ตอนที่ 289 เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
ฟู่ซินไม่รู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนกับสามีเป็นเช่นนี้หรือไม่ ทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่คงจะรู้ใจกันที่สุด ทว่าต้องห่างไกลไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดียวกัน
เฉียนเหมยเซี่ยไม่รู้ว่าฟู่ซินกำลังคิดอะไรอยู่ ฟู่ซินเองก็ไม่รู้ว่าเฉียนเหมยเซี่ยกำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน หล่อนไม่ได้สนใจว่างานของตนคืออะไร ต้องพบเจอกับคนแบบไหน ต้องเตรียมตัวทำเรื่องอะไรบ้าง พอกลับมาถึงบ้าน หล่อนก็ทำเพียงแค่บ่นให้เขาฟังว่าถูกแม่สามีรังแกสารพัด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่สาวคนโตของหล่อนไม่ก็ซุบซิบนินทาถึงบุคคลที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย
เขาเหนื่อยมาก อยากบอกถึงความกดดันของตนให้เฉียนเหมยเซี่ยฟัง อยากพูดว่าตัวเขาต้องไปเจอกับบุคคลที่มีอิทธิพลคนไหน และอยากพูดถึงทัศนคติด้านอุตสาหกรรมให้ฟัง
เฉียนเหมยเซี่ยรู้สึกว่าเรื่องนี้ไร้สาระสิ้นดี ไม่สู้ดูรายการโทรทัศน์ให้สบายใจดีกว่า ฟู่ซินเองก็รู้สึกว่าเขาคงพูดเรื่องนี้กับหล่อนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเข้าข่ายสุภาษิตที่ว่าสีซอให้ควายฟัง
เรื่องพวกนี้ เขาชอบพูดกับจางฉุ้ยเหลียนอยู่เสมอ เพราะไม่ว่าจะพูดอะไร จางฉุ้ยเหลียนก็มักรับฟังอย่างจริงใจ เวลาใครบางคนแสดงสีหน้าสงสัยหรือมีเรื่องที่อยากรู้ เมื่อคุณพูดจบก็คงจะลืมไปหมดสิ้น แต่เธอไม่ลืม เธอมักจะหาข้อมูลและข่าวสารบางอย่างอยู่เสมอ ไม่แน่ว่าสักวัน อาจจะมีโทรศัพท์สายพิเศษโทรมาบอกคุณก็ได้
ความรู้สึกนี้คือ เธอกำลังให้ความสำคัญราวกับว่าทุกประโยคที่คุณพูดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เธอหยิบยกเรื่องคุณมาเป็นเรื่องเดียวกัน
แต่เธอไม่ใช่ภรรยา ทว่าเป็นเพื่อนสนิทที่งดงามมากสุดคนหนึ่ง เพื่อนสนิทผู้งดงามคนนี้แตกต่างจากคนที่อยู่ในบ้านคนนั้นอย่างสิ้นเชิง แม้คน ๆ นี้จะไม่เชื่อถือเขา แต่ก็ไว้ใจได้มากคนหนึ่งเลยทีเดียว เธอบอกว่าตัวเขาเป็นคู่หูที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แท้จริงแล้วเขาปรารถนาจะได้แต่งงานกับเธอ ให้เธอกลายมาเป็นคู่ชีวิตของเขาจวบจนนิรันดร์
แต่น่าเสียดาย เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ตอนนั้นเขามัวแต่ลังเลคิดนั่นคิดนี่ สุดท้ายก็พลาดผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งไป
บัดนี้พอเห็นเธอจัดการทุกอย่าง ดูแลเด็กไปจนถึงวัยชราในครอบครัวเพียงคนเดียว นอกจากนี้เธอยังต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับญาติจิตใจหยาบกระด้าง และยังไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ต้องเสียไปด้วย
กู้จื้อเฉิงมีอะไรดี ?
เขามีฐานะหรือหาเงินสู้จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาหน้าตาดีหรือ หน้าตาของเขาดูเหมือนคนอดข้าวมาหลายวันมากกว่า เขาดีกับเธองั้นหรือ ตลอดหนึ่งปีมานี้เจอกันไม่กี่ครั้งก็ยังเกิดเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงเสียได้
กู้จื้อเฉิงรู้เรื่องที่หล่อนทำอย่างนั้นหรือ ? เพราะงานของเขา จางฉุ้ยเหลียนจึงต้องทำธุรกิจค้าขายแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตอนนี้อสังหาริมทรัพย์กำลังทำเงินได้ วัตถุดิบสร้างเงินได้มากขึ้น ออกไปทำงานกับมู่จิ้นหนานก็สร้างเงินมหาศาล แต่เธอทำได้เพียงแค่เปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็ก ๆ เท่านั้น วันนี้เธอต้องมาขายหนังสือแบบฝึกหัดของนักเรียนมัธยมต้นแทนแม่สามี พรุ่งนี้ก็ต้องไปเก็บค่าเช่า ความสามารถของเธอเทียบเท่ากับความสามารถของสองสามีภรรยาติงเขอแล้ว สามารถกลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของบริษัทอย่างง่ายดาย
เพราะงานแสนพิเศษของไอ้ทึ่มกู้จื้อเฉิง เธอจึงทำไม่ได้ ทำได้เพียงแค่หดหัวอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ แห่งนี้ เธอสามารถเขียนต้นฉบับอย่างสงบ แต่ก็ไม่ได้สร้างชื่อเสียงให้มากมายแต่อย่างใด
เหตุใดชีวิตของจางฉุ้ยเหลียนจึงน่าเบื่อหน่ายและไม่ยุติธรรมขนาดนี้ล่ะ ? ฟู่ซินรู้สึกว่าจางฉุ้ยเหลียนปฏิบัติไม่ยุติธรรมกับตนเองเท่าใด น่าเสียดายจริง ๆ
และในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกเสียดายที่ได้เฉียนเหมยเซี่ยมาเป็นคู่ชีวิต หล่อนนอนหันหลังให้ฟู่ซินพร้อมความรู้สึกคะนึงหาสามีจนต้องพลิกตัวไปมาอย่างนอนไม่หลับ ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ หล่อนก็รู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
ไม่ง่ายเลยที่จะได้กลับมาอยู่ในห้องนี้ ถ้าไม่คว้าโอกาสไว้ก็น่าเสียดายแย่ไม่ใช่หรือ ?
เฉียนเหมยเซี่ยพลิกตัวกลับไปแล้วลืมตาขึ้นอย่างเงียบ ๆ พอเห็นฟู่ซินกำลังจ้องเขม็งไปบนเพดานราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ใจของหล่อนเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย อดที่จะเหยียดขาออกไปเย้ายวนอีกฝ่ายไม่ได้ แขนที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มก็ยื่นออกมาแตะหน้าท้องของฟู่ซิน จากนั้นก็ลูบคลำไปตามอารมณ์
หางตาของฟู่ซินชำเลืองมองไปยังมือที่กำลังเล่นซุกซนบนตัวเขาจากบนลงล่าง อีกทั้งยังยื่นมือไปคลำส่วนที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มของเขาอีกด้วย ส่งผลให้กล้ามเนื้อบางส่วนเกิดอาการเกร็งขึ้นมา ความร้อนจากลมหายใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ริมฝีปากอุ่นร้อนพรมจูบบนปลายคางของเขา อีกทั้งยังแลบลิ้นไล่เลียอยู่บนลำคออีกด้วย ฟู่ซินรู้สึกรังเกียจในการกระทำนี้จนต้องยื่นมือไปผลักเฉียนเหมยเซี่ยออกอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขามีเหตุผล ให้คำชี้แนะอย่างจริงใจระคนความโกรธว่า “ลดความอ้วนซะ ! ”
คำพูดสี่พยางค์นี้ได้สร้างความหายนะครั้งใหญ่แก่เฉียนเหมยเซี่ย มันเป็นคำพูดไม่น่าฟังยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้ เป็นแรงกระตุ้นอย่างหนักหน่วงแก่หล่อน และยังเป็นการหัวเราะเยาะไขมันที่ไม่เคยลดลงเลยของหล่อนอีกด้วย
เฉียนเหมยเซี่ยอดคิดไม่ได้ว่านี่คือคำตอบของความสงสัยทั้งหมด วันที่เขาไม่กลับบ้าน เขามักไปอยู่ที่ไหน ? เพราะความอ้วนน่าเกลียดของภรรยาก็เลยออกไปหาผู้หญิงอื่นข้างนอกอย่างนั้นหรือ ?
แต่เฉียนเหมยเซี่ยไม่กล้าพูดคำนี้ออกมา เพราะกลัวว่าหลังจากพูดไปแล้วการแต่งงานที่มีความสั่นคลอนเป็นทุนเดิมจะเกิดความผันผวนบางอย่างขึ้นมา
หล่อนเคยได้ยินแม่สามีพูดว่า พ่อแม่สามีของจางฉุ้ยเหลียนได้หย่าร้างกันแล้ว แม่สามีที่ให้กำเนิดลูกชายและลูกสาวซึ่งจะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต ได้ยินว่าตอนยังเป็นวัยรุ่น หน้าตาของเธอสวยจนใครก็หลงใหล พอมาตอนนี้ยังหาเงินเก่งอีกด้วย แต่มันจะไปมีประโยชน์อะไร สุดท้ายก็เป็นคนแก่ที่ถูกเฉดหัวทิ้งราวกับไข่มุกเม็ดงามที่ทิ้งไว้จนเก่าและกลายเป็นสีเหลืองไร้ค่า
ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการใดจนให้กำเนิดลูกชายและลูกสาว แต่หลังจากที่เกิดมาแล้วคุณก็ไม่สามารถใช้เป็นหลักค้ำประกันได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉียนเหมยเซี่ยจึงไม่กล้าล่วงเกินฟู่ซินอีก การสูญเสียของผู้หญิงคนนั้นทำให้ตระหนักได้ว่าตัวหล่อนยังต้องการความอยู่รอดในอนาคต
เฉียนเหมยเซี่ยลุกมานั่งร้องไห้อยู่บนเตียง ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่กล้าร้องออกมาอย่างเต็มที่ หล่อนเลือกจะปิดปากร้องไห้จนตัวสั่นเทิ้ม ส่งผลให้สปริงที่อยู่ใต้เตียงเกิดการเด้งขึ้นลงเล็กน้อย หล่อนสร้างปัญหาจนทำให้ฟู่ซินไม่ได้นอน จึงตะคอกออกไปเสียงดังในขณะที่กำลังหลับตาอยู่ “จะนอนไหม ถ้าไม่นอนก็ไสหัวออกไป!”
เสียงตะคอกอย่างหมดความอดทนนี้ ทำให้เฉียนเหมยเซี่ยไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ออกมาอีก จมูกที่แสนอึดอัดได้แต่พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง หล่อนทำได้เพียงลงจากเตียงช้า ๆ และเดินไปเปิดประตูเบา ๆ ก่อนจะตรงไปเข้าห้องน้ำโดยไม่ให้เกิดเสียงมากที่สุด หล่อนมองใบหน้าอวบอ้วนรวมทั้งดวงตาที่บวมเป่งจากในกระจก โดยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จะปล่อยให้วันเวลาผ่านไปแบบนี้หรือ ?
หล่อนดึงกระดาษทิชชูออกมาสั่งน้ำมูก หลังจากเช็ดหน้าจนสะอาดแล้วก็กลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง หล่อนเดินตรงไปข้างเตียง เปิดผ้าห่มอย่างเบามือ และยกขาสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มอย่างเบาที่สุด จากนั้นก็ตะแคงข้างโดยไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงออกมา หล่อนนอนไม่หลับ แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะพลิกตัวเพราะกลัวฟู่ซินโกรธ
หล่อนทำได้แค่นอนตะแคงข้างทั้งอย่างนั้น จนกระทั่งฟ้าใกล้สว่างจึงเข้าสู่ห้วงนิทราไป
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าฟู่ซินไม่อยู่แล้ว แสงอาทิตย์สว่างจ้าสาดเข้ามาทางหน้าต่างจนรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นกระจายอยู่ทั่วห้อง ทันทีที่คิดได้ เฉียนเหมยเซี่ยก็เด้งตัวขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สะบัดผ้าห่มออกและวิ่งไปยังห้องรับแขกทันที
ผูซูเฟินอุ้มลูกสาวของหล่อน ในขณะกำลังป้อนอาหารอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นเฉียนเหมยเซี่ยเดินออกมาพร้อมหน้าตาสกปรกมอมแมม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงก็รู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่ในทางตรงกันข้ามหล่อนกลับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สามีของเธอไปทำงานแล้ว ถ้าเธอเหนื่อยก็เข้าไปนอนต่ออีกหน่อยก็ได้”
หลังจากแต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้เป็นเวลานาน นี่เป็นครั้งแรกที่แม่สามีสนับสนุนให้หล่อนกลับไปนอนขี้เกียจอยู่บนเตียง หล่อนยังสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ กระทั่งได้ยินผูซูเฟินพูดพร้อมใบหน้าปลาบปลื้มใจว่า “มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เธอต้องหลอกล่อผู้ชายของตนให้ได้ ต่อไปผู้ชายก็จะอยู่ในกำมือเรา รีบหาโอกาสปั๊มลูกคนที่สองนะ ถือโอกาสตอนที่ฉันยังสาว เลี้ยงดูหลานทั้งสองคนของพวกเธอไง”
สีหน้าของเฉียนเหมยเซี่ยแดงเรื่อเพราะคำพูดนี้ จึงหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอน หล่อนง่วง และง่วงเอาเสียมาก ๆ ด้วย แต่เวลานี้ไม่ได้เป็นเวลาที่หล่อนอยากนอน ความหมายของแม่สามีก็คืออีกฝ่ายต้องการให้หล่อนนั้นเชื่อฟัง ที่แท้ก็เข้าใจผิดไป คิดว่าเมื่อคืนสองสามีภรรยาพลิกตัวไปพลิกตัวมาอยู่ครึ่งค่อนคืนกว่าจะได้หลับได้นอน
เมื่อคืนหล่อนนอนพลิกตัวไปพลิกตัวมาก็จริง แต่พลิกแค่เพียง 2 ครั้งเท่านั้น ในสองครั้งนี้ล้วนเป็นฝ่ายเปิดเกมเอง แต่กลับถูกอีกฝ่ายเมินเฉย
เฉียนเหมยเซี่ยขึ้นไปบนเตียงและเริ่มกลัดกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าลูกชายคนที่สองที่หล่อนวาดฝันไว้จะมาเกิดเมื่อไร
ในเวลาเดียวกันนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็กำลังกลัดกลุ้มใจไม่แพ้กัน เพราะเรื่องของหูจิ่นเหมิงทำให้ตอนนี้แม่สามีและลูกสะใภ้มีความร้าวฉานเกิดขึ้น อันหลงอยู่แต่ในร้านหนังสือทั้งวัน กลับบ้านมาก็ไม่ยอมออกจากห้องอีกเลย แม้แต่คังคังหลานชายหัวแก้วหัวแหวนก็ไม่สนใจ ในที่สุดก็เกิดความคิดตัดขาดกัน
แต่ความคิดนี้ก็ได้เปลี่ยนไปทันทีที่จางฉุ้ยเหลียนเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของอันหลงในช่วงไม่กี่วันหลังจากนั้น อันดับแรกหล่อนต้องการให้จางฉุ้ยเหลียนช่วยเก็บทรัพย์สินภายใต้ชื่อของคังคังไว้ แต่เพราะขั้นตอนการดำเนินการค่อนข้างยุ่งยาก จึงทำได้เพียงแค่นำหลักฐานการรับรองสิทธิ์ในทรัพย์สินมาเก็บไว้ในมือเท่านั้น
ผ่านไปไม่กี่วัน อันหลงเกิดอยากขึ้นไปดูพื้นที่บนภูเขา หลังจากดูเสร็จก็ขอไปดูต้นอ่อนที่จางฉุ้ยเหลียนจองไว้ หลังจากวุ่นวายอยู่หลายครั้ง ในที่สุดจางฉุ้ยเหลียนก็มองออกว่าหล่อนกำลังเป็นกังวล หล่อนต้องการวางมือก็เลยมอบภูเขาลูกนี้ให้เธอ
มันเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเรื่องการซื้อต้นกล้าและจ้างคนมาถางหน้าดิน เดิมทีจางฉุ้ยเหลียนก็อยากจ้างคนมาจัดการเช่นกัน ในเมื่ออันหลงมีเวลาและมีความตั้งใจ ก็มอบหมายให้หล่อนจัดการแล้วกัน
หลังจากกราบไว้บรรพบุรุษในวันเชงเม้งแล้ว พายุฝนห่าใหญ่ก็ผ่านเข้ามาในเมือง Q ส่งผลให้ฝนตกติดต่อกันเป็นเวลาสองถึงสามวัน ทันใดนั้นจางกว่างฝูก็มาหาจางฉุ้ยเหลียน และบอกว่าจางฉุ้ยจวินกำลังจะแต่งงาน
กฎหมายเรื่องการแต่งงานถูกร่างขึ้นครั้งแรกในปี 1950 กฎหมายการแต่งงานครั้งที่ 2 ถูกร่างขึ้นในปี 1980 และดำเนินการในปี 1981 เนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขมากที่สุดก็คือกฎระเบียบข้อที่ 5 ‘อายุถึงเกณฑ์สมรส ผู้ชายจะสมรสได้ก็ต่อเมื่อมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี ยิ่งแต่งงานช้าก็ยิ่งมีบุตรช้า’
จางฉุ้ยจวินลืมตาดูโลกในปี 1973 และมีอายุเท่ากับกู้จื้อชิว ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุ 22 ปี หลังจากก่อเรื่องสร้างปัญหามากมาย เช่าหวาจึงหวังให้เขาแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา
จางกว่างฝูถูมือที่หยาบกระด้างและเต็มไปด้วยริ้วรอยพลางพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “หลังจากกลับมา ฉันกับแม่แกก็แยกกันอยู่ ตอนนี้ฉันค่อย ๆ มีชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน ถึงแม้วันนี้แม่ของแกจะเชื่อในหลักคำสอนของพระเจ้า แต่หลังจากนั้นหล่อนกลับไปเชื่อคำพูดของคุณย่า ถึงจะดูไม่น่าเชื่อถือแต่ก็ยังทำสิ่งที่ถูกต้อง หล่อนหาสะใภ้ให้น้องชายของแกได้ 1 คน ได้ยินว่าฐานะของหล่อนดีมาก พวกเขาทั้งสองคบกันได้สองเดือนแล้ว จะแต่งงานกันในวันที่ 1 พ.ค. นี้ด้วย ”
จางฉุ้ยเหลียนนึกถึงน้องสะใภ้ที่มีจิตใจชั่วช้าในชาติที่แล้วได้อย่างฉับพลัน ได้ยินเช่นนั้นใจก็เต้นแรงทันที เธอเงยหน้าและถามด้วยเสียงเบาว่า “ครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นทำอะไรคะ ? ผู้หญิงอายุเท่านั้น เรียนจบและทำงานอะไร ? น้องชายของหนูเพิ่งจะอายุแค่ไหนกันเชียว คบกันได้แค่ 2 เดือนก็จะแต่งงานกันแล้ว จะรีบร้อนแต่งทำไมคะ ? ”
จางกว่างฝูส่ายหน้าด้วยสีหน้าขมขื่น “ฉันเองก็ไม่รู้ แม่ของแกไม่ได้บอกอะไรฉันเลย บอกแค่ว่าหล่อนดี วันนี้ฉันมาซื้อของในเมืองก็เลยวานให้ฉันมาเรียกแกกลับบ้านสุดสัปดาห์นี้ กินข้าวด้วยกันสักมื้อ จะได้คุยกันว่าจะเชิญแขกผู้ใหญ่วันไหน”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ใช่คนมีประสบการณ์โชกโชน เมื่อได้ยินจางกว่างฝูพูดเช่นนี้ เธอก็เข้าใจได้ทันที เธอถือโอกาสถามไถ่ด้วยความอยากรู้ จากนั้นก็กระตุกยิ้มมุมปากและหัวเราะออกมา “งั้นการแต่งงานครั้งนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ล่ะคะ ? ”
จางกว่างฝูเงยหน้าด้วยความงุนงง “ห๊ะ ? แม่แกไม่ได้บอกนี่ จริงสิ เราเองก็ไม่ได้มีเงินจัดงานนี่นา”
ถ้ามีเงิน ผู้อาวุโสในบ้านจะป่วย หรือนี่คือสาเหตุที่เธอยังคงต้องพบหมอ ? หรือว่าเงินในการแต่งงานครั้งนี้ เธอต้องเป็นคนออกให้ทั้งหมด ?
MANGA DISCUSSION