เราสองตระกูลก็เลยได้กลายเป็นญาติกัน ไปมาหาสู่ค่อนข้างบ่อย”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี หญิงชราเตียงข้าง ๆ ที่เงียบมาตลอดก็โพล่งด่าออกไปว่า “สัตว์เดรัจฉานจริง ๆ เกิดลูกแต่ไม่รู้จักดูแลเลี้ยงดู ผู้เฒ่าผู้แก่ป่วยก็ไม่รู้จักปรนนิบัติรับใช้ให้ดี กลับลงไม้ลงมือทำร้าย คนแบบนี้ควรปล่อยให้รถชนตายให้รู้แล้วรู้รอด!”
อีกคนก็พูดกับเซี่ยจวิน “ได้ยินคุณพูดแบบนี้ ดิฉันรู้สึกว่าคุณเป็นคนดีมาก ลูกสาวคนนี้ของคุณก็เป็นหลานสาวของแม่เฒ่าคนนี้ด้วยสินะ ถ้าหล่อนมีฐานะดี ก็รับคุณย่าไปอยู่ด้วยสิ ไม่อย่างนั้นหล่อนคงถูกสะใภ้ทั้งสองทรมานจนตายเข้าสักวัน ! ”
หญิงวัยกลางคนที่มาดูแลปรนนิบัติแม่สามีเช่นเดียวกันก็อดพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้ “ใช่ ๆ แม่สามีไม่ใช่คนอย่างนั้นหรือ ? ฉันรู้ว่าครอบครัวพวกเขาเป็นยังไง แค่เพียงเพราะหล่อนไม่มีเงิน ลูกชายทั้งสองก็เลยไม่เต็มใจดูแล ไม่อยากออกเงิน สะใภ้คงอยากทรมานหล่อนจนแทบรอไม่ไหวแล้ว”
เซี่ยจวินได้ยินเช่นนั้นก็ตกสู่ความเงียบทันที ตงลี่หวาก็พูดขึ้นว่า “ฉันกำลังสงสัยอยู่เลยว่าเธอไปไหน นั่นมันห้องน้ำไม่ใช่หรือ ? ”
เช่าหวาไม่รู้ว่าข้างในเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง หล่อนจึงเดินยิ้มร่าเข้ามาพลางสะบัดน้ำก่อนจะพูดว่า “อื้ม นั่นคือห้องน้ำ แต่ไม่มีน้ำอุ่น ให้ตายเถิด หนาวจะตายไป”
เซี่ยจวินพยายามอดกลั้นที่จะไม่ลงไม้ลงมือกับผู้หญิงหน้าไม่อายคนนี้ ได้แต่ด่าอยู่ในใจ ไม่ยอมพูดกับหล่อนสักคำ
ตงลี่หวาเองก็ไม่อยากอยู่ต่อ ทันทีที่ได้ยินคนรอบข้างพูดเช่นนั้นก็รับรู้ได้ถึงความดูถูกเหยียดหยามจนกระทั่งสายตาเมินเฉยจากคนรอบข้างจนไม่อาจอยู่ต่อได้ หล่อนไม่เข้าใจว่าทำไมเช่าหวาถึงทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนภายนอกได้อย่างไร้ยางอายที่สุด
แต่เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว เรื่องที่หล่อนทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติของจางฉุ้ยเหลียนที่ถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับหล่อนมาก ตงลี่หวาได้แต่ปลอบตัวเองอยู่ในใจ โชคดีที่ตอนนั้นจางฉุ้ยเหลียนเลือกวิ่งมาหาพวกเขา ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจบอกได้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ต้องทุกข์ทรมานจนกลายเป็นคนแบบไหน
เซี่ยจวินนั่งเงียบอยู่ราว 2-3 นาที จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมจากไป เช่าหวาไม่มีทีท่าจะรั้งแต่อย่างใด หล่อนจ้องเขม็งไปทางเขา อยากให้เขามอบเงินแก่หล่อน
แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะเดินกลับไปโดยไม่ทิ้งเงินสักหมาวไว้ให้ เช่าหวาโกรธจนด่ากราดออกมา โดยไม่สนสายตาคนอื่น ไม่สนใจพยาบาลที่เดินเข้ามาเตือนและห้ามปราม
ในระหว่างทางกลับบ้าน สมองของเซี่ยจวินก็คิดวนเวียนแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ แววตาของหญิงชราได้สะท้อนความเว้าวอนออกมาอย่างชัดเจน เขาปรนนิบัติรับใช้หล่อนไม่ได้ และก็ไม่มีสิทธิ์มาส่งในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตด้วย
เมื่อหลายปีก่อน พ่อแม่ของเขาก็เข้าโรงพยาบาลและอยู่ในสภาพแบบนี้
ตงลี่หวาดึงมือของเซี่ยจวินมากุมไว้พร้อมน้ำตาไหลริน “ไม่เป็นไรนะ พ่อกับแม่ของเรามีความสุขกว่าหล่อนแน่นอน ฉันคอยปฏิบัติอย่างดีต่อหน้าพวกท่านก็เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อคุณ คุณอย่ากังวลไปเลย นี่แหละชีวิตคน ! ”
“บาปกรรม นี่มันบาปกรรมจริง ๆ หล่อนไม่กลัวว่าบาปกรรมจะตามทันบ้างหรือ ไม่กลัวว่าเดินออกไปแล้วจะถูกรถชนโดยไม่ทันตั้งตัวบ้างหรือไง!” เซี่ยจวินกัดฟันด้วยความโกรธ เขายื่นมือออกไปเรียกรถและตรงไปยังที่ทำงานของจางกว่างฝูทันที
MANGA DISCUSSION