ตอนที่ 280 หย่าร้าง
จางฉุ้ยเหลียนเล่าเรื่องนี้ให้กู้จื้อเฉิงฟัง เพราะอยากได้ยินวิธีแก้ปัญหาจากปากของเขา กู้จื้อเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “รู้แล้ว” พร้อมขอโทษทางโทรศัพท์จนจางฉุ้ยเหลียนรู้สึกไม่สบายใจ และรู้สึกว่ากู้จื้อเฉิงคิดว่าเธอดูแลพ่อแม่ของเขาได้ไม่ดีพอ
จริง ๆ แล้วเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้คือก่อนเธอจะโทรศัพท์มาเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน กู้เต๋อไห่ได้โทรหาเขาแล้ว ซึ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ต่างกันให้ฟัง แต่น้ำเสียงที่ได้ยินกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องราวที่ออกจากปากของกู้เต๋อไห่นั้นบ่งบอกว่าอันหลงต้องการหย่า อีกทั้งยังให้จัดการเรื่องโอนทรัพย์สินล่วงหน้าด้วย บิดาไม่มีปัญญาห้ามและไม่ยอมก้มหัวให้ใครก่อน พอกู้จื้อเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอกสั่นขวัญหายไม่น้อย จึงตัดสินใจว่าหลังคุยกับบิดาเสร็จจะโทรศัพท์ไปถามจางฉุ้ยเหลียนต่อ
แต่ในตอนนั้นเอง กู้จื้อเฉิงกลับได้ยินเสียงแผดแหลมออกมาจากปลายสาย มีทั้งเสียงหัวเราะ และยังมีเสียงคนพูดอะไรบางอย่างอยู่ข้าง ๆ ซึ่งทำให้รู้ได้ทันทีว่าเสียงเหล่านั้นเป็นของคนในตระกูลกู้
ในขณะที่นึกถึงความบาดหมางระหว่างมารดากับคนในตระกูลกู้อยู่นั้น ก็นึกถึงคำพูดที่ไม่ดีต่อกันมาเนิ่นนานหลายปีเหล่านั้น กู้จื้อเฉิงจึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถ้าขัดสนเรื่องเงินก็มาเอาจากผม อย่าไปกวนใจแม่ เรื่องเงินเราช่วยสนับสนุนได้ ถ้าไม่พอจริง ๆ ก็เซ้งร้านไปสักหนึ่งร้าน เราต้องเอาชนะเรื่องวุ่นวายนี้ให้ได้”
ในขณะที่พูด จู่ ๆ ก็มีคนแย่งโทรศัพท์ไป จากนั้นกู้จื้อเฉิงก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่บ่งบอกถึงความสูงวัยแสนคุ้นเคย “กู้จื้อเฉิงหรือ ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ นังหลานสะใภ้แพศยาคนนั้นน่ากลัวเกินไป หล่อนคอยยุยงส่งเสริมให้แม่ของแกเอาเงินให้หล่อน เสี้ยมสอนให้น้องสาวของแกใช้มีดข่มขู่ฉัน แกรีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ เอาเงินที่อยู่ในมือของเมียแกคืนมาด้วย ผู้หญิงน่ะ ได้ครอบครองเงินทองแล้วต้องสวมเขาให้แกแน่ ! ”
เมื่อได้ยินประโยคหยาบคายเล่านั้น กู้จื้อเฉิงก็โยนโทรศัพท์ออกไป แต่ยังข่มอารมณ์ไว้ ไม่ว่าฝั่งนั้นจะพูดอะไร ในใจของกู้จื้อเฉิงคิดว่าตราบใดที่คนในตระกูลกู้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ภรรยาก็ต้องเสียเปรียบอยู่วันยังค่ำ
เขาทอดถอนใจออกมา คุณย่าตระกูลกู้ได้แต่โวยวายอย่างไม่ถูกต้องสักเท่าไร ปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมไม่เป็นไปตามหลักอย่างแน่นอน ดังนั้นบ้านของเขาจึงแตกร้าวเป็นเสี่ยงเช่นนี้
กู้จื้อเฉิงปลอบใจตัวเองสักพัก จนกระทั้งกดรับสายของจางฉุ้ยเหลียน และออกความคิดเห็นอย่างเงียบ ๆ เขารู้สึกว่าเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนพูดนั้นเป็นความจริง รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่เรื่องที่มารดาต้องเผชิญหน้าและสู้กับคนฝั่งนั้นถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ตาม
ตอนรับสายของจางฉุ้ยเหลียน เขาได้ยินเสียงที่พูดออกมาอย่างประหม่าจากปลายสาย ซึ่งทำให้เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ถึงอารมณ์ของกู้จื้อเฉิง เธออยากจะถามออกไปแต่ก็ไม่กล้า จึงทำได้เพียงแค่รอปฏิกิริยาตอบสนองของอันหลงเท่านั้น เธอคิดว่ามันง่าย ถึงอย่างไรทั้งสองก็อายุปูนนี้แล้ว ไม่ควรให้การหย่าร้างเป็นจุดจบที่น่าเวทนาสำหรับพวกเขา ไม่คุ้มกับคนรุ่นนี้เลย
เพียงแต่ใครจะคาดคิดว่ากู้เต๋อไห่โทรศัพท์มารายงานเรื่องหย่า อีกทั้งยังไปหาอันหลงที่ร้านหนังสืออีกด้วย พออันหลงเห็นใบหย่าก็รู้สึกเย็นวาบในจิตใจทันที เธอไม่ได้ปรึกษากับลูกสาวแต่อย่างใด แล้วเดินทางไปทำเรื่องหย่าแค่เพียง 2 คนเท่านั้น
แม่เฒ่าเฝิงก็เป็นหนึ่งในคนที่คิดไม่ถึงเช่นกัน กู้เต๋อไห่ไม่ได้บอกใครแม้แต่คนเดียว ทั้งสองปรึกษาเรื่องการแบ่งทรัพย์สมบัติกันอย่างเงียบ ๆ ซึ่งก็เป็นตามที่บอกไว้ก่อนหน้านั้น เงินเป็นของคังคังและร้านหนังสือร้านเป็นของกู้จื้อชิว
ทันทีที่จางฉุ้ยเหลียนและกู้จื้อชิวเห็นใบหย่าที่อันหลงวางไว้บนโต๊ะน้ำชาก็ตกใจจนพูดไม่ออก ในสมองของจางฉุ้ยเหลียนเต็มไปด้วยเสียงโกรธของกู้จื้อเฉิง แถมยังจินตนาการไปถึงว่าต้องมีการทำเอกสารปลอมขึ้นมาอีกด้วย
กู้จื้อชิวนึกไม่ถึงว่าตนจะกลายเป็นเด็กที่พ่อแม่แยกทางกันเพียงชั่วข้ามคืน จึงถามคำถามโง่ ๆ ออกไป “แล้วหนูกับพี่ชายจะแบ่งกันยังไง ? พ่อได้ตัวพี่ชาย แม่ได้ตัวหนูงั้นหรือ ? ”
อันหลงเห็นท่าทางตกใจของลูกสาว จึงยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของลูกอย่างปวดใจ “ลูกคิดว่านี่คือปัญหาของลูกหรือ ? ไม่ช้าก็เร็วเราสองคนต้องมาเดินมาถึงจุดนี้อยู่แล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางที่กำลังตำหนิมาจากลูกสะใภ้ อันหลงก็ได้แต่ทอดถอนใจ “นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าเราไม่แยกทางกัน ครอบครัวจะไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต แบบนี้ดีแล้ว เงินเดือนพ่อของลูกก็จะได้ให้พวกเขาไปจัดการกันเอง อย่างน้อยลูกก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม่รู้แค่นี้ก็พอแล้ว”
กู้จื้อชิวยังไม่เข้าใจ ในตอนนั้นเองจางฉุ้ยเหลียนจึงเกิดความคิดดี ๆ ขึ้น เธอนึกย้อนกลับไปในอดีต มีหลายคู่แกล้งหย่าเพียงเพื่อแบ่งบ้านแบ่งสมบัติกัน พ่อแม่ของสามีจะทำเช่นนั้นหรือไม่ ?
จางฉุ้ยเหลียนโพล่งถามออกไป สภาพจิตใจที่อ่อนแอของอันหลงจึงแผ่ขยายออกมา “วันนี้เขามาหาแม่ที่ร้านแล้วกล่าวโทษแม่สารพัด เราอยู่กินกันมานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ต้องเป็นฝีมือของแม่เฒ่าที่บีบบังคับจนเขาหมดหนทาง เมื่อหมดหนทางจึงมาขอหย่ากับแม่”
ในขณะที่คิดถึงภาพเหตุการณ์ที่กู้เต๋อไห่พูดจาเมื่อเช้านี้ ก็ทั้งโกรธทั้งเสียใจปนเจ็บปวดโดยไม่อาจอดกลั้นได้ กระนั้นก็ไม่ได้เป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ถ้าฝ่ายชายเป็นคนขอหย่าเอง เธอจะนิ่งเฉยไม่ทำตามได้หรือ ? ตอนนั้นเธอก็พูดจาไม่ดีกลับไปไม่น้อย ด้วยความที่อยู่กันด้วยความรักมานานหลายปีย่อมเจ็บปวดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“พ่อของเธอก็ไม่ง่ายเช่นกัน คุณย่าน่ะจิตใจโหดเหี้ยม เขาต้องร้องห่มร้องไห้เพราะโดนกล่าวว่าเป็นต้นเหตุทำให้พ่อโดนฆ่าตาย คุณย่าของพวกเธอไม่ค่อยเต็มใจเลี้ยงเขานัก ตอนเด็ก ๆ เท่าที่จำความได้ เขาไม่ได้กินข้าวดีสักมื้อ” เมื่อนึกถึงตรงนี้ อารมณ์ความโกรธของอันหลงก็มลายหายไปมากทีเดียว แม้เป็นเรื่องที่เล่าซ้ำไปซ้ำมา จางฉุ้ยเหลียนและกู้จื้อเฉิงได้ฟังรอบที่ร้อยแล้ว
“โทษพ่อไม่ได้นะคะ เรื่องราวทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ตอนนั้นพ่อยังเป็นเด็กอยู่ด้วย เขาจะไปเข้าใจอะไร ? ” จางฉุ้ยเหลียนอดพูดแทนกู้เต๋อไห่ไม่ได้ ถึงแม้รู้ว่าไม่มีประโยชน์ก็ตาม
ต่อมากู้เต๋อเปิ่นได้เข้าร่วมต่อต้านการรุกรานของเกาหลี กู้เต๋อไห่จึงกลายเป็นเสาหลักของบ้าน ตอนที่เขายังอายุแค่เพียง 12-13 ปี เขาต้องทำงานอย่างหนักอยู่ในชั้นใต้ดินราวกับลาที่ใช้แรงงาน หลังสู้แสงอาทิตย์จนผิวหนังไหม้เกรียม แต่ก็ไม่เคยปริปากบ่น
พี่น้องเหล่านั้นได้เติบโตกันอย่างช้า ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านล้วนเป็นกู้เต๋อไห่จัดสรรปันส่วนให้ใช้ด้วยกัน ยกเว้นเรื่องเงินเท่านั้น แม่เฒ่าเฝิงไล่เขาออกไปทำงาน ไม่อนุญาตให้นอนหรือกินอย่างสบายอารมณ์อยู่ในบ้าน ตอนนั้นกู้เต๋อไห่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ในใจ แต่เขาก็คุ้นชินกับชีวิตแบบนั้นไปแล้ว
ในบรรดาพี่น้องที่ไม่มีอนาคตมากที่สุดก็คือเขา พี่น้องคนอื่นล้วนมีอนาคตสดใส พี่ใหญ่กู้เต๋อเปิ่นเป็นเจ้าหน้าที่ราชการในหน่วยงานรัฐ และปักหลักอยู่ในบ้านตระกูลอันตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ส่วนพี่น้องคนอื่นถ้าไม่เกาะอยู่ข้างกายแม่เฒ่าเฝิงอย่างซื่อสัตย์ ก็คงถูกส่งไปเป็นช่างไม้ กู้เต๋อไห่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่โง่ ๆ อยู่ในบ้าน ไม่มีเงินไม่มีภรรยาไม่มีแม้แต่งานเป็นหลักเป็นแหล่ง
ต่อมาเขาก็ออกจากบ้านเพื่อเป็นทหาร โชคชะตานำพาให้มารู้จักกับอันหลงที่มีครอบครัวสมบูรณ์พร้อมโดยบังเอิญ ทั้งสองคบหาดูใจกัน ทว่าในตอนนั้นเอง แม่เฒ่าเฝิงอยากให้กู้เต๋อไห่แต่งงานกับผู้หญิงที่ตนถูกใจ
ตามความคิดของคนรุ่นเก่าและคำพูดของแม่สื่อ หากมารดาเห็นว่าดีก็ต้องไปแต่งงานมีลูกด้วยกัน แต่กู้เต๋อไห่มีอันหลงอยู่เต็มหัวใจ อีกทั้งคนในครอบครัวตระกูลอันก็ดีแสนดีอีกด้วย
ถึงแม้จะมีเรื่องมากมาย แต่คนในตระกูลอันก็ให้เกียรติกู้เต๋อไห่เสมอ การให้ความเคารพ การยอมรับ การชื่นชม การประจบสอพลอ ต่างก็เป็นเรื่องที่กู้เต๋อไห่ไม่เคยได้รับทั้งสิ้น
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง การได้พบกับหญิงสาวที่ทั้งงดงามและใจกว้าง ใครบ้างจะไม่ใจเต้นแรง การได้รู้จักผู้หญิงที่มีความรู้มากมายอย่างอันหลง เขาไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามและว่ากล่าวเขาเป็นกวางน้อยโง่ ๆ จากชนบทเลยสักครั้ง
เมื่อกู้เต๋อไห่กลับมาถึงบ้าน ก็เจอกับผู้หญิงหน้ารูปไข่ แต่งแต้มสีสันชนิดที่ว่าแดงระเรื่อไปทั้งหน้าเพื่อมาดูตัวโดยเฉพาะ หล่อนสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตนวมสีเขียวตัวใหญ่ ทำผมเปียหยาบ ๆ ทั้งสองข้าง เห็นแล้วรู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะอย่างบอกไม่ถูก มองอย่างไรก็เทียบชั้นกับอันหลงไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ
อันหลงสวมชุดกระโปรงตัวยาว ส่งผลให้ดูมีเอวบางร่างเล็ก แถมแต่งแต้มใบหน้าให้น่าดึงดูด นอกจากนี้ยังแสดงอากัปกิริยานอบน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่นเสมอ ไม่มีสิ่งใดจะเอื้อนเอ่ยต่อหญิงสาวที่ไร้ความรู้และไม่น่าสนใจตรงหน้า นอกจากจ้องเขม็งไปทางนิ้วเท้าของตน แล้วหล่อนก็ถามว่า “คุณหาเงินได้เดือนละเท่าไหร่ ? ต่อไปฉันต้องตามไปอยู่ในเมืองด้วยใช่ไหม แม่ฉันบอกว่าจะให้คุณหางานให้ฉัน”
กู้เต๋อไห่รู้สึกต่อต้านอยู่ในใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้า จึงใช้วิธีการน่ารังเกียจมากวิธีหนึ่ง นั่นก็คือการโกหกว่าเขาได้คุยเรื่องแต่งงานกับอันหลงไปแล้ว ต่อไปอาจจะต้องช่วยเหลือกัน แม่เฒ่าเฝิงไม่เคยผ่านโลกกว้างมาก่อน แถมยังได้ยินว่าในเมืองมักมีคนที่วัฒนธรรมไม่เหมือนกัน เธอมีท่าทางครุ่นคิดอยู่หลายวินาที แต่ก็ไม่ยอมเชื่อ
นึกไม่ถึงว่ากู้เต๋อไห่จะนำทะเบียนสมรสกลับมาบ้านจริง ๆ เรื่องราวทั้งหมดจึงจบลง จากนั้นตลอดหลายสิบปี อันหลงก็ไม่เคยหยุดโดนรังแก กู้เต๋อไห่จึงต้องรู้สึกผิดตลอดชีวิต
“ครั้งนี้พ่อหย่ากับแม่แล้วจริง ๆ เพื่อให้คุณย่าของหนูสบายใจ พ่อกับแม่ต้องหย่ากันไม่ถูกหรือ ? ” อันหลงเองก็ตอบว่าถูกหรือผิดไม่ได้ เพราะกู้เต๋อไห่ไม่ได้พูดเรื่องนี้มาก่อน
กู้จื้อชิวรู้ว่าตัวเองทำเกินไป หล่อนจึงหาโอกาสเข้าไปขอโทษกู้เต๋อไห่และถามเขาว่าจะทำอย่างไรต่อไป
กู้เต๋อไห่เห็นลูกสาวเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางอ่อนโยน ก็แสดงสีหน้าดีอกดีใจราวกับไม่ได้พบกันมานาน พอได้ยินจุดประสงค์ของลูกสาว เขากลับพูดอย่างไม่พอใจว่า “พ่อกับแม่มีความรู้สึกที่ดีต่อกันจริง ๆ แต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยทะเลาะกัน จนกระทั้งครั้งนี้ถึงขั้นต้องหย่าร้าง ทั้งหมดไม่ใช่เพราะคุณย่าของลูก แต่เป็นเพราะอารมณ์โกรธของพ่อด้วย แม่ของลูกก็ทำเกินไป รวมกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้าน ไอ้หยา ถึงอย่างไรสามีภรรยาก็หย่ากันไปแล้ว พวกลูกเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตอนนี้แม่ของลูกอยู่กับพี่สะใภ้ พ่อก็วางใจ”
ก่อนหน้านี้กู้จื้อชิวมีความมั่นใจเต็มร้อยว่ากู้เต๋อไห่จะพูดกับเธอว่า ‘เพื่อให้คนเหล่านั้นไม่มาสร้างปัญหาอีก พ่อกับแม่จึงต้องหย่ากันชั่วคราว’
แต่นึกไม่ถึงว่ากู้เต๋อไห่จะหย่ากับมารดาจริง ๆ เมื่อได้ยินมือและเท้าของกู้จื้อชิวก็อ่อนกำลังลง ไม่รู้ว่าต้องตอบกลับไปอย่างไร
“พ่อกับแม่ได้ปรึกษากันแล้วว่าเราจะแบ่งเงินที่อยู่ในบ้านให้พี่น้องอย่างเท่าเทียม พวกเธอได้อยู่กับพี่สะใภ้แบบนี้ก็สบายใจ พ่อกลับต้องได้อยู่ในบ้านโกโรโกโสเพื่อดูแลคุณย่า” กู้เต๋อไห่พูดขึ้นส่วนกู้จื้อชิวจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วทุกคนพร้อมใจมาที่บ้านโดยบิดาไม่ได้เชิญ
เหมือนนกพิราบบินมายึดรังของนกกางเขนโดยไม่บอกล่วงหน้า กู้จื้วชิวจึงโกรธขึ้นมาทันทีและมองไปทางกู้เต๋อไห่ด้วยสายตาเย็นชาและไม่รู้จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
หล่อนเดินออกมาจากห้องทำงานของกู้เต๋อไห่ จากนั้นก็ตรงไปในห้องนอนของตนทันที จนกระทั่งเห็นคุณย่านอนดูโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟา นอกจากนี้ก็ยังมีคุณป้าใหญ่ที่นั่งซักผ้าอยู่ และกู้เต๋อเปิ่นที่เดินยิ้มร่ามาพร้อมกับเข็มขัด
“เสี่ยวชิว เธอกลับมาได้อย่างไร ? ” เกาลี่ม่านแผดเสียงออกไปด้วยความตกใจ “ก็ไหนบอกว่าตามแม่ออกไปสร้างปัญหาข้างนอกไม่ใช่หรือ ? ”
กู้จื้อชิวไม่สนใจพวกเขา นอกจากเดินเข้ามาหยิบของบางอย่างที่ต้องใช้ออกมา แต่ก็ต้องพบกับตู้เสื้อผ้าของสองแม่ลูกที่โดนรื้อกระจุยกระจายอย่างไม่ปรานี จนกระทั่งเกาลี่ม่านเดินมาจากห้องรับแขก เธอจึงถามว่า “ใครให้เธอแตะต้องของส่วนตัวฉัน ? ”
นัยน์ตาของเกาลี่ม่านฉายแววกระวนกระวายเล็กน้อย จากนั้นก็พึมพำขึ้นว่า “ใครมาแตะต้องของเธอ ฉันไม่รู้ ! ”
กู้จื้อชิวชี้หน้าเกาลี่ม่าน “เสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่ก็เป็นเสื้อผ้าของแม่ฉัน!”
เกาลี่ม่านหน้าแดงด้วยความอับอาย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลอยหน้าลอยตาราวกับลูกนอกสมรส “ฉันใส่เสื้อผ้าของแม่เธอ แล้วจะทำไม ? ”
“เธอเหมาะกับเสื้อผ้าที่แม่โละทิ้งจริง ๆ!” กู้จื้อชิวยิ้มเยาะออกมา “เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เธอมีโอกาสได้ครอบครองของใช้ที่ชำรุดของแม่ฉันเพราะพ่อหย่ากับแม่ไปแล้ว และทรัพย์สมบัติทุกชิ้นก็ทุกแบ่งแล้วเรียบร้อย”
หลังจากที่โพล่งประโยคนี้ออกมา ทุกคนในตระกูลกู้ก็ลุกฮือขึ้นมาในชั่วพริบตา
MANGA DISCUSSION