ตอนที่ 279 ทรงเกียรติ
ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องทุกอย่างจะมีจุดจบเช่นนี้ นั่นคือภาพที่กู้เต๋อไห่เปิดประตูให้หญิงทั้งสามออกไป ส่วนสมบัติที่ทุกคนต่างแก่งแย่ง กู้เต๋อไห่ไม่ได้บังคับให้อีกฝ่ายแบ่งสมบัติแต่อย่างใด
อันหลงเชิดหน้าเดินออกไปด้วยท่าทางหยิ่งผยองราวกับไก่ชนที่ชนะการแข่งขัน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนเดินตามหลังของสองแม่ลูก พร้อมครุ่นคิดอยู่ในใจว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กู้จื้อเฉิงฟังอย่างไรดี เนื่องจากคิดมากเกินไปผลลัพธ์ที่ได้จึงยากเกินกว่าจะรับไหว เธอรู้สึกเป็นกังวลมากทีเดียว
เมื่อกลับถึงบ้าน อันหลงรีบไปปรับทุกข์กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันทันที ซึ่งตงลี่หวากลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับให้ปรับทุกข์เรื่องไม่ได้รับความเป็นธรรม กู้จื้อชิวขังตัวเองอยู่ในห้องนอนของพี่สะใภ้ไม่ยอมออกมา จางฉุ้ยเหลียนคาดคะเนได้ว่าอีกฝ่ายต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่
ตงลี่หวาถึงกับใบ้รับประทาน ไม่รู้จะหาคำพูดที่เหมาะสมแบบใดมาเกลี่ยกล่อม จึงทำได้เพียงทอดถอนใจและตำหนิว่าคนในตะกูลกู้ทำเกินไป ส่วนกู้เต๋อไห่ก็เลอะเลือน ไม่รู้อะไรเป็นอะไร
อันหลงร้องไห้อยู่สักพัก จากนั้นก็ปาดน้ำตา และเอ่ยขอที่ใส่เอกสารหนังสีน้ำตาลเพื่อเก็บเอกสารข้อตกลงจากจางฉุ้ยเหลียน แล้วยื่นให้ตงลี่หวา “นี่เป็นที่ดินที่ฉันใช้เงินก้อนสุดท้ายซื้อมา ให้เป็นชื่อของคังคัง ฉุ้ยเหลียนเป็นเด็กหูเบาและมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก หากมีคนพูดอะไรที่ทำให้โกรธหรือรู้สึกไม่ดี หล่อนก็จะโยนเรื่องนี้ไปให้คนอื่น ฉันฝากสิ่งนี้ไว้กับเธอก็จะเบาใจมากกว่า”
ตงลี่หวามองที่ใส่เอกสารหนังสีน้ำตาลนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนเผือกร้อนกำลังลวกมือ แต่อย่างไรก็ต้องรับ ไม่รับก็ไม่ได้
อันหลงนำซองใส่เอกสารยัดใส่มือตงลี่หวา ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำใส “นี่เป็นของที่ฉันเก็บไว้ให้คังคัง เธอก็ช่วยเก็บให้หลานหน่อยแล้วกัน ตอนนี้ครอบครัวของฉันเกิดเรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด อาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นก็ได้ ถ้าฉันต้องหย่ากับเสือเจ้าเล่ห์จริง ๆ สมบัติที่มีในตอนนี้ก็ไม่รู้จะแบ่งกันอย่างไร”
ตงลี่หวาจะเห็นแก่ตัวได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนมีรายได้มากมายก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่งานที่มีหลักค้ำประกัน ความเป็นผีดูดเลือดตะกละตะกลามของตระกูลกู้ไม่ต่างจากลาที่ดื้อรั้นของตระกูลเซี่ยสักนิด ทรัพย์สมบัติที่ให้คังคังจึงถือเป็นหลักค้ำประกันส่วนหนึ่งของจางฉุ้ยเหลียน
หลังทั้งสามจากไปแล้ว ภายในบ้านตระกูลกู้ก็เกิดหายนะครั้งใหญ่ขึ้น ทุกคนต่างเข้ามาโน้มน้าวกู้เต๋อไห่ ไม่ว่าอย่างไรต้องนำเงินก้อนนั้นกลับมาให้จงได้ กู้จื้อชิวอกตัญญูต่อบิดา และยังมีอีกหลายคนด่าประณามอันหลงว่าไม่ดีอย่างโน้นไม่ดีอย่างนี้ อีกหลายคนพากันตบหน้าอกให้สัญญาว่าจะเลี้ยงดูกู้เต๋อไห่ยามแก่เฒ่า
ผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง กู้เต๋อไห่กลับรู้สึกแก่ลงอีกหลายปี คนในตระกูลกู้พากันถกเถียงหาเหตุผลที่เหมาะสม แถมยังเข้ามาอยู่ในบ้านอีกด้วย ใครควรจะนอนบนเตียงก็ไปนอน ใครนอนบนพื้นได้ก็นอนบนพื้นไป
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ในครัวมีอะไรให้กินก็กิน ไม่มีผักก็ต้มบะหมี่ ไม่มีใครยอมออกไปซื้อของกินในร้านสะดวกซื้อแม้แต่คนเดียว แถมยังมีคนบ่นกระปอดกระแปดว่าอันหลงทำให้ลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ แม้แต่ผักดองก็ไม่มีเหลือ พวกเขากินได้แค่บะหมี่น้ำใสเท่านั้น
กู้เต๋อไห่ไม่ได้นอนหลับสนิทมาหลายคืนแล้ว เขาเอาแต่นั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องนอนของกู้จื้อชิว กวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อระลึกถึงช่วงวัยเด็กของกู้จื้อชิว โชคดีที่ทุกคนยังรู้จักคำว่ามารยาท รู้ว่ากู้เต๋อไห่ไม่สบายใจ จึงไม่มีใครเข้าไปรบกวนแต่อย่างใด
กู้เต๋อไห่เปิดโคมไฟและจมอยู่ในห้วงความคิด เอาแต่ทอดถอนใจ อีกทั้งยังขุ่นเคืองที่กู้จื้อชิวเอาแต่ใจและไม่รู้จักคิด
เขาครุ่นคิดไปถึงอนาคตที่ต้องหย่าร้างกับภรรยา กู้จื้อชิวเคยบอกพี่สะใภ้ว่ามารดาชอบโดนดูถูก คิดว่าหากตัดสินใจหย่า อันหลงคงสามารถใช้ชีวิตที่มีความสุขได้ แต่ถ้าแยกกันอยู่โดยไม่ได้หย่ากันเพื่อลูก แล้วตัดสินใจนำเงินที่เหลืออยู่ในบ้านมาแบ่งกันให้จบ ก็รู้สึกว่าลูกต้องอยู่ในครอบครัวที่แตกแยกกันได้หรือ
คิดไปคิดมาท้องฟ้าก็สว่าง นอกประตูมีเงาคนลุกไปเข้าห้องน้ำกันบ้างแล้ว มีเสียงกดชักโครกดังขึ้นจากในห้องน้ำเป็นระยะ เดี๋ยวก็มีเสียงคนเปิดโทรทัศน์ในห้องรับแขก
กู้เต๋อไห่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องครัว ยังไม่ถึง 06.00 น. คนที่อยู่ข้างนอกก็เริ่มสนทนาจอแจขึ้นมาแล้ว พวกเขาหัวเราะหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้เลย
“แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก” ไม่ใช่เสียงเคาะประตู แต่เป็นเสียงคนจับลูกบิดจากด้านนอก เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น “คุณอาสี่ ตื่นหรือยังครับ?”
กู้เต๋อไห่ลืมตามองเพดานเงียบ ๆ เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายที่อยู่ข้างนอกจึงดังขึ้นอีกครั้งว่า “ดูท่าจะยังไม่ตื่น เคาะประตูแล้วก็ไม่มีเสียงตอบรับเลย”
ถึงจะพูดอยู่หลายประโยค แต่กู้เต๋อไห่ก็ยังแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นเสียงของหลานคนไหน ซึ่งเขาเองก็ขี้เกียจจะตอบกลับไป ในเมื่อเรียกว่าคุณอาสี่ ก็น่าจะเป็นหลานคนที่สอง
“อาสี่ รีบออกมาจากห้องดีกว่า ไม่รู้ว่าห้องน้ำเป็นอะไร ชักโครกก็กดไม่ลง” ทันทีที่เสียงของกู้เต๋อเปิ่นสิ้นสุดลง ก็ได้ยินเสียงแม่เฒ่าเฝิงตวาดอยู่หน้าประตู “แกรีบ ๆ โผล่หัวออกมาเลยนะ ในบ้านจะไม่มีอะไรกินกันอยู่แล้ว คนอื่นมาบ้านของแก แต่ไม่มีอะไรต้อนรับแขกได้หรือ”
เกาลี่ม่านตะโกนออกมาจากในครัวว่า “ไอ้หยา ให้พี่สี่นอนต่ออีกสักหน่อยเถิดค่ะ ในครัวยังมีบะหมี่ หนูต้มบะหมี่ให้ทุกคนได้กินแล้ว”
แม่เฒ่าเฝิงตะโกนออกไปว่า “กินแต่บะหมี่ทุกวัน ใครจะยอม แถวบ้านก็ไม่มีแม้แต่เสียงดังจอแจในตลาดตอนเช้าให้ได้ซื้อผลไม้และขนมเปี๊ยะโรยหน้าด้วยงาสักนิด”
เมื่อพูดจบก็ยื่นมือออกไปเคาะประตูอีกสองสามครั้ง ถึงกระนั้นกู้เต๋อไห่ก็ไม่ส่งเสียงตอบกลับ เสียงจอแจของทุกคนจึงค่อย ๆ เงียบลง ดูเหมือนว่าคนในบ้านจะหากิจกรรมบางอย่างทำกันในห้องรับแขกแล้ว
กู้เต๋อไห่นอนพลิกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น สุดท้ายก็เด้งตัวขึ้นและเดินไปเปิดประตู จึงเห็นว่าทุกคนกำลังกินอาหารอยู่ในห้องรับแขก เสียงซดบะหมี่ดังสลับกันไปมา
เมื่อเห็นเขาออกมา ก็มีคนลุกขึ้นอย่างฉับพลัน ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “ไอ้หยา คุณอาสี่ตื่นแล้ว มากินอาหารเช้าด้วยกันสิครับ!”
แม่เฒ่าเฝิงมองใบหน้าซีดเซียวของกู้เต๋อไห่ สุดท้ายก็อดด่าทอออกมาไม่ได้ “ท่าทางไร้อนาคตสิ้นดี แค่เรื่องไม่มีลูกสะใภ้ หย่าร้างกับภรรยาในตอนอายุมาก คิดว่าอยู่ไม่ได้เลยหรือ? แกมีงานทำ ถ้าเกษียณก็มีเงินหลังเกษียณ ค่อยหาผู้หญิงที่เด็กกว่า มันไม่ง่ายกว่าหรือ?”
กู้เต๋อไห่ขมวดคิ้วอย่างฉับพลัน พร้อมมองไปทางทุกคนด้วยความรู้สึกเย็นชา จากนั้นก็เดินตรงไปทิ้งตัวบนโซฟาอย่างหนักหน่วง
เกาลี่ม่านเก่งในเรื่องของการสังเกตสีหน้าคนอื่น แค่อยู่ในเหตุการณ์เช่นนี้ก็มองท่าทางของกู้เต๋อไห่ออกแล้ว ดวงตาของเธอกลอกไปมา จากนั้นก็ถามหยั่งเชิงออกไปว่า “น้องสี่ ถ้าต้องหย่ากับภรรยาจริง ๆ จะทำอย่างไรต่อไป เธอสองคนก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย น้องไม่ต้องโกรธหรอก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง หลานชายของน้องก็โตขนาดนั้น ตัดกันไม่ขาดหรอก!”
แม่เฒ่าเฝิงดูเหมือนไม่เข้าใจ พอเห็นสะใภ้คนโตพูดจาไร้สาระก็อดถลึงตาใส่ไม่ได้ จากนั้นก็เบะปากดูถูกแล้วตะโกนว่า “หย่า อย่างไรก็ต้องหย่า แกพูดมาสิว่ากู้จื้อชิวถูกอบรมสั่งสอนจนมีสภาพแบบไหน ? หล่อนทำไปเพื่ออะไร แกก็เห็นว่าไม่ต้องมีเรื่องสร้อยข้อมือที่ขายไป นังสะใภ้ตัวแสบก็แผลงฤทธิ์ได้ เหอะ คงเห็นว่ามีคนนอกอยู่ด้วย พวกหล่อนจึงส่งเสริมซึ่งกันและกัน ฉันจะบอกให้ว่าหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีหรอก”
เกาลี่ม่านเห็นด้วยกับแม่สามีมาก จึงพูดคล้อยตามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “นั่นน่ะสิ ไม่มีอะไรใครจะมานั่งเช็ดฝุ่นทาแป้งกลบเกลื่อนความผิด แสร้งทำตัวเป็นคนดี”
กู้เต๋อไห่ยิ่งทอดถอนใจหนักเข้าไปอีก “เอาล่ะ หยุดพูดได้แล้ว หย่าก็หย่า ยิ่งหย่าเร็วก็ยิ่งมีความสุขเร็วขึ้น”
ทุกคนไม่รู้ว่าประโยคที่เขาพูดออกมานี้หมายถึงอันหลงหรือตัวเองกันแน่ เขามองไปยังคนที่อยู่ตรงข้ามซึ่งออกอาการสงสัยแต่ก็ยังไม่พูดอะไรออกมา กู้เต๋อไห่จึงพูดต่อ “อันหลงพูดถูก อายุอานามปาไปตั้งเท่าไรแล้ว ยังจะสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โตอีก หล่อนเอาเงินในบ้านให้คังคังก็ไม่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร ฉันเองก็มีหลานชายแค่คนเดียว อย่างไรทุกอย่างในบ้านก็ต้องตกเป็นของเขา”
แม่เฒ่าเฝิงใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที บ่นพึมพำอย่างไม่พอใจอยู่เงียบ ๆ จนกระทั้งได้ยินกู้เต๋อไห่พูด “ฉันขายสินสอดที่มีค่าที่สุดของเสี่ยวชิวไปแล้ว แม่ของหล่อนน่าจะยกร้านหนังสือให้เสี่ยวชิว”
“แกก็ตัวเปล่าเลยหรือ ? ยังเหลือสิทธิ์ในอะไรบ้าง ? ” เกาลี่ม่านอดตะโกนเสียงแหลมออกไปไม่ได้ แต่เมื่อถูกกู้เต๋อเปิ่นถลึงตาใส่จึงก้มหน้าข่มอารมณ์ไว้
กู้เต๋อไห่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเหม่อลอย จากนั้นก็ก้มหน้าพึมพำกับตนเอง “ฉันยังมีบ้าน แต่พี่สะใภ้ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง”
แม่เฒ่าเฝิงเบะปากรังเกียจ “แสร้งทำตัวน่าสงสาร ไม่มีอะไรเลยแต่อวดดีได้ถึงขนาดนี้หรือ ? ฉันว่าหล่อนต้องมีเงินเก็บแน่ ๆ หล่อนไม่ได้มีความสามารถมากมายขนาดนั้น เอาแบบนี้ แกชิงฟ้องศาลก่อนเลย ทำให้ยุ่งเหยิงเข้าไว้ ดูว่าศาลจะเห็นใจใคร”
เดิมทีกู้เต๋อไห่ไม่ได้สนใจมารดานัก เขาหันไปมองกู้เต๋อเปิ่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หัวคิ้วขมวด “เอาแบบนี้แล้วกัน ไหน ๆ ก็ต้องใช้ชีวิตแบบแก่ ๆ แถมต้องหย่าร้างอยู่แล้ว”
กู้เต๋อเปิ่นกวาดตามองไปทางเด็กรุ่นหลังที่อยู่ในบ้าน ไม่อยากบอกว่าตนก็รู้สึกเหนือความคาดหมายจริง ๆ นี่ไม่ใช่เจตนาเดิมของเขาเลย แต่เรื่องราวยิ่งไม่ยุติธรรมเข้าไปทุกที อยากจะเอ่ยโน้มน้าวสักประโยคสองประโยค ก็หาเหตุผลดี ๆ มาหักล้างไม่ได้เลย
แม่เฒ่าเฝิงไม่พอใจมาก “ไอ้คนไม่มีอนาคตอย่างแก ยังจะหวังอะไรได้อีก ? แกไม่มีไหวพริบ บ้านนี้ยังเป็นของแก แต่ไม่ช้าก็เร็วแกต้องเสียมันให้สะใภ้เลวทรามคนนั้น”
สายตาที่กลอกไปมากลับสะท้อนถึงแผนการร้ายอย่างฉับพลัน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความฮึกเหิมที่ไม่อาจปิดบังได้ “ไม่เช่นนั้น แกยกบ้านให้ฉันสิ ฉันจะดูแลต่อเอง ไม่อย่างนั้นหล่อนต้องพูดขึ้นมาว่าลูกไม่มีเงิน หลานชายไม่มีเงินแล้ว ให้แกยกบ้านให้แน่”
เกาลี่ม่านมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที ถึงขนาดพยักหน้าหงึกหงักพร้อมฉีกยิ้มปานจะถึงใบหู “ใช่ใช่ ให้คุณแม่ช่วยดูแล ต่อไปไม่ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็จะได้มีเงินไว้จัดการปัญหาได้”
แม่เฒ่าเฝิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตนแสนฉลาดและมีไหวพริบดีมากทีเดียว รีบกระตุ้นให้กู้เต๋อไห่ตกลง “ทำไมแกยังลังเลกับแม่อยู่อีกล่ะ ? ฉันจะทำร้ายแกได้หรือ ? ”
จบประโยคหนึ่งก็รีบพูดต่อโดยไม่เว้นช่วง “ถึงอย่างไรก็ต้องหย่าอยู่แล้ว บ้านนี้ก็ใหญ่โตไม่สู้ให้ฉันย้ายมาอยู่ ถ้าไม่มีอาหารการกิน ก็ให้พี่สะใภ้ใหญ่ทำมาส่งก็ได้”
กู้เต๋อไห่ไม่สนใจสักเท่าใด จึงสะบัดมือและพูดออกไปโดยไม่คิดอะไรมาก “อยากทำอะไรก็ทำ ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
เมื่อเห็นว่าเขากลับเข้าห้องนอนและปิดประตูลงกลอนแล้ว แม่เฒ่าเฝิงก็ยิ้มอย่างลำพองใจ จากนั้นจึงพูดกับกู้เต๋อเปิ่นว่า “ต่อไปพวกเธอทั้งสองก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันเลย ที่นี่มีพื้นที่มากกว่าหลังก่อน เธอให้สองสามีภรรยาเจี้ยนจวินไปอยู่ที่นั่นแทน”
กู้เต๋อเปิ่นไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ตอบตกลงแต่อย่างใด ในตอนนั้นเองใบหน้าของสะใภ้เว่ยหงก็แสดงความไม่สบายใจออกมา “ไม่ดีหรอก คุณอาสี่ก็ไม่ได้บอกว่าจะหย่าด้วย บ้านเราใช่ว่าไม่มีพื้นที่เสียหน่อย…”
แม่เฒ่าเฝิงจึงถลึงตาใส่และด่าอย่างไม่พอใจ “เธอมีปัญหาอะไร เธอจะคิดยังไงต้องตามใจสินะ”
กู้เจี้ยนจวินรีบดึงสะใภ้ของตนทันที จากนั้นก็ก้มหน้ากระซิบด้วยเสียงเบา ๆ เกาลี่ม่านไม่ชอบสะใภ้คนรองที่ ‘คอยเข้ามาสอดมาแทรกช่วยเหลือคนอื่น’ และรู้สึกว่าหล่อนโง่มากอีกด้วย
เกาลี่ม่านรีบอธิบายอย่างไม่พอใจว่า “คุณย่าไม่ได้โกรธคุณอาสี่หรอก ถึงจะทะเลาะกันบ้าง แต่ทุกคนในบ้านก็ยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ ? เธอมองออกหรือว่าอาสะใภ้กับภรรยาของกู้จื้อเฉิงเป็นคนแบบไหน ? หากคุณย่าไม่ช่วยเรื่องบ้าน สุดท้ายคุณอาสี่จะไม่เหลืออะไรเลย ! ”
สะใภ้เว่ยหงถูกแม่สามีตักเตือนต่อหน้าทุกคน หล่อนจึงก้มหน้าโดยไม่อยากสนใจ เกาลี่ม่านพูดจบก็หันไปทางแม่เฒ่าเฝิงอย่างประจบ “แม่ แม่อายุมากขนาดนี้ ในบ้านต้องมีผู้หญิงที่อายุน้อยกว่ามาช่วยทำงานบ้าน อาสี่จะมาทำงานบ้านได้อย่างไร หนูกับสะใภ้จะอยู่ที่นี่เพื่อทำอาหารให้เอง ! ”
ปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปไม่ได้ อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่าบ้านจะเป็นของใคร !
MANGA DISCUSSION