ตอนที่ 293 30000 หยวน
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าได้สร้างความเป็นเดือดเป็นร้อนต่อใครบ้าง จึงถือโอกาสนี้ประกาศ ‘ความกตัญญู’ ของตน คิดไปคิดมาก็คงมีแต่ฟู่ซินเท่านั้นที่เข้าใจและทำเรื่องแบบนี้ได้ ดูเหมือนเขาจะมีความคิดเดียวกันไม่น้อย
แต่เธอก็ขี้เกียจอธิบาย เช่าหวาจึงมาถามจางฉุ้ยเหลียนที่ได้แต่กลอกตาอย่างเอือมระอา “แม่คิดว่าหนูเป็นใครล่ะ ? แหวนกับต่างหูนั้นดูไม่คู่ควรกับเด็กคนนั้นหรือไง จะชวนทะเลาะกันไปทุกที่เลยหรือ ? ”
เช่าหวาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน หล่อนมองไปทางใบหน้าที่คับแค้นใจของอันหลงและก็รู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นต้องมีชีวิตที่ยากลำบากแค่ไหน เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้หล่อนจึงรู้สึกสะใจอย่างมาก มีวัฒนธรรมแล้วยังไงล่ะ ? มีเงินก็ไม่เห็นจะเข้าท่า ถ้าต้องถูกสามีเฉดหัวออกจากบ้านในตอนมีอายุมาก สุดท้ายก็เป็นไข่มุกที่เหลืองไร้ค่าไม่ใช่หรือ ?
ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่มีความสามารถ ไม่มีวัฒนธรรม ขี้เกียจตัวเป็นขน ตะกละตะกลามโลภมาก ถึงแม้ไม่มีอะไรดีเลยก็ตาม แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจว่าดีกว่าอันหลง ก็คือการครอบครองหัวใจของผู้ชายไว้ในอุ้งมือตน
เมื่อคิดได้แบบนี้ เช่าหวาก็รู้สึกพอใจขึ้นมาทันที จึงไม่ไปวุ่นวายกับจางฉุ้ยเหลียนให้เกิดความแคลงใจอีก หล่อนเดินเข้าไปทักทายบรรดาแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีในงานเลี้ยงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จางฉุ้ยเหลียนไม่ชอบเดินเที่ยวในงานเลี้ยงอะไรทำนองนั้น เมื่อเห็นเวลาอันสมควรแล้ว เธอก็ใช้คังคังมาเป็นข้ออ้างว่าเขาง่วง รวมทั้งใช้ผู้อาวุโสมาเป็นข้ออ้างว่าพวกท่านก็เหนื่อยมากแล้ว จึงพาทุกคนออกจากงาน
จางกว่างฝูมาส่งทุกคนหน้าประตูทางเข้าด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ถึงแม้ไม่ชอบลูกสะใภ้ที่ท้องก่อนแต่ง แต่วันนี้ลูกชายได้เลือกแต่งงานกับหล่อน จัดงานใหญ่โตมโหฬารย่อมทำให้เขาดีใจมากทีเดียว
เขายืนอยู่หน้ารถของจางฉุ้ยเหลียน และพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดว่า “ลูกชายก็แต่งงานแล้ว ฉันเองก็หมดห่วง” มุมปากของจางฉุ้ยเหลียนกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากกลับชาติมาเกิดใหม่ มุมมองของเธอก็เปลี่ยนไป
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงมีความปลาบปลื้มใจไม่น้อย ใช่ หลังจากที่จางฉุ้ยจวินแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ชีวิตของเขาน่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น ราวกับว่าการแต่งงานเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่งงานแล้วถือว่าเขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว ไม่อยากให้เขาทำตัวเกเรแม้แต่ตัวเองก็ยังหาเลี้ยงไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจะเอาปัญญาที่ไหนไปเลี้ยงดูครอบครัว ?
ชาติที่แล้ว เธอไม่เข้าใจชายและหญิงโสดเหล่านั้นสักนิด ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งชีวิตของพวกเขาถึงหาคนรักหรือคู่ชีวิตมาแต่งงานกันไม่ได้ ? แต่เธอก็เพิ่งเข้าใจว่าบางเรื่องหากคิดมากเท่าใด การแต่งงานก็ยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้นเท่านั้น
ยกตัวเองอย่าง เช่าหวาและจางกว่างฝู ลูกของพวกเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่และแต่งงานสร้างครอบครัวหมดแล้ว ทุกคนผ่านอะไรมาตั้งมากมาย มีบ้านหรือไม่มีบ้านก็เหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรก็คงจะไปนอนข้างถนนไม่ได้
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอก็คงต้องคิดหน่อยแหละ ก่อนอื่นต้องจัดการเรื่องปากท้องที่หลับนอนให้ได้ ถึงจะเบี่ยงเป้าหมายไปทางเสี่ยวคัง !เลี้ยงดูตัวเองให้ได้ก่อน หลังจากเข้าใจครอบครัวอย่างลึกซึ้งแล้ว ถึงจะคิดเรื่องแต่งงาน เพราะการผนวกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของทั้งสองครอบครัว แน่นอนว่าจะต้องเข้าใจคน ๆ นั้นอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองต้องมีรายได้ที่มั่นคงถึงจะคิดเรื่องมีลูกและการเลี้ยงดูลูก จางฉุ้ยจวินจะเอาอะไรไปดูแลลูก ?
แต่ก็นั่นแหละ มันก็ไม่ได้เด็ดขาดเสียทีเดียว คังคังเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงให้กินนมเหมือนน้ำเปล่า เมื่อคลอดลูกคนต่อไป ผู้เป็นแม่จึงไม่มีน้ำนมมากพอให้ลูกคนต่อไป ดังนั้นเด็กจึงถูกเลี้ยงด้วยวิธีดื่มน้ำซาวข้าวจนเติบใหญ่ แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับปฏิบัติตามหลักการเลี้ยงดูของคนรวย อาการการกิน เสื้อผ้าหน้าผมที่ไม่ฟุ่มเฟือยแต่ก็ไม่เคยต้องประหยัด การศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาที่เด็ดขาดไม่มีการอ่อนข้อให้กัน
“จริงสิ พี่ใหญ่ของเธอพาลูกไปเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลในเมืองแล้ว เดือนละ 100 หยวน ถึงจะมีอาหารให้ถึง 2 มื้อแต่ก็ยังคิดว่าแพงมากอยู่ดี! ” จางกว่างฝูแสดงสีหน้าไม่สู้ดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เมื่อคิดถึงเงินเดือนจำนวน 300 หยวนที่ตนได้รับในทุกเดือนก็รู้สึกเข้าเนื้อแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาและพูดว่า “นั้นคือเรื่องที่ผู้ใหญ่จะต้องแบกรับ จ่ายเงินเพื่อการศึกษาของเด็กอย่างไรก็ไม่สูญเปล่า ! ”
จางกว่างฝูถอนใจออกมา นี่แหละหนอจึงเรียกว่ารสชาติของคนรวยที่ไม่รู้จะกลัดกลุ้มใจไปทำไม เธอเคยรู้สึกมาก่อน คังคังเป็นเด็กปีศาจที่ใช้เงินเกินเดือนละ 1000 หยวนต่อเดือน แค่นมมอลต์แล้วก็น้ำผลไม้ที่เคยขาดไม่ได้มาก่อนเหล่านั้น คิดรวมดูสิว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ? ขนมของเด็ก น้ำอัดลมที่ต้องซื้อมาตุนไว้ในบ้านไม่เคยขาด ต่อให้ข้างบ้านจะรวยมากแค่ไหน อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีอาหารตุนสำหรับกินตอนไหนก็ได้แบบนี้หรอก
จางกว่างฝูคิดว่าเด็กคนนี้เป็นหลานชายที่ดีที่สุดของเขา จึงคิดที่จะเก็บเสื้อผ้าไว้ให้คังคัง เก็บของเล่น คังคังเป็นเด็กดีมาก ส่งผลให้เขามีเงินเก็บมากขึ้นตลอด 1 ปี
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นจางกว่างฝูจับประตูรถพร้อมก้มหน้าครุ่นคิดบางอย่าง โดยไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร เธอก็ขำและถามขึ้นมา “พ่อ? พ่อยังมีเรื่องอะไรอีกไหม ? ถ้าไม่มีหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ !” เมื่อพูดจบเธอก็หันไปพูดกับคังคัง “ไหน บอกลาคุณตาหน่อยสิ!”
คังคังกล่าวลาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “ลาก่อนครับคุณตา!”
เมื่อตงลี่หวาเห็นเหตุการณ์นี้ก็คลี่ยิ้ม “เด็กคงเล่นจนง่วงแล้วล่ะ ปกติเวลานี้เขาคงหลับไปแล้ว”
จางกว่างฝูพยักหน้าเข้าใจ เขารู้ว่าคังคังเป็นเด็กที่ได้รับการเอาใจจนเหลิงกว่าเด็กคนอื่น “อะไรกัน งั้นพวกเธอกลับกันเถอะ” แต่ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอื้อมมือไปเปิดประตูและพูดกับจางฉุ้ยเหลียนด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “เมื่อครู่นี้ แม่ของแกโกหกว่ามีคนแพร่ข่าวลือไร้สาระออกไปแล้วใช่ไหม ? แกไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอกนะ แม่แกเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว แกไม่รู้หรือ ต่อให้ต้องวิ่งไปคุยโวถึงสถานีรถไฟหล่อนก็ยอม เรื่องนี้น่ะ ฉันกลัวว่าคุณลุงของแกจะเป็นคนพูดเสียเองน่ะสิ!”
จางฉุ้ยเหลียนถึงกับผงะ “คุณลุงของหนู ? ”
จางกว่างฝูยิ้มออกมาด้วยสีหน้าลำพองใจ “ก็ใช่น่ะสิ บางเรื่องแกก็ไม่รู้หรอก ตอนแรกที่แกยอมควักเงินรีโนเวทบ้านใหม่ เขาพูดกับฉันแล้วว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้หนักหนาถึงกับต้องสร้างใหม่ เขารู้ว่าฉันไม่มีเงินพอจะทำได้ แค่คำพูดไร้สาระไม่มีมูลเท่านั้น แต่ใครจะไปรู้ว่าแกดันเก็บกวาดและรีโนเวทบ้านใหม่ทั้งหมด เขาและลูกสะใภ้จึงวุ่นวายกันอยู่หลายวัน”
เฉินเฉี่ยวหยิงวุ่นวายกันอยู่หลายวันงั้นหรือ ? เพราะตกแต่งบ้านใหม่ด้วยเหมือนกันหรือเปล่า ? พวกหล่อนเองก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองนี่นา
“สองวันก่อนที่แกจะมาทุบบ้านและรีโนเวทใหม่ ฉันกลับบ้านพอดี และก็เห็นสีหน้าของลุงและป้าของแกไม่ค่อยสู้ดีนัก ราวกับว่าเราใช้เงินของคุณย่าอย่างนั้นแหละ แม่แกเป็นคนพูดเอง ฮ่าฮ่า แม่แกก็เลยไปต้อนรับขับสู้แกอย่างดีไงล่ะ นึกไม่ถึงว่าครอบครัวของเขาจะใจแคบพูดออกไปแบบนี้” จางกว่างฝูแสดงท่าทางเหมือนกับนิทานเรื่องหนู 3 ตัวแอบขโมยน้ำมันงา ท่าทางที่ดูสมหวังดั่งปรารถนานั้นได้สร้างความลำบากใจให้คนอื่นไม่น้อย
“จะพูดก็พูดเถอะ พวกเขาไม่มีลูกสาว ลูก ๆ ของบ้านเขาก็ไปมีอนาคตกันหมดแล้ว แกเองก็ต้องมีอนาคตเช่นกัน!” หลังจากที่จางกว่างฝูโพล่งคำพูดเหล่านี้ออกมา เขาก็ลดมือลงและปล่อยให้รถเคลื่อนผ่านไป เขามองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาระคนประหลาดใจ จนกระทั่งเงาได้หายลับไปจากสายตา เขามักจะได้รับความสุขจากคนประเภทนี้ แย่งกันพูดไปมาเหมือนกับความรู้สึกตอนถามลูกสาวในขณะที่ขับรถอย่างไรอย่างนั้น
“ไอ้หยา ไม่ต้องไปสนใจหรอกว่ามันถึงตอนไหน ลูกๆ ต่างก็มีอนาคตที่ดีทั้งนั้น พ่อกับแม่ก็จะได้เชิดหน้าชูตากับเขาได้บ้าง” ตงลี่หวาอุ้มคังคังที่กำลังหลับสนิทในอ้อมกอด จากนั้นก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า “เธอเองก็อย่าบ่นพวกเขานักเลย ไม่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือมันก็เหมือนกัน เธอควบคุมเรื่องเหล่านี้ได้หรือ ? ”
อันหลงก้มหน้าโดยไม่พูดอะไรและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งใกล้จะถึงบ้านจึงได้โพล่งถามออกไปอย่างฉับพลันว่า “น้องชายของเธออายุเท่าเสี่ยวชิวใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนชำเลืองตามองไปทางอันหลงผ่านกระจกหลัง จากนั้นพูดขึ้นเบา ๆ “ค่ะ ใช่ แต่เขาเทียบอะไรกับเสี่ยวชิวไม่ได้ เสี่ยวชิวเรียนตามเกณฑ์มาโดยตลอด วัฒนธรรมของพวกเขาต่างกัน วัยวุฒิในเรื่องการแต่งงานก็ยิ่งแล้วใหญ่”
ช่วงนี้เธอสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลจากตัวของอันหลงได้ลาง ๆ มักจะชอบพูดเรื่องลูกสาวบ้านไหนแต่งงานอยู่บ่อยครั้ง หรือเป็นเพราะว่าตัวเองหย่าร้างไปแล้ว ก็เลยเป็นกังวลว่ากู้จื้อชิวจะไม่ได้แต่งงานเพราะเรื่องนี้ ?
ไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ใดในโลกที่สามารถสร้างความประหลาดใจแก่พวกเราได้ โดยส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยในชีวิต ผู้ที่มีอำนาจแม้ตระหนักได้ว่าทำให้คนอื่นโกรธแค้น แต่ถ้ากลับมาคิดอย่างละเอียดแล้วครอบครัวไหนก็ไม่ได้อยากมีชีวิตแบบนี้
คนที่กู้จื้อชิวต้องการนั้นต้องเป็นคนคู่ควรที่สุด ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงอย่างหล่อนที่มีทรัพย์สมบัติมากมายที่พ่อแม่ตั้งใจเก็บไว้ให้ หายากมากทีเดียว หล่อนมีหน้าตางดงาม มีการศึกษา มีความรู้ ในอนาคตไม่มีทางลำบากเรื่องหางานอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้จางฉุ้ยเหลียนจะรู้สึกว่าช่วงนี้บ้านของหล่อนไม่มีเงื่อนไขส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่สามารถต่อปริญญาโทในประเทศได้ มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากทีเดียว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าอันหลงจะรีบเร่งขนาดนี้ มีความรู้สึกเหมือนใจจดใจจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเกินไป
ตอนนี้เข้าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ถึงเวลาที่จะปลูกต้นกล้าบนยอดเขา ร้านหนังสือของอันหลงวุ่นวายมากจนต้องให้เธอมาช่วยดูแล จางฉุ้ยเหลียนขับรถไปโน้นมานี่ จากนั้นก็ไปรับต้นกล้าที่จองไว้และขอร้องให้เพื่อนร่วมชาติในกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ มาช่วยกันปลูกต้นกล้า
ถึงแม้ว่าชนเผ่าต่าง ๆ จะไม่ค่อยขึ้นมาปลูกต้นกล้าบนภูเขาสักเท่าไร แต่พวกเขาก็มีคุณสมบัติที่ดีนั่นก็คือความมีน้ำใจและความซื่อสัตย์ ผืนดินส่วนใหญ่ของประเทศจีนต่างก็เป็นของประชาชนทั้งสิ้น
ไม่ว่าที่ไหน ตราบใดที่คนต่างชาติมีจำนวนค่อนข้างน้อย ประชากรในท้องถิ่นก็จะมีความซื่อสัตย์ต่อกัน บ้านเมืองที่มีแต่ความสงบสุข แม้แต่ของที่ตกหล่นอยู่ตามท้องถนนก็ไม่มีใครเก็บมาเป็นของตนนั้นมีอยู่จริงไม่ใช่เรื่องราวในเทพนิยาย
เพียงแต่ว่าบางพื้นที่ก็ยังมีการเพิ่มขึ้นของจำนวนชาวต่างชาติ ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมในการดำเนินชีวิตเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เต็มไปด้วยความกดดัน บางครั้งก็พบเจอกับชาวต่างชาติที่ไม่มีความซื่อสัตย์ มีการป้องกันตนเองตามสัญชาตญาณ ไม่ก็มีความอคติต่อชาวต่างชาติ ส่งผลให้เกิดปัญหาทางพื้นที่มากมาย ต่อมาได้มีการพัฒนาระบบการสื่อสารให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยภาพรวมแล้วผู้คนมักจะถูกหลอกมากขึ้นไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่น คนทิศตะวันออกเฉียงเหนือมักจะรู้สึกว่าฝั่งนั้นเป็นกองบัญชาการด้านมืด ถ้าพูดถึงเขตปกครองตนเองซินเจียงยิ่งไม่คิดถึงลูกเกด ให้คิดถึงเรื่องการแบ่งผลประโยชน์และหัวขโมยเป็นหลัก นอกจากนี้ก็ยังมีชาวเหอหนานที่มักจะวิ่งไปขโมยฝาท่อระบายน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ
เช่นเดียวกับวันนี้ ช่วงกลางยุค 90 เมื่อหยิบยกถึงคนเจ้อเจียงขึ้นมาพูด อันหลงและตงลี่หวาคิดว่าคนเจ้อเจียงทุกคนต้องมีความเชี่ยวชาญในการซ่อมรองเท้า เพราะพวกหล่อนเคยเห็นชีวิตของชาวต่างถิ่นที่มาอยู่ในเมือง Q บ่อยครั้ง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วที่รับซ่อมรองเท้าก็มีแต่คนเจ้อเจียงเท่านั้น
สามารถอดทนต่อความยากลำบาก ธุรกิจเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครสนใจได้กลายเป็นตัวสร้างเงินทำรายได้จนร่ำรวย นี่เป็นความประทับใจแรกที่คนเจ้อเจียงได้สร้างไว้แก่เธอเมื่อชาติที่แล้ว พอได้ยินผู้อาวุโสทั้งสองพูดถึงความเป็นอยู่ที่ยากลำบากของชาวต่างชาติ จางฉุ้ยเหลียนก็ส่ายหน้าพลางหัวเราะออกมาเล็กน้อย “นี่คือจุดลำบากที่ทุกคนมองเห็น แต่ไม่มีใครเคยมองถึงประโยชน์ที่แท้จริงของสมองพวกเขา”
แต่นักธุรกิจที่ฉลาดที่สุดในโลกนี้ก็ยังคิดหาวิธีทำให้ตระกูลจางมั่งคั่งร่ำรวยไม่ได้
หลังจากงานแต่งงานจบลงได้ไม่กี่วัน เช่าหวาก็โทรศัพท์มาร้องห่มร้องไห้บอกว่าคุณปู่ของจางฉุ้ยเหลียนได้จากโลกนี้ไปแล้วเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้คู่กรณีกำลังคุยเรื่องชดใช้ค่าเสียหายอยู่
จางฉุ้ยเหลียนปล่อยโทรศัพท์จนหลุดมือด้วยจิตใจว่างเปล่า เธอตกอยู่ในอาการเหม่อลอยและกระวนกระวายใจ เธอรู้อยู่แล้วว่าคุณปู่ต้องเสียชีวิตในปีนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเขาได้ เนื่องจากชีวิตที่ค่อนข้างยุ่งมากของเธอจึงปล่อยให้เขาต้องเดินตามเส้นทางจนเสียชีวิตเหมือนกับชาติที่แล้ว
แต่เรื่องที่ทำให้เธอตกอยู่ในอาการเหม่อลอยกลับเป็นวิธีการเสียชีวิตของเขา ทำไมจึงเกิดอุบัติเหตุได้ล่ะ ? ร่างกายที่ป่วยในระยะสุดท้ายแบบนั้น ทำไมถึงไปให้รถชนอยู่กลางถนน ? ไม่น่าเหลือเชื่อเกินไปหรือ ?
ในฐานะที่เป็นหลานสาว จางฉุ้ยเหลียนต้องไปเข้าร่วมพิธีฝังศพคุณปู่ ว่ากันว่าคนขับรถที่เป็นคู่กรณีได้จ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดพิธีศพทั้งสิ้น 30,000 หยวน ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มาเข้าร่วมพิธีศพเสียได้ บรรดาญาติพี่น้องเหล่านั้นต่างชี้มือชี้ไม้อยู่ลับหลัง ไม่รู้ว่าซุบซิบนินทาอะไรกัน ราวกับว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเองอย่างนั้นแหละ ซึ่งทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกสับสนไม่น้อย
ตอนเข้าสู่พิธีฝังศพ ไม่สามารถอยู่ในงานได้ จางฉุ้ยเหลียนรีบตรงกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ข้าวก็ยังไม่ตกถึงท้องสักเม็ด วันที่สอง เฉินเฉี่ยวหยิงก็มาหาจางฉุ้ยเหลียน หวังว่าเธอจะโน้มน้าวให้เช่าหวาคืนเงินส่วนนั้นมา
จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจ เฉินเฉี่ยวหยิงจึงเล่าเรื่องที่น่าตกใจให้ฟัง เช่าหวาเห็นอยู่ว่าคุณปู่กำลังจะตาย แต่ในบ้านกลับไม่มีเงินสักแดงเดียว ก่อนงานแต่งงานของจางฉุ้ยจวิน หล่อนได้แต่ร้องห่มร้องไห้บอกว่าจางกว่างฝูน่าสงสาร จางฉุ้ยจวินที่เป็นหลายชายก็ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่
คุณปู่คุณย่าเลยคิดว่าคงจะไม่มีเงินจัดงานแต่งงานของหลานชายเป็นแน่ จางกว่างฝูก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง แต่พวกเขาก็อายุมากกันแล้ว จะเอาอะไรกับคนที่มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเล่า ?
จากนั้นเช่าหวาก็โพล่งกลอุบายออกมา บอกว่าคุณปู่คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน จะตายก็ต้องตายอยู่ดี ไม่สู้ตายก่อนกำหนดไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็ยังได้เงินคืนมา
หลังจากที่งานแต่งของจางฉุ้ยจวินจบลง คุณปู่ก็ปล่อยให้คุณย่าประคองออกไป พาเขาไปยืนอยู่ริมถนนใหญ่ จนกระทั่งเห็นรถที่ขับผ่านมาคันหนึ่ง คุณปู่จึงใช้แรงเฮือกสุดท้ายพุ่งออกไป สุดท้ายจึงเสียชีวิตคาที่
หลังจากได้เงินชดเชยมา 30,000 หยวน ทั้งสองบ้านก็ทะเลาะกันอย่างหนัก เพราะเงิน 30,000 หยวน !!!
MANGA DISCUSSION