ตอนที่ 291 ชดใช้ด้วยการแต่งงาน
จางฉุ้ยเหลียนตกใจกับคำพูดของยิงเจี๋ย ผู้หญิงคนนี้ช่างพูดช่างเจรจา ถ้าขืนยังถามโดยไม่ใส่ใจแบบนี้ต่อไป มีหวังคงได้ทำให้คนอื่นเกิดความเข้าใจผิดคิดว่ากลั่นแกล้งหล่อนเป็นแน่
เธออดที่จะมองพิจารณาจางฉุ้ยจวินเสียไม่ได้ ชาตินี้เขาถูกกำหนดให้เจอกับผู้หญิงคนนี้ แม้ไม่อยากเชื่อคำพูดเหล่านี้ แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ตกหลุมรักจางฉุ้ยจวินไปแล้ว อีกทั้งยังผ่านการอบรมสั่งสอนจากเช่าหวาผู้ไม่น่าเชื่อถือแล้วด้วย ตอนนี้หล่อนยังสามารถอยู่ในบ้านของฝ่ายชายโดยไม่ได้แต่งงานอย่างเปิดเผย ท้องก็โตแถมยังกล้าหาญชาญชัยมากเสียด้วย
ความคิดที่ล้ำสมัยแบบนี้ ถ้าเป็นในช่วงปี 90 ก็คงถูกคนอื่นมองค้อนใส่ เวลานี้จางฉุ้ยเหลียนตัดสินใจว่าต่อไปจะพยายามไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงแบบนี้อีก
ไม่ใช่แค่ลดการมีปฏิสัมพันธ์ แต่พยายามจะไม่มีปฏิสัมพันธ์เลยต่างหาก
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ยิงเจี๋ยก็ลากตัวจางฉุ้ยจวินไปคุยด้านข้าง ทิ้งจางฉุ้ยเหลียนและพ่อแม่ให้นั่งคุยกันเอง เรื่องนี้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกประทับใจในการกระทำของยิงเจี๋ยเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้รู้จักจัดการเรื่องราวเป็นอย่างดี ดูจากด้านนี้แล้ว การแต่งงานของหล่อนคงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างแน่นอน อย่างน้อยการเข้าและออกก็มีระดับ แฝงไปด้วยความหมายเป็นนัยยะ เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความยุ่งยากแก่ครอบครัวแต่อย่างใด
“ลูกสาว แกว่าเด็กคนนี้เป็นอย่างไร ? ” ความกระตือรือร้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเช่าหวาราวกับเด็กน้อยที่รอรับรางวัล
ถ้าบอกว่าไม่ดี พวกเขาจะยกเลิกการแต่งงานหรือ ? จางฉุ้ยเหลียนยิ้มเย็นเยือกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ทำเพียงพยักหน้า “อืม ก็ดีค่ะ”
เช่าหวาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและหันไปมองจางกว่างฝูเพื่อรอให้เขาชื่นชมบ้าง แต่สามีกลับขมวดคิ้วมุ่น “ที่ฉุ้ยเหลียนพูดก็ถูกนะ ทำไมถึงชอบเสี่ยวจวินล่ะ ? เด็กคนนี้เป็นเด็กไม่ดีของเราไม่ใช่หรือ ? ”
จางกว่างฝูแสดงสีหน้างุนงง เขาพบว่าจางฉุ้ยจวินนั้นไม่มีความสามารถมากพอจะให้ใครฝากฝังไปตลอดชีวิต อีกเรื่องหนึ่งก็คือเด็กผู้หญิงที่กล้าได้กล้าเสียคนนี้กำลังทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ
เช่าหวากลอกตาไปมาจากนั้นก็ด่าจางกว่างฝูอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณเป็นสามี เรื่องนี้คุณควรจะสนใจไหม ? ” มันคือเรื่องจริง จางกว่างฝูก้มหน้ายอมรับด้วยท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ทันใดนั้น เขาก็เงยหน้ามาถามอย่างสงสัย “คุณจะให้ค่าสินสอดเท่าไหร่ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเองก็สนใจคำถามนี้มากเช่นกัน เพราะเท่าที่ฟังจากตระกูลจางตอนนี้เงินในครอบครัวหมดเกลี้ยงแล้ว
เช่าหวาเม้มปากแน่น ไม่นานเสียงเล็ก ๆ นั้นก็เอ่ยออกมาอย่างภูมิใจ “จะเอาเงินอะไรเล่า ? ก็ฉันบอกไปแล้วว่าบ้านเราไม่มีเงินเหลือ เรายังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เงินสินสอดก็ไม่มี เครื่องประดับ 3 ชิ้นก็ใช้ได้ แค่ไปเปลี่ยนที่ห้างสรรพสินค้าใหม่ก็จบแล้วนี่ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ยืมสร้อยของจางฉุ้ยเหลียนก่อน แต่งงานเสร็จก็ค่อยคืนให้”
จางฉุ้ยเหลียนได้แต่พึมพำอยู่ในใจ มีแผนการแล้วจริงด้วย ยอมเขาเลย อยากได้ก็แค่พูด ยืมแล้วจะได้คืนอย่างนั้นหรือ ?
สีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนดูแย่ลงทันที จางกว่างฝูชำเลืองตาไปเห็นก็รีบตำหนิเช่าหวา “พูดเหลวไหลอะไร ? ถ้าแต่งได้ก็แต่ง ถ้าแต่งไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่ง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
เช่าหวาแสดงท่าทางเศร้าหมองอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “เรามีเงินเท่าไหร่ คุณรู้ไหม ? สร้อยทอง แหวน ต่างหู ของพวกนี้มันกินไม่ได้ ใครจะมีหน้าเข้ามาถามว่าซื้อมาเท่าไหร่ ? อย่างไรก็ต้องใช้เงินก้อนในการจัดงานแต่งอีก จะให้เชิญแขกมากินผักเย็นชืดแค่นั้นหรือ ? ”
สองสามีภรรยาทะเลาะเรื่องนี้อยู่ประมาณ 5 นาที จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าเรื่องไม่จบง่าย ๆ แน่ แทนที่จะให้เช่าหวามีโอกาสมาเรียกร้องเงินจากเธอ ไม่สู้ใช้โอกาสนี้กระจายทรัพย์สินเสียดีกว่า
“เอาแบบนี้แล้วกัน หนูจะออกไปเก็บกวาดข้างนอก เวลาแขกไปใครมาจะได้สะอาดตาหน่อย” จางฉุ้ยเหลียนชี้ไปทางพื้นกระเบื้องสี่เหลี่ยมด้านนอก พอเห็นเช่นนั้น เช่าหวาก็อดแบะปากไม่ได้ “เอาล่ะ มันไม่มีประโยชน์และกินไม่ได้ ถ้าแกมีใจจะช่วยน้องชาย ก็เก็บเงินมาซื้อต่างหูให้น้องชายและน้องสะใภ้สิ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มพร้อมมองเช่าหวา จากนั้นอีกฝ่ายก็พูดพึมพำด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะความอายเล็กน้อย “ตอนแกแต่งงานก็ไม่ได้ใช้เงินสักเท่าใด บอกแค่ว่าแกมีประวัติการศึกษาและหน้าตาดี ลูกสะใภ้จะมีเงินหรือไม่มีเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันเหมือนน้องชายของแกที่ไหน ? ตอนแกแต่งงานยังมีสร้อย แหวน ต่างหูใส่เลย แม่สามีของแกยังประเคนสร้อยข้อมือทองเส้นใหญ่ให้อีกด้วย!”
เช่าหวานำจำนวนสินสอดทองหมั้นของจางฉุ้ยเหลียนมาเปรียบเทียบ “ตอนแต่งงานก็ต้องมีกันทุกคนไม่ใช่หรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนแสยะยิ้มเย็นเยือก ก่อนจะถามขึ้นว่า “หนูเป็นใคร แล้วหล่อนเป็นใคร ? สามีของหนูมีฐานะขนาดไหน แม่เอาจางฉุ้ยจวินมาเปรียบเทียบกับบ้านเขาได้หรือ ? คนหนึ่งสวรรค์ อีกคนพื้นดิน อีกอย่างสามีของหนูก็ให้สมุดบัญชีไว้ด้วย แม่กลับเอาจางฉุ้ยจวินที่ไม่มีเงินแม้แต่แดงเดียวมาเปรียบเทียบกับเขาเนี่ยนะ ? ”
เช่าหวาหน้าถอดสี หมดคำพูดทันที จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหูเพราะไม่อยากฟัง “พอ พอ แกเลือกคนดีมีความสามารถที่สุด แต่น้องชายของแกไม่ได้มีความสามารถก็ต้องแต่งงาน พี่สาวอย่างแกมีเงินตั้งมากตั้งมายกลับไม่คิดจะช่วยเหลือน้องชายเลยหรืออย่างไร ? ”
จางกว่างฝูเห็นสีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนหม่นหมองลง กลัวว่าความอบอุ่นใจที่สะสมมานานหลายปีจะเปลี่ยนแปลงเป็นเย็นชา จึงลากตัวเช่าหวามาสั่งสอนอย่างร้อนใจ “ลูกสาวของคุณแต่งงานออกเรือนไปแล้ว จะช่วยอะไรได้เล่า ? ตอนลูกมีปัญหา คุณเคยยื่นมือไปช่วยบ้างไหม ? จะสนใจลูกทีหนึ่งก็หวังแต่เงิน ตอนนี้แม่สามีได้อยู่กับหล่อนแล้ว ลูกต้องเจอเรื่องทุกข์ใจมากพออยู่แล้ว ไม่เคยเข้าใจลูกสักนิด น่าเบื่อจริง ๆ ให้ตายเถิด!”
เช่าหวาเองก็สังเกตเห็นสีหน้าไม่ค่อยดีของจางฉุ้ยเหลียน รู้สึกไม่สบายใจอยู่ในใจ รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถบังคับจางฉุ้ยเหลียนได้ จึงทอดถอนใจและพูดเยาะเย้ยว่า “ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ฉันจะไปเรียกร้องอะไรจากลูกสาวสุดที่รักได้อีก ? ฉันบอกไปแล้ว แกเองก็เห็นว่าครอบครัวเราเป็นแบบไหน ลูกสะใภ้เองก็รู้ แต่คนนอกล่ะ พวกเขาจะมองเราแบบไหน คุณพูดง่ายนี่ แต่งลูกสะใภ้เข้าบ้าน ใครบ้างจะไม่อยากได้หน้าได้ตา ครอบครัวเราไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อ ก็แค่ยืมแกก่อน พอเสร็จเรื่องฉันก็คืนให้เหมือนเดิมไม่ได้หรือไง”
จางกว่างฝูพยักหน้า “คุณพูดถูก ถ้าไม่ได้จริง ๆ ผมจะไปขอกับแม่ของคุณเอง”
จางฉุ้ยเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์ จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น “แม่หนักใจกับการแต่งลูกสะใภ้เข้าบ้านขนาดนี้ แล้วหล่อนดีกับแม่ไหม จะดูแลแม่ยามแก่ชราไหม ? ทั้งคู่จะดูดลมเต็มท้อง จะอดตายก่อนไหม ? ”
เช่าหวาได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที รู้ว่าคำพูดของจางฉุ้ยเหลียนนั้นแฝงความหมาย จึงรีบรุดหน้ามาอธิบายทันที “พวกเธอจะมีลูกชายมากลูกสาวน้อย สิ่งสำคัญที่สุดคือพี่น้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต่อไปคงจะไม่ช่วยหางานให้เสี่ยวจวินแล้วสินะ”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตา “พอเถิด ฟู่ซินไม่สามารถชักจูงเขาได้ เขาขี้เกียจขนาดนั้น บริษัทไหนยังต้องการตัวเขาหรือ ? ”
เช่าหวาเห็นจางฉุ้ยเหลียนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงตำหนิว่าฟู่ซินนั้นหางานลำบากให้เขา “แกว่าคนแบบนี้น่าเชื่อถืองั้นหรือ เป็นถึงเถ้าแก่ใหญ่กลับหางานเล็ก ๆ ให้เขา ทั้งเหนื่อย ทั้งถูกล่วงเกิน ทะเลาะวิวาททุกวันจนหาเงินไม่ได้”
จางฉุ้ยเหลียนขี้เกียจหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาเถียงกับเช่าหวา นอกจากคิดแค่ว่าถ้าจะทำความสะอาดบ้านหลังนี้จนสะอาดเกลี้ยงเกลาในเวลาอันสั้น ก็คงไม่หาข้ออ้างมาสร้างบ้านหรอก ตอนนี้ราคาวัสดุค่อนข้างถูกมาก และมักเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ไม่กี่ปีก็แตกต่างกันแล้ว การแต่งงานของจางฉุ้ยจวินในครั้งนี้ ถือว่าจางฉุ้ยเหลียนได้ควักเงินออกมารีโนเวทบ้านใหม่ เงินที่จ่ายออกไปทั้งหมดเป็นเงินของเธอเอง ต่อไปถ้ามีข้อพิพาทอะไรอีก เธอก็จะได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าสำหรับครอบครัวนี้ การให้เบี้ยเลี้ยงสนับสนุนก็เปล่าประโยชน์ ไม่สู้จ่ายเป็นวัตถุนอกกายเสียดีกว่า คนรอบข้างมองเห็น ต่อไปถ้าเกิดการฟ้องร้องต่อศาลถึงเรื่องค่าเลี้ยงดู ก็งัดเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นหลักฐานได้
“เอาแบบนี้แล้วกัน หนูจะซื้อต่างหู 1 คู่ให้หล่อน ส่วนเรื่องเงินสินสอดไม่ใช่เรื่องของหนู แต่หนูจะช่วยทำความสะอาดหน้าบ้านให้” จางฉุ้ยเหลียนรับปากกับเช่าหวาที่รีบพยักหน้าด้วยความดีใจ “ได้ ๆ แค่แกออกเงินตรงนี้ก็ถือว่าช่วยฉันมากแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า หน้าบ้านเละมาก ดีเลย แกก็ไปทำความสะอาดให้หมดเลยนะ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้พูดไปเรื่อย ก็เหมือนกับตอนช่วยออกค่ารีโนเวทบ้านใหม่ในตอนแรกนั่นแหละ ตอนแรกก็ยืมกล้องถ่ายรูป ต่อมาก็เริ่มก่อสร้าง สุดท้ายก็ถ่ายรูปอีกครั้งเป็นอันเสร็จสิ้น
ประตูบ้านของเช่าหวาอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านใหญ่ จางฉุ้ยเหลียนทำการทุบประตูใหญ่ทิ้งและเปลี่ยนเป็นกำแพงสูง 1.8 เมตร ตรงกลางเป็นประตูรั้วเหล็กสีแดงแกะสลักเป็นลายฉลุ เมื่อเดินเข้ามาข้างใน จางฉุ้ยเหลียนได้ทำการเปลี่ยนพื้นดินที่ไม่เสมอกันโดยการทุบทำลายและฉาบเรียบ
ใช้ปูนฉาบดูดีที่สุดแต่ราคาสูงใช้เล่น จางฉุ้ยเหลียนไม่คิดว่าต้องจ่ายเงินที่ไม่คุ้มค่าก้อนนั้น แต่มันก็ออกมาสวยมาก แถมยังไม่เหมือนบ้านไหนอีกด้วย บ้านจางกว่างโหย๋วที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้ทำแบบนี้ มีแค่ทางเดินตรงกลางเท่านั้น
จางฉุ้ยเหลียนทำการรื้อถอนรั้วไม้พัง ๆ ตรงกลางระหว่างลานกว้างหน้าบ้านและแปลงผัก จากนั้นก็ก่ออิฐแดงสูงขึ้นมาครึ่งเมตร ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ลานกว้างทั้งหมดถูกปิดล้อม ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็นรั้วไม้พัง ๆ แบบเมื่อก่อนก็ตาม แต่หลังจากเสร็จสิ้นมันก็สวยมากทีเดียว
กอปรกับบ้านหลังใหม่ที่ทาด้วยสีชมพูทั้งหลัง หลังจากมองอย่างละเอียดก็เหมือนสร้างบ้านหลังใหม่อย่างไรอย่างนั้น ก่อนแต่งงานเช่าหวาได้บอกเป็นนัยกับจางฉุ้ยเหลียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังให้เธอรีบซื้อเครื่องประดับกลับมาโดยเร็ว
“ฉุ้ยเหลียนอ่า วันนี้แกมีธุระต้องไปทำไหม ? ฉันอยากเอาสร้อยไปเปลี่ยนใหม่ในห้าง แกบอกว่าจะไปซื้อต่างหูด้วยไม่ใช่หรือ ? งั้นเราก็ไปด้วยกันเลยสิ เผื่อจะได้ต่อรองราคาด้วย!” จางฉุ้ยเหลียนรับสายจากเช่าหวาด้วยอารมณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“แม่ หนูไม่ไปแล้ว หนูซื้อแหวนกับต่างหูเรียบร้อยแล้ว แม่มาเอาเองแล้วกัน อีกสามวันก็จะถึงวันงาน แม่เอาของขวัญนี้ไปให้แม่สะใภ้เองแล้วกัน!” เช่าหวาได้ยินเช่นนั้นก็รีบตัดสายและตรงมาที่นี่ทันที
“มันไม่เล็กไปหน่อยหรือ ! ” เช่าหวามองต่างหูที่อยู่ในกล่องกำมะหยี่สีแดง จากนั้นก็มองต่างหูที่จางฉุ้ยเหลียนใส่
จางฉุ้ยเหลียนนั่งมองเช่าหวาที่แสดงสีหน้าผิดหวังอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน จากนั้นก็พูดอย่างดูถูกเหยียดหยามออกไป “ถ้าเล็กแม่ก็ไม่ต้องเอาค่ะ เพราะมันก็เงินเหมือนกัน!”
เช่าหวามองแหวนและต่างหูที่อยู่ในกล่องทั้งสอง “สองกล่องนี้กี่กะรัต ? ”
จำนวนกะรัตบนเครื่องเพชรในกล่องช่างลายตาจนหล่อนก็มองไม่ชัด แต่เท่าที่วัดจากน้ำหนักแล้ว ต่างหูมีน้ำหนักค่อนข้างเบาแต่แหวนกลับมีมวลที่มากกว่า
“แหวน 7 กะรัต แม่ก็เห็นว่ามันไม่ใช่เครื่องประดับธรรมดาทั่วไปที่เกลื่อนอยู่เต็มท้องตลาด ด้านบนยังถูกตกแต่งด้วยดอกไม้เล็ก ๆ พื้นผิวของมันย่อมหนักกว่าพื้นผิวแบบเรียบ ส่วนต่างหูถึงจะเล็กกว่าจนน่าใจหาย แต่มันไม่ได้ธรรมดาเลยนะ ทั้งสองชิ้นนี้รวมกันก็เกือบ 10 กะรัตแล้วค่ะ!”
เช่าหวาได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็เป็นประกายแวววาวทันที “ดีงามจริง ๆ ว่าแต่ทั้งหมดนี้ราคาเท่าไหร่ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้ม “ทั้งหมดนี้ 505 หยวน ก็เขียนไว้บนกล่อง แต่หนูคงให้แม่ไม่ได้นะ เพราะหนูจ่ายเงินไปแล้ว เป็นเงินที่หนูจำเป็นต้องใช้ด้วย ! ”
เช่าหวาเชื่อว่าเธอพูดความจริง ก็เลยให้ทางบริษัทเก็บบิลไว้ หล่อนเองก็ไม่ใส่ใจอะไรหรอก จางฉุ้ยเหลียนทอดถอนใจ ถึงอย่างไรแค่เครื่องประดับทองคำ 3 ชิ้นก็มากพอแล้ว วันนี้ต้องไปบ้านของฝ่ายหญิง ดูสิว่าจะมีของขวัญอะไรให้ลูกสาวบ้านเขา
หลังจากส่งเช่าหวากลับไปแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็นั่งคิดบัญชีอยู่ในห้องทำงานต่อ มีกองเอกสารมากมายวางอยู่ตรงหน้า เธอหยิบออกมาคำนวณและอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ “เข้าเนื้อจนได้ ต่อไปก็หวังว่าจะไม่มาหากันอีกนะ ไม่อย่างนั้น บิลพวกนี้คงทำพ่อแม่ถึงกับสะอึกไม่หยุดแน่ ! ”
MANGA DISCUSSION