ตอนที่ 285 รักลูกมากเกินไป
“เธอมองหน้าฉันทำไม?” ประโยคนี้คือสัญญาณเตือนชนิดหนึ่ง เหมือนคำว่า ‘action’ ที่ผู้กำกับหนังตะโกนออกไป แล้วทุกคนก็เข้าสู่บทบาททันที
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางคำไม่ควรพูดตามอำเภอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้ชายที่ชอบเปลือยกายท่อนบนแล้วดื่มเหล้าจนเนื้อตัวแดงเถือกเหล่านั้น มันมากพอที่จะทำให้พวกผู้ชายได้ยินแล้วอารมณ์คุกรุ่นขึ้นทันที แต่ในความเป็นจริงมันคือคำพูดที่เหล่าหญิงสาวตะวันออกเฉียงเหนือใช้พูดกันในขณะหาเรื่องทะเลาะตบตีกันนั่นเอง
ประโยคนี้ สำหรับคนตะวันออกเฉียงเหนือถือเป็นการเหยียดหยามอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญหน้ากัน ถ้าคนหนึ่งพูดว่า “เธอกวนบาทาฉันหรือ ? ” ส่วนใหญ่จะไม่มีใครลงมือทันที นอกจากจะออกแรงผลักอย่างสุดกำลัง ถ้าคนรอบข้างพูดอธิบายให้ใจเย็นได้ เรื่องก็จบ
แต่ถ้ามีคนพูดขึ้นว่า “เธอมองหน้าฉันทำไม ? ” ก็จะมีคนพูดต่อว่า “มองหน้าตอนไหนไม่ทราบ ? ” คนแรกก็จะพูดอีกครั้งว่า “ก็เห็นอยู่ว่ามอง ! ” หลังจากพูดจบก็รีบลุกขึ้นและเดินมาตรงหน้าทันที ฝ่ายที่ตั้งท่ารับมือก็ลุกขึ้นและสาวเท้าไปข้างหน้าเช่นกัน แล้วมักจะตอกกลับด้วยคำพูดแห้งเหี่ยวไม่สมเหตุสมผลด้วยน้ำเสียงดุดันมุทะลุว่า “ฉันมองป้า แล้วป้าจะทำไม่มิทราบ ? ”
เดิมทีไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคำพูดเหล่านี้ก็ได้ ทว่าทั้งสองฝ่ายบ้าระห่ำเหมือนกับหมาบ้าอย่างไรอย่างนั้นอยู่แล้ว ทั้งคู่จึงวิ่งเข้าหากัน ชกต่อยแลกหมัดอีกทั้งยังลงมือทำร้ายอย่างไม่ปรานี ถ้าต้องกินข้าวด้วยกัน ทั้งคู่ก็จะนั่งร่วมโต๊ะกันไม่ได้อีก จากนี้จึงได้เข้าร่วมการต่อสู้โดยไม่มีข้อยกเว้น
ไม่มีใครซักไซ้ถามถึงสาเหตุที่ทะเลาะกันเลยสักคน เพราะไม่มีใครใส่ใจสาเหตุในการทะเลาะ เมื่อทำร้ายกันเสร็จก็แยกย้ายกลับบ้าน แน่นอนว่าระหว่างทางที่กลับบ้านก็ยังมิวายสบถด่าไล่หลังอย่างหงุดหงิดใจไปตลอดทาง ถ้าเกิดโชคร้ายปล่อยให้ตำรวจจับตัวได้ ต้องเข้าไปนอนในคุก ทั้งคู่ก็อาจจะกลายเป็นไม่รู้จักมักจี่กันอีกเลยก็ได้
ส่วนสาเหตุในการทะเลาะวิวาท ทางคุณตำรวจมักเจอบ่อย ๆ ก็คือคำพูดต้องห้ามอย่าง ‘เธอมองหน้าฉันทำไม ?’
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกกลัดกลุ้มใจไม่น้อย เธอเป็นห่วงคังคัง ห่วงว่าเจ้าเด็กน้อยจอมซนจะเผลอเข้าไปในอยู่ในเกมนี้ ในฐานะคนเป็นแม่ก็ยากจะเลี่ยงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ อีกทั้งถ้าขืนพูดออกไปก็คงจะอับอายไม่น้อย เธอคงไม่มีหน้าไปพูดกับกู้จื้อเฉิงหรอก
โชคดีที่โลกใบนี้ยังมีที่ว่างเหลือให้คนอ่อนแอ เรื่องของเด็กจอมจุ้นอย่างคังคังเป็นแค่เรื่องทะเลาะวิวาทของเด็กเท่านั้น บรรดาผู้ใหญ่ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พรุ่งนี้พวกเขาก็คงจูงมือกันและกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในที่สุด
หูจิ่นเหมิงเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งที่เผลอยื่นมือออกไปหยิกเด็กคนอื่นเพราะต้องการแก้แค้นแทนน้องชายเท่านั้น หากทำไม่ถูกต้องเราก็แค่สั่งสอน เด็ก ๆ ไม่รู้เรื่องหรือว่าผู้ใหญ่กันแน่ที่ไม่รู้เรื่อง ?
ดังนั้นทันทีที่ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นเดินเข้ามาในสถานีตำรวจ ก็โดนตำรวจสั่งสอนโดยไม่ทันตั้งตัว หล่อนไม่ยอมและยังอวดดีจึงโทรศัพท์เรียกครอบครัวมาอีก ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาให้หัวหน้าครอบครัวของทั้งสองฝ่ายได้ทราบ หลังจากที่ครอบครัวของเด็กคนนั้นมาถึง พวกเขาก็มองไปทางเด็กทั้งสองที่แสดงท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว และยังบอกให้รอผู้ปกครองมาถึงอีกด้วย
ตำรวจถามจางฉุ้ยเหลียนว่า “ทำไมครอบครัวของคุณถึงได้มีแค่คนเดียวล่ะ ? สามีคุณอยู่ไหน ? ”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางคนพวกนั้นด้วยสายตาดุดันราวกับเสือจ้องตะครุบเหยื่อ รวมทั้งจ้องแม่เด็กคนนั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ จากนั้นก็พยายามยิ้มอ่อนโยนและพูดขึ้นว่า “สามีของฉันเป็นทหารประจำการที่ต้องปกป้องประเทศค่ะ เขาต้องอยู่ในค่ายตลอดไม่มีเวลากลับบ้าน ต้องขอโทษคุณตำรวจด้วยจริง ๆ นะคะ ที่ฉันไม่สามารถอบรมสั่งสอนลูกชายให้ดี ฉันขอชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นเองค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าพ่อของเด็กเป็นทหารประจำการคอยปกป้องประเทศชาติ ตำรวจเหล่านั้นก็ยืนตัวตรงด้วยความเคารพทันที เหล่าวีรบุรุษในชุดเหล็กที่คอยปกป้องบ้านเมือง ต้องประจำการกองหน้ามาโดยตลอด แถมลูก ๆ ก็ยังถูกผู้ใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องรังแกอย่างไม่น่าให้อภัย
พอได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของตำรวจก็ดีขึ้นในชั่วพริบตา พากันหันไปมองผู้ใหญ่ที่ ‘ไม่รู้เรื่องรู้ราว’ สีหน้าของผู้ใหญ่เหล่านั้นซีดเผือด แต่ผู้หญิงที่โดนชกก็ยังแสดงท่าทีต่อต้านไม่ยอมอยู่ดี
ดูเหมือนว่าหล่อนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่ก็ถูกหูจิ่นเหมิงทำร้ายจนสมองฝ่อไปแล้ว ไม่นานหล่อนก็พูดเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้ “ฉันว่านะ เขาคงไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดีหรอก มีแต่พ่อให้กำเนิดแต่ไม่มีพ่อคอยอบรบสั่งสอน ก็เหมือนเด็กไม่มีพ่อนั่นแหละ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนขุ่นเคืองไม่น้อย บางคนก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา เพราะไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร ผู้ชายเจ้าเนื้อที่ทั้งสูงและทั้งอ้วนยื่นมือออกไปผลักผู้หญิงคนนั้นจนล้มไปกองกับพื้น ยังไม่ทันรอให้คนล้มสบถคำด่าออกมา หนึ่งในผู้สนับสนุนเป็นกองหลังก็ปรากฏตัวขึ้น
หญิงชราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับยุติธรรมมากที่สุด หล่อนด่ากราดใส่สองแม่ลูกคู่นั้น แล้วหันไปมองสีหน้าที่ค่อย ๆ สงบลงของจางฉุ้ยเหลียน ซึ่งจางฉุ้ยเหลียนก็คุ้นเคยกับปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้อยู่แล้ว เรื่องที่น่าตลกคือคนส่วนมากต่างก็มองเธอด้วยสายตาเวทนาสงสารราวกับสามีได้ทอดทิ้งเธอให้เผชิญโลกภายนอกเพียงลำพังอย่างไรอย่างนั้น
ผลลัพธ์ของเรื่องนี้ไม่ได้ตึงเครียดมากแล้ว จุดจบของเรื่องช่างแตกต่างจากที่หูจิ่นเหมิงและน้องชายคาดการณ์ไว้ แม่ของเด็กคนนั้นถูกตำรวจสั่งสอนอยู่นานสองนาน แม้แต่คนในครอบครัวก็พลอยถูกตำรวจอบรมสั่งสอนไปด้วย
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เพราะถึงอย่างไรเด็ก ๆ ก็แตกต่างจากผู้ใหญ่ ถ้ามีคนอื่นเข้าใจลูกผิดแล้วต้องโต้กลับทันที เอาคุณสมบัติใดมาวัด ? คนเป็นแม่ไม่รู้จักหาเหตุผลมาช่วยลูกเลยหรือ ?
“จะกลับบ้านหรือไปฉะกับครูอนุบาล ? เพราะผมเป็นตำรวจที่คุณครูโทรมาแจ้ง เนื่องจากกลัวว่าคุณจะทำร้ายเด็ก ๆ ถ้าผมเดินออกไปจากห้องนี้ คุณก็เตรียมเล่นงานให้ผมเข้าไปนอนในคุกสินะ คุณอบรมสั่งสอนเด็กแบบนี้หรือ ถ้าเด็กเติบโตแล้วกลายเป็นคนร้ายขึ้นมาล่ะ ? ” ตำรวจนายนั้นดึงปีกหมวกลงเล็กน้อย ในเวลานี้สีหน้าคุณย่าของเด็กแย่ลงเรื่อย ๆ แม่ของเด็กก็ไม่มีความมั่นใจ ใบหน้าของหล่อนแดงเรื่อเพราะอับอาย ไม่ได้แสดงท่าทางอวดดีแต่อย่างใด
แน่นอนว่าตำรวจต้องตำหนิหูจิ่นเหมิงด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ได้บอกว่าหล่อนไม่ควรทำร้ายเด็ก แต่พยายามอบรมสั่งสอน ดัดไม้อ่อนย่อมง่ายกว่า “เธอเป็นใคร ? รังแกเด็กโดยไม่มองหน้ามองหลัง หรือเห็นแค่ว่าเขามีแต่แม่มาคนเดียว ถ้าพ่อของเด็กคนนี้มาด้วย เท้าของเธอจะไม่มีโอกาสได้แตะพื้นแม้แต่ข้างเดียวไม่ใช่หรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพาหูจิ่นเหมิงที่มีท่าทีไม่พอใจกับคังคังเดินออกจากประตูใหญ่ของสถานีตำรวจ เพราะกลัวว่าหล่อนจะโพล่งคำพูดโง่ ๆ อย่างเช่น ‘คุณลุงของฉันอยู่ในกลุ่มอิทธิพลมืดและยังเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม xx อีกด้วย ถ้าทำร้ายฉัน คุณลุงต้องเล่นงานเขาถึงตายแน่’
โชคดีหูจิ่นเหมิงไม่ใช่คนโง่ หล่อนรู้ว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด ทำให้จางฉุ้ยเหลียนวางใจลงมากทีเดียว แต่ในตอนที่เดินออกมาจากประตูสถานีตำรวจนั้น พวกหล่อนก็บังเอิญเจอกับตำรวจท่าทางใจดีคนเดิม เขาพยักหน้าและพุ่งเข้ามาถามจางฉุ้ยเหลียนด้วยความกระตือรือร้นว่า “จัดการตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าแสดงความลำบากใจไม่น้อย “ค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ ลูกจอมซนของฉันสร้างปัญหาให้พวกคุณมากเลย!”
สีหน้าของตำรวจอาวุโสเคร่งขรึมลง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันและพูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า “สร้างปัญหาอะไรกัน ผมไม่คิดว่าเป็นปัญหาสักหน่อย แค่ต่อไปคนเป็นแม่อย่างคุณจะต้องเข้มแข็งมากกว่านี้ คุณดูสิ ทันทีที่เกิดเรื่องก็ไม่พูดอะไรเลย ยืนมองคนอื่นตบตีกันฉากใหญ่ ทำไมคุณไม่พูดว่าเจ้าตัวเล็กทั้งสองของคุณมีความเฉลียวฉลาดมากแค่ไหน แต่คุณกลับยอมรับผิดทำไมล่ะ ? ”
ในระหว่างนั้นก็มีตำรวจหญิงคนหนึ่งเดินผ่านมาทางด้านข้าง ตำรวจหญิงพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ๆ คุณเป็นแม่ที่รักหน้าตาตัวเองเกินไป ฉันจะบอกอะไรให้นะ คุณไม่ต้องทำอะไรทุกคนก็พร้อมใจกันสามัคคีแล้ว คนแบบนั้นเก่งแต่กับคนอ่อนแอ แต่อ่อนปวกเปียกกับคนที่แข็งแกร่ง”
หล่อนยังไม่หยุดพูด “ถ้าคุณจริงจังกับการสู้กว่านี้ ฉันยกให้คุณเป็นแม่เลย ! ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจแต่ไม่โต้แย้งกลับไป ทำได้เพียงพาเด็กทั้งสองกลับบ้านไปด้วยสีหน้าตึงเครียด อาจเพราะมีเรื่องเกิดขึ้นในช่วงนี้ค่อนข้างเยอะ จางฉุ้ยเหลียนจึงโดนกดดันจากทุกช่องทาง ได้รับความไม่เป็นธรรมมากมาย โกรธโดยที่ไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นตัวจุดชนวน วันนี้ก็ยังต้องมาหวาดกลัวจนฉี่เกือบราดกลางสถานีตำรวจอีก
แต่เมื่อเห็นคังคังและหูจิ่นเหมิงพี่น้องจอมแสบกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้ว่าสถานีตำรวจจะเป็นสถานที่ที่มักมีคนไปตะโกนด่าทอกันไม่เว้นแต่ละวัน อย่างน้อยก็ยังมีคนยึดมั่นในหลักคุณธรรมอยู่บ้าง
จางฉุ้ยเหลียนหมดแรงในทันใด จนถึงขั้นนึกภาพเด็กทั้งสองที่ไม่เกรงกลัวอันตรายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใช่ว่าเด็กสองคนจะไม่เติบโตตามช่วงอายุ แต่เหมือนยิ่งโตก็ยิ่งสร้างปัญหา
เธอไม่ได้เป็นห่วงหูจิ่นเหมิง แต่เป็นคังคังต่างหาก เธอไม่มีทางยอมให้เขากลายเป็นแบบนั้นเด็ดขาด เด็กจอมซนในรั้วโรงเรียนอนุบาลคนหนึ่ง ปากร้าย มือไว ถ้าวันนี้ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นคิดและตระหนักได้ วินาทีแรกที่หล่อนจะพูดคือต้องการพาเด็กไปตรวจร่างกายอย่างแน่นอน อย่างน้อยได้เห็นสมองที่ไม่ได้รับความกระทบกระเทือน หรือมีกระดูกส่วนไหนแตกหักบ้างหรือเปล่า
คนเป็นแม่คงจะวางใจไม่ลงจริง ๆ ต่อให้เรื่องทั้งหมดจบลงก็ไร้ประโยชน์ นัยน์ตาของหล่อนไม่ได้ฉายแววหนักแน่น เด็กคนนั้นเสียฟันหน้าไปเกือบครึ่งแต่กลับไม่เรียกร้องค่ารักษาพยาบาล โง่ไปไหม รู้ทั้งรู้ว่าต้องทะเลาะวิวาท มิน่าล่ะ เด็กคนนั้นถึงได้ถูกเลี้ยงดูแบบโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้
คังคังผลักลูกชายของหล่อนล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมจักรยาน จางฉุ้ยเหลียนขุ่นเคืองอยู่ในใจ ทันทีที่กลับถึงบ้าน ก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปในบ้านโดยไม่ได้ถอดรองเท้าแต่อย่างใด อันหลงเดินเข้ามาทักทายและถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ไม่สนใจ
เธอยื่นมือออกไปคว้ากางเกงและชายเสื้อของคังคัง ก่อนจะลากเข้าไปในห้องนอนราวกับลูกไก่ตัวน้อยพร้อมรองเท้าส้นสูงของเธอ จากนั้นก็ปิดประตูลงกลอน ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของคังคังดังออกมาจากด้านใน
อันหลงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รีบเข้าไปลากตัวหูจิ่นเหมิงที่มีสีหน้าไม่สู้ดีเข้ามาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ? ไปทำอะไรกันมา หล่อนถึงต้องตีลูกแบบนั้น ? ”
หูจิ่นเหมิงกัดริมฝีปากโดยไม่ตอบอะไร พอได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของคังคังดังมาจากในห้อง หล่อนก็ยิ่งรู้สึกละอายใจขึ้นไปอีก
หล่อนวิ่งมาทุบประตูทั้งน้ำตา “คุณน้า เป็นความผิดของหนูเอง ถ้าคุณน้าจะตีให้มาตีหนู อย่าไปตีน้องชายของหนูเลยนะคะ คุณน้า ขอร้องล่ะ อย่าตีเขาเลย เขาถูกคนอื่นรังแกมากแล้ว กลับมาบ้านก็ยังถูกทำโทษแบบนี้อีก มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย ! ”
อันหลงได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงทันที รีบดึงแขนเสื้อของหูจิ่นเหมิงมาถามให้รู้เรื่อง แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ร้องไห้ ซึ่งยิ่งทำให้กระวนกระวายราวกับมดที่เดินอยู่บนกระทะร้อน
จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยลงไม้ลงมือกับคังคังมาก่อน แม้ลูกจะถูกคนแก่ภายในบ้านให้ท้ายอยู่เสมอก็ตาม กระนั้นหล่อนก็ทำเพียงแค่ถลึงตาใส่เป็นการตำหนิกลาย ๆ จนตงลี่หวา เซี่ยจวิน รู้สึกขัดหูขัดตาทนไม่ได้ ถึงตรงนี้ใบหน้าของอันหลงก็แย่ลงกว่าเดิม
ตอนนี้ถึงกับปิดประตูตีลูก โดยไม่รู้ว่าเด็กจะอยู่ในสภาพแบบไหน อันหลงโกรธมากจึงโพล่งด่าตรงหน้าประตู ด่าไปพลางร้องไห้ไปพลางถามหูจิ่นเหมิงไปพลาง
หูจิ่นเหมิงถูกอันหลงทั้งหยิกทั้งผลักจึงยอมพูดความจริงในที่สุด เมื่อได้ยินความจริง อันหลงยิ่งปวดใจและหงุดหงิดเป็นที่สุด ตำหนิจางฉุ้ยเหลียนว่าไม่มีเหตุผล ไม่รู้เรื่อง อยู่ข้างนอกให้ท้ายลูก แต่พอกลับถึงบ้านก็ไม่มีเหตุผลกับลูกเสียอย่างนั้น ถึงอย่างไรคังคังก็เป็นลูกที่เธอคลอดออกมาเอง
ถึงแม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่เท้ากลับวิ่งออกไปราวพายุ ก่อนอื่นคือตรงไปยังประตูห้องถัดไปและตะโกนร้องเรียกตงลี่หวา “รีบมาห้องฉันเร็ว ฉุ้ยเหลียนตีคังคังแล้ว” จากนั้นก็โทรศัพท์ไปเรียกเซี่ยจวินให้รีบกลับบ้านโดยเร็ว เพื่อมาช่วยคังคังก่อน
ผ่านไปห้านาที ประตูห้องของจางฉุ้ยเหลียนก็ถูกเซี่ยจวินงัดจนเปิดออก อันหลงวิ่งเข้าไปอุ้มคังคังที่กำลังร้องห่มร้องไห้ออกไปข้างนอก ส่วนตงลี่หวาก็เข้ามาชี้หน้าด่าจางฉุ้ยเหลียนทั้งน้ำตา “ทำไมต้องตีลูกขนาดนี้ ? ”
เซี่ยจวินโกรธจนปาข้าวของลงพื้น ถลึงตาใส่จางฉุ้ยเหลียนและเข้าไปหาหลานชายตัวน้อยทันที
MANGA DISCUSSION