ตอนที่ 284 เธอมองหน้าฉันทำไม ?
จางฉุ้ยเหลียนนึกไม่ถึงว่ากู้จื้อเฉิงจะตัดความสัมพันธ์กับกู้เต๋อไห่อย่างเด็ดขาด
ในฐานะที่เป็นลูกสะใภ้ จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าควรพูดไกล่เกลี่ยอย่างไร ทำได้เพียงแค่โน้มน้าวกู้จื้อเฉิงอยู่ด้านหลัง ขอให้สามีอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้ากู้เต๋อไห่เกิดตกทุกข์ได้ยากขึ้นมาจริง ๆ คนที่เสียใจที่สุดก็คือเขา
กู้จื้อเฉิงหัวรั้นมาก คิดว่าการที่พ่อแม่หย่ากันเป็นเรื่องที่อันหลงสร้างขึ้นมาเอง ถึงแม้คนในตระกูลกู้จะไม่รู้ถึงปัญหามากมายเหล่านั้นก็ตาม แต่หลังจากหย่ากับแม่ กู้เต๋อไห่ก็แต่งงานใหม่ทันที เรื่องนี้ทำให้เขายากจะรับได้
ความจริงที่กู้จื้อเฉิงเชื่อมาจนถึงตอนนี้มีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือกู้เต๋อไห่ไปมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับผู้หญิงคนนั้นก่อนหน้านั้นแล้ว จนกระทั่งจางฉุ้ยเหลียนเสนอเหตุการณ์สมมุติราวกับฉากในละครออกมามากมาย “ถ้ากู้เต๋อไห่ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้หรือมีปัญหาอื่นที่ยากจัดการล่ะ ? ”
บัดนี้ กู้จื้อเฉิงเอือมระอามากทีเดียว “เป็นมะเร็งใกล้ตาย เลยต้องหาภรรยารองมาช่วยดูแลปรนนิบัติงั้นหรือ ? ทำร้ายคนอื่นโดยให้มาปรนนิบัติดูแลตอนใกล้ตาย ? ทำไมไม่คิดบ้างว่าครอบครัวที่ไม่สามารถอยู่กับพ่อในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจะเสียใจแค่ไหน ? แล้วยิ่งในเวลานี้ เขาไม่เพียงเห็นแก่ตัว ทั้งยังน่าสงสาร น่าเศร้าและน่าขำในเวลาเดียวกันอีก”
ได้ยินเช่นนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็หมดคำพูดทันที ทำได้เพียงเก็บกระเป๋าเดินทางอย่างเงียบ ๆ และพากู้จื้อเฉิงไปส่งที่สถานีรถไฟ
ตั้งแต่วันนั้น อันหลงก็ล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน เป็นหวัด มีน้ำมูก มีไข้ ไม่อยากอาหาร ส่วนกู้จื้อชิวก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่เหมือนเด็กสาวตัวน้อยที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีและเห็นแก่ตัวเหมือนเมื่อก่อน กลายเป็นคนเคร่งขรึมไม่ร่าเริง ไม่ชอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ได้แต่เฝ้าดูแลมารดาอยู่ในบ้าน
หูจิ่นเหมิงที่เห็นทุกการเปลี่ยนแปลงกับสองตาจึงดูสงบเสงี่ยมเช่นเดียวกัน ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งในโรงเรียน ไม่ออกไปสร้างปัญหาให้พี่สาว ไม่นานหูจิ่นเหมิงและกู้จื้อชิวก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอย่างไม่รู้ตัว ทั้งสองเป็นเด็กสาวที่อายุห่างกันเกือบ 6-7 ปี เนื่องจากประสบการณ์ในชีวิตคล้ายกันจึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง
“ฉันคิดว่าเธอน่าจะรู้จักคนที่ชื่อเจียงหยูเหวย หล่อนเป็นพนักงานขายในร้านพี่สะใภ้ของเธอด้วย หล่อนเก่งมากเลยนะ อายุมากกว่าฉัน และอายุน้อยกว่าเธอหลายปี” หูจิ่นเหมิงตัดสินใจแนะนำเพื่อนสนิทให้กู้จื้อชิวได้รู้จัก พวกหล่อนต่างก็เป็นนักแสดงหญิงใน ‘หนังโศกนาฏกรรม’ เมื่อมีชีวิตที่ไร้ความสุขเหมือนกัน ก็เลยมาอยู่กลุ่มเดียวกัน
กู้จื้อชิวมีความหยิ่งในตนเอง หลังจากที่เจอกับเจียงหยูเหวย ก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าสนใจอีกฝ่ายแต่อย่างใด ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กที่พ่อแม่แยกทางกันก็ตาม แต่ความเย่อหยิ่งที่ฝังลึกลงในกมลสันดานก็ยังมากกว่าเจียงหยูเหวยทีเดียว
หูจิ่นเหมิงมีคุณสมบัติมากพอจะกลายเป็นเพื่อนกับกู้จื้อชิวได้ แต่การเป็นเพื่อนกับหูจิ่นเหมิงมันคนละเรื่องกัน สิ่งที่หูจิ่นเหมิงและเจียงหยูเหวยเหมือนกันก็คือความคิดว่าตนนั้นเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่พระผู้สร้างโลกกำหนดมาให้พวกหล่อนเป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่ สาเหตุที่กู้จื้อชิวกลายเป็นเพื่อนกับหูจิ่นเหมิงได้เพราะมีส่วนคล้ายคลึงกันหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นด้านค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและด้านความคิด
จริง ๆ แล้วประเด็นสำคัญคือกู้จื้อชิวรังเกียจการมีปฏิสัมพันธ์กับคนแบบเจียงหยูเหวย ซึ่งอีกฝ่ายเป็นน้องสาวภรรยาของฟู่ซิน เด็กสาวที่ทำให้ฟู่ซินต้องบากหน้ามาขอที่อยู่อาศัยจากจางฉุ้ยเหลียนนั่นเอง
จางฉุ้ยเหลียนรับปากช่วยเขาโดยไม่รู้ตัว โลกใบนี้กำแพงมีหูประตูมีช่อง ทุกคนต่างรู้แก่ใจดี จนถึงขั้นแปลกใจว่าเขาต้องท้อแท้หมดหวังแค่ไหนจากพี่น้องทั้งสอง เขาจึงลุกขึ้นมา ‘ยืดเวลาชีวิต’ ออกไปได้อีกเช่นนี้
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ กู้จื้อชิวต้องกลับไปเรียนอย่างเต็มตัว ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาจิตใจของจางฉุ้ยเหลียนย่ำแย่มาก ไม่รู้ว่าทำไม ไม่ว่าจะเป็นอันหลงหรือกู้จื้อชิวต่างก็ปฏิเสธเงินที่จางฉุ้ยเหลียนหยิบยื่นให้ตลอด
ยิ่งจางฉุ้ยเหลียนคิดมากก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ มักรู้สึกวิตกกังวลต่อสองแม่ลูกคู่นี้อยู่บ่อยครั้ง เพราะเรื่องการหย่าร้างกัน หรืออาจเป็นเพราะทั้งคู่อยู่ในบ้านของเธอ จึงไม่อยากรับเงินที่จางฉุ้ยเหลียนหยิบยื่นให้อย่างตรงไปตรงมาอย่างนั้นหรือ ?
แต่เมื่อก่อนพวกหล่อนก็ไม่เคยให้จางฉุ้ยเหลียนควักเงินจ่ายเปล่า ๆ พวกหล่อนมักจะซื้อของเล่น เสื้อผ้า ของกินให้คังคังเป็นการตอบแทนเสมอ ในฐานะแม่สามี อันหลงจึงต้องอาศัยอยู่ในบ้านของเธอ การปรนนิบัติรับใช้ท่านเป็นสิ่งที่เธอสมควรทำ คนรอบข้างไม่พูดแต่ก็รู้ว่าในช่วงนี้กู้จื้อชิวมักออกไปซื้อผักและเนื้อเข้าบ้านอยู่เสมอ
สองแม่ลูกคู่นี้เป็นคนเข้มแข็งและรักหน้าตามาก ดังนั้น พวกหล่อนไม่มีทางยอมให้คนรอบตัวพูดว่าเกาะคนอื่นกินเด็ดขาด ในเวลานี้จางฉุ้ยเหลียนเองก็จนปัญญา ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้จึงทำได้แค่ให้พวกหล่อนมีสภาพจิตใจดีขึ้นเท่านั้น
กู้เต๋อไห่เคยไปหาลูกสาวก่อนที่หล่อนจะกลับไปเรียน แต่กู้จื้อชิวพยายามหลบหน้าไม่ยอมพบ สุดท้ายก็หมดปัญญา กู้เต๋อไห่จึงนำของที่ซื้อเตรียมไว้และเงินไปฝากไว้ที่เซี่ยจวินแทน
กู้จื้อชิวรับของนั้นมาโยนทิ้งโดยไม่แยแสและเดินเข้าตึกไป แม้แต่เงินก็ไม่ต้องการ พอจางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าหล่อนทำไม่ถูกต้อง จึงก้มเก็บเงินและสิ่งของเหล่านั้นขึ้นมายื่นให้อันหลงโดยไม่พูดอะไร
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กู้จื้อชิวจะไม่รับเงินหรือของจากกู้เต๋อไห่อีก จะไม่สนใจใยดีผู้ชายคนนี้ จะตัดขาดความเป็นพ่อลูกโดยปริยาย หลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็หมดปัญญาจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก คิดว่ารักแล้วจะสร้างปัญหาอย่างไรก็ได้หรือ แต่ในความเป็นจริง อันหลงยังห่วงใยกู้เต๋อไห่อยู่ อยากจะพูดโน้มน้าวลูก ๆ ให้ยอมรับความจริงเสียที
จางฉุ้ยเหลียนเห็นว่ากู้จื้อชิวรับเงินไปอย่างไม่สบอารมณ์ แต่วันที่ต้องไปเรียนกลับเลือกใส่ชุดกระโปรงสีแดงที่กู้เต๋อไห่ซื้อให้ จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่ากู้จื้อชิวจะพบกับกู้เต๋อไห่ในขณะเดินทางไปสถานีรถไฟหรือไม่ แต่เรื่องที่มั่นใจก็คือถ้ากู้เต๋อไห่เห็นกู้จื้อชิวใส่เสื้อผ้าที่เขาซื้อให้ ต้องรู้สึกปลื้มใจแน่นอน
จางฉุ้ยเหลียนชื่นชมวิธีการของอันหลงอย่างมาก ไม่พูดเรื่องไม่ดี ไม่พูดลับหลัง แต่เลือกชี้แนวทางให้ลูกเดินในทางที่ถูกที่ควร ไม่ว่าความเป็นสามีภรรยาจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ความเป็นพ่อแม่จะยังปฏิบัติต่อลูกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ยังไม่ทันรอให้จางฉุ้ยเหลียนได้พักหายใจ หูจิ่นเหมิงที่มักเดินทางไป-กลับระหว่างเมือง Q กับเมืองใหญ่ก็สร้างปัญหาขึ้นจนได้ หล่อนต้องอยู่ในเมืองใหญ่ แต่จู่ ๆ ก็กลับมาเมือง Q อย่างกะทันหัน หล่อนบังเอิญเจอกับตงลี่หวา ก็เลยถูกคะยั้นคะยอให้ไปทำอาหาร หล่อนตั้งใจนึ่งซาลาเปาให้ตงลี่หวา อีกทั้งยังอาสาไปรับคังคังที่โรงเรียนอีกด้วย
หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล ได้เห็นการทะเลาะกันของเด็กภายในโรงเรียน หูจิ่นเหมิงเลยหยิกเด็กคนนั้นโดยไม่คิด สุดท้ายก็ทะเลาะกับผู้ปกครองของเด็กเสียยกใหญ่
ในตอนที่จางฉุ้ยเหลียนมาถึงสถานีตำรวจ ก็เห็นว่าบรรดาผู้ปกครองของเด็กคนนั้นมารวมตัวกันพร้อมแล้ว เด็กน้อยแหกปากร้องไห้จนแสบแก้วหู ตรงกันข้ามกับหูจิ่นเหมิงและคังคังที่ยังนั่งนิ่งราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ” จางฉุ้ยเหลียนพุ่งเข้าไปหาทั้งสองด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พอเห็นผู้ปกครองของฝั่งนี้มาถึง บรรดาผู้ใหญ่ฝั่งนั้นก็ห้อมล้อมกันเข้ามา แล้วเริ่มตำหนิติเตียน พ่นคำด่าอย่างโกรธเคือง
ฝ่ายตำรวจเห็นเหตุการณ์ไม่ดีก็เดินมาจับทั้งสองฝ่ายแยกออกจากกัน จากนั้นก็ถลึงตาใส่บรรดาคนเหล่านั้น ก่อนจะตะโกนว่า “จะทะเลาะอะไรนักหนา ? ผู้ใหญ่ตั้งกี่คนเข้ามารุมเด็กสาวเพียงคนเดียว พวกคุณคิดว่ามันสมควรไหม ? ”
บางคนเกรงใจไม่กล้าพูด แต่ก็มีบางคนอดกลั้นไม่อยู่ รุดหน้าเข้ามาคว้าตัวจางฉุ้ยเหลียนไว้ จากนั้นก็ตะคอกจนน้ำลายกระเด็นใส่เธอ “มีสิทธิ์อะไรไม่ให้ฉันพูด ? พวกคุณก็เห็นว่าลูกของเราถูกทำร้ายจนช้ำขนาดไหน ? ลูกของหล่อนมันอันธพาลขนาดนี้ คุณตำรวจยังไม่คิดจะสนใจอีก”
ตำรวจเองก็ขุ่นเคืองไม่น้อย จากนั้นจึงหันไปพูดกับผู้ใหญ่ที่ไม่สะทกสะท้านคนนั้นว่า “ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกครับ ครอบครัวคุณเองก็ทำไม่ถูกต้อง ขนาดอยู่ในสถานีตำรวจยังแสดงท่าทางอวดดีถึงเพียงนี้ ซึ่งทำให้เห็นว่าพวกคุณก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไร เมื่อพวกคุณยังคิดจะลงไม้ลงมือกับเด็กอยู่เลย”
ยังไม่ทันพูดจบ ตำรวจที่ดูมีอายุและคาดว่าทำงานที่นี่มาหลายปีแล้วคนหนึ่งก็ตบโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะตักเตือนผู้ใหญ่กลุ่มนั้นว่า “สงบสติอารมณ์กันได้หรือยังครับ ? ถ้าไม่ได้ก็เข้าไปสงบในคุกสักครู่ไหม ! อะไรกันนักหนา โหวกเหวกโวยวาย ช่วยคงสมบัติผู้ดีกันหน่อยได้ไหม ? ”
ก่อนที่จางฉุ้ยเหลียนจะมาถึงสถานีตำรวจ พวกเขาก็ทะเลาะกันไปแล้วหนึ่งรอบ เมื่อเห็นว่าครั้งนี้พวกเขาจะเข้ามารุมผู้หญิงคนเดียว ตำรวจอาวุโสนายนั้นจึงสั่งให้ตำรวจชั้นผู้น้อยที่อยู่ข้าง ๆ ไปคุมคนเหล่านี้แบบประกบหนึ่งต่อหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างก็พากันตกใจ ยังไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้สร้างปัญหา มีสิทธิ์อะไรมาควบคุมเราแบบนี้ ? ตำรวจอาวุโสจึงพูดขึ้นว่า “เด็กสองคนในโรงเรียนอนุบาลเกิดทะเลาะกัน เด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งทะเลาะกับเด็กผู้หญิงจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต จำนวนพวกคุณเยอะกว่ายังกล้าแสดงท่าทางอวดดี เป็นมาเฟียกันหรือไง ? ”
ทันทีที่โพล่งคำเหล่านี้ออกมา ทุกคนถึงกับหายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว หยิ่งยโส ผยองตัวก็คงจะไร้ความหมาย หญิงชราจากฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้นิ่งดูดายแต่อย่างใด หล่อนเอ่ยปากพูดกับตำรวจด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเสียใจ แต่ก็ยังมิวายหันไปก่นด่าผู้หญิงคนหนึ่งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็กำลังโอ๋เด็กน้อยอยู่
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากมุมของห้องโถงใหญ่ จางฉุ้ยเหลียนหันไปมองเด็กทั้งสองของฝ่ายตน ก่อนจะยิ้มออกมาโดยไม่เกรงกลัว
“ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ” จางฉุ้ยเหลียนนั่งลงข้างกายหูจิ่นเหมิง มองไปทางตำรวจและพยักหน้าให้เล็กน้อย
ตำรวจคนนั้นจึงเปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่หยิบติดมือออกมา เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ให้จางฉุ้ยเหลียนฟัง
แม้คังคังจะยังเด็กแต่รูปร่างก็โตกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาชอบพูดและยังชอบฟ้องเป็นชีวิตจิตใจจนถูกเพื่อนในห้องขนานนามว่า ราชาจอมขี้ฟ้อง วันนี้ไม่รู้ทำไมถึงได้วิ่งมาในห้องที่เกิดเหตุได้
ตอนที่เด็กส่วนใหญ่กำลังทานอาหารมื้อเที่ยงกันอยู่นั้น คังคังก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งแอบเอาผักซ่อนไว้ด้านหลัง คังคังจึงคาบข่าวนี้ไปฟ้องครูอนุบาล คุณครูจึงเข้ามาตำหนิเด็กคนนั้นทันที
เด็กที่โดนตำหนิแสดงสีหน้าเศร้าหมอง นึกไม่ถึงว่าคังคังจอมซนจะวิ่งไปตรงหน้าของเด็กคนนั้นและพึมพำว่า “เราเป็นคนฟ้องครูเองแหละ เราจะคอยดูว่าหลังจากนี้นายทำผิดอีกไหม ? ”
เด็กคนนี้จึงจำคังคังได้ขึ้นใจ พอตกบ่ายเขาก็หาโอกาสเข้ามาทำร้ายคังคัง
หูจิ่นเหมิงมารับคังคังพอดี ครูท่านนั้นเห็นว่ามีเด็กโตมารับเด็กเล็ก จึงไม่ได้เอะใจ เพราะตั้งใจจะพูดกับผู้ปกครองของเด็กคนนั้นเอง ถึงอย่างไรเด็ก ๆ ก็ยังเล็กกันมาก เด็กที่ถูกรังแกในโรงเรียนอนุบาล ผู้ปกครองจะต้องรับรู้ด้วย
ครูไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าคังคังจะไม่พูด ตอนที่คังคังฟ้อง หูจิ่นเหมิงก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ทันทีที่ได้ยินว่าน้องชายถูกคนอื่นรังแก หล่อนจะทนอยู่เฉยได้อย่างไร ? เดิมทีหล่อนเป็นพี่สาวคนโตในโรงเรียน ที่เพิ่งย้ายมาเรียนได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น แต่ก็สามารถพลิกผันไปตามสถานการณ์ได้
หูจิ่นเหมิงจึงถือโอกาสตอนที่เด็กคนนั้นยังไม่ไปไหน รีบเข้าไปหยิกเขาอย่างแรง ไม่เพียงแค่ครั้งเดียวแต่หยิกถึง 2 ครั้ง ซึ่งก็ถูกผู้ปกครองที่มารับเด็กคนนั้นเห็นเข้าพอดี
แม่ของเด็กทนไม่ไหว จึงเข้าไปจับตัวหูจิ่นเหมิงไว้ ไม่ว่าเด็กจะทะเลาะกันหรือไม่ก็ตาม แต่เรื่องที่หล่อนทำร้ายลูกของตนคือความจริง ผู้ใหญ่หนึ่งและเด็กหนึ่งคน พูดไม่กี่ประโยคก็คงจบแล้ว
แต่หูจิ่นเหมิงกลับไม่ยอม ดวงตาเบิกกว้างจ้องผู้หญิงคนนั้นด้วยความโกรธ ผู้หญิงคนนั้นอุ้มเด็กขึ้นรถจักรยานพลางโพล่งคำพูดออกไปว่า “เธอมองหน้าฉันทำไม ? ”
หูจิ่นเหมิงจึงพูดว่า “มองตอนไหน ? ”
“ก็เธอมองฉันอยู่นี่ไง ? ”
“หนูมองป้า แล้วป้าจะทำไม ? ”
ผู้หญิงคนนั้นทนไม่ไหวอีกต่อไป ผละจากรถจักรยานและเดินมาตรงหน้าของหูจิ่นเหมิง ก่อนจะยื่นมือออกไปชี้หน้าด่าหูจิ่นเหมิงด้วยความโกรธ “มองไม่ได้ ! จะทำไม นังเด็กผี แกคิดว่าแกเป็นใครห๊ะ ? ”
เรื่องที่ทำให้หูจิ่นเหมิงหงุดหงิดมากที่สุดคือการโดนคนอื่นยกมือชี้หน้า จึงทนไม่ไหวยกหมัดขึ้นชกใส่หน้าอีกฝ่ายโดยไม่พูดไม่จา
เรื่องที่ทำให้จางฉุ้ยเหลียนโกรธมากที่สุดคือคังคัง พอได้รู้ถึงการกระทำของคังคังว่าตอนที่หูจิ่นเหมิงกับผู้หญิงคนนั้นทะเลาะกัน คังคังวิ่งมาหน้ารถจักรยานของผู้หญิงคนนั้น ออกแรงผลัก ส่งผลให้เด็กที่นั่งรอบนจักรยานล้มลงไปกับพื้นอย่างแรง…
MANGA DISCUSSION