ตอนที่ 278 หย่าร้าง
จางฉุ้ยเหลียนเห็นกู้จื้อชิวเคาะประตูได้ไม่นานนัก อันหลงก็เปิดประตูออกมา ใบหน้าของหญิงสูงวัยกว่าเศร้าหมอง ดวงตาบวมเป่ง บ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง
อันหลงถือกระเป๋าสีดำใบหนึ่งไว้ พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนก็สูดน้ำมูกเล็กน้อย ในเวลานี้กู้เต๋อไห่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก เขายังคงยืนกอดอกจ้องเขม็งไปทางอันหลงจากในห้องนั่งเล่น
แม่เฒ่าเฝิงจึงรีบเด้งตัวขึ้นจากที่นั่ง พร้อมกับชี้หน้าด่าอันหลงอย่างไม่ลดละ “เธอคิดจะทำอะไร ? ถ้าคิดจะจากไป ทำไมไม่รีบไปตั้งแต่แรก ? เธอจะเอาแบบนี้ใช่ไหม ได้ วันนี้ทุกคนพร้อมใจกันสู้เต็มที่ เธอจะออกไปพ้นประตูนี้ได้อย่างไร ? ”
ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะก้าวออกไปก็ไม่ได้ จะถอยกลับก็ไม่ได้อีก ในฐานะลูกสะใภ้นับว่ายากมากกับการเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้ รู้เพียงแค่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ การจะไปหรือไม่ไป ล้วนเป็นการทำร้ายแม่สามีทั้งสิ้น
จวนจะเข้าข่ายทหารกบฏ ถึงจะรักษาความเป็นกลางไว้ แต่ร่างกายก็ก้าวเข้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง วิธีการเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้คือสงบปากสงบคำ แล้วปล่อยให้กู้จื้อชิวทำหน้าที่ต่อไป
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนคิดได้แบบนี้ ก็เดินไปหลบข้างหลังของอันหลงทันที ตอนนี้กู้จื้อชิวมีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ดุจวีรสตรีในตำนานอย่างมู่กุ้ยอิง เป็นผู้กล้าเพียงหนึ่งเดียวแห่งตระกูลกู้
“คุณย่าไม่ให้หนูออกไป คิดว่าตัวเองเป็นใครคะ ? ” กู้จื้อชิวเบิกตากว้างจนลูกตาแทบถลนออกมา หล่อนเบนไปทางตัวปัญหาอย่างกู้เต๋อไห่ “พ่อจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้หนูออกไป หนูก็จะออกไปอยู่ดี พ่อจะยอมหรือไม่ยอม หนูไม่สน เพราะถึงอย่างไรหนูจะไม่มีวันยอมพ่อ ! ”
กู้เต๋อไห่เจ็บปวดอย่างมาก นึกไม่ถึงว่าคำพูดแต่ละคำของลูกสาวจะเปรียบเหมือนมีดแหลมคมกรีดลงบนเนื้อได้ขนาดนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นความจริง อันหลงถือกระเป๋าเดินทางออกไปจากบ้านต่อหน้าต่อตาของทุกคน
ผู้ชาย รักในศักดิ์ศรีและหน้าตาของตน ยิ่งอยู่ต่อหน้าญาติพี่น้องในตระกูลกู้เช่นนี้ มีหรือจะยอมก้มหัวโดยง่าย
เขายื่นมือออกไปชี้หน้าผู้หญิงทั้งสามคน แล้วด่ากราด “ไสหัวไป หลังจากไสหัวไปจากบ้านหลังนี้ก็อย่าหวังจะกลับมาเหยียบอีก ! ”
อันหลงได้ยินก็ผลักลูกสาวที่ยืนขวางด้านหน้าออกไป จากนั้นก็เดินกลับไปหาสามีและยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งไปตรงหน้าเขา “นี่คือใบหย่า คุณนำไปยื่นที่อำเภอคนเดียวได้เลย เพราะฉันไม่อยากไปกับคุณ ส่วนเรื่องบ้านจะแบ่งกันอย่างไร ไหน ๆ ญาติพี่น้องของตระกูลก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ก็มาเคลียร์กันให้จบ ๆ ไปเลย”
ทุกคนในตระกูลกู้ตะลึงงันทันที นึกไม่ถึงว่าอันหลงจะทำเช่นนี้ แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว บางทีอันหลงอาจทำไปเพื่ออยากเอาชนะก็ได้ โวยวายขอหย่าต่อหน้าคนในตระกูลกู้ คนข้างกายก็ไม่ได้พูดอะไร แม่เฒ่าเฝิงเป็นผู้อาวุโสสุด ณ ที่แห่งนี้ อันหลงเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย กรณีถูกอันหลงทำให้อับอายเสียชื่อเสียง ไม่สู้พุ่งชนไปให้รู้ดำรู้แดงเสียดีกว่า
คิดได้เช่นนี้ แม่เฒ่าเฝิงก็กลับไปนั่งตรงโซฟาอีกครั้ง ถอดรองเท้า นั่งขัดสมาธิ และเริ่มร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาทันที “ตาเฒ่า คุณรีบมาดูเลยนะ ลูกสะใภ้คนนี้ไม่รู้จักกตัญญูต่อเราเลย”
เกาลี่ม่านก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าบรรดาพี่น้องและสะใภ้ในตระกูลจะเล่นแผนสูงแบบนี้ เนื่องจากเป็นบ้านของตนจึงทำให้กู้เต๋อไห่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากข่าวแพร่ออกไป พวกเขาจะมีหน้าไปเจอผู้คนอีกหรือ ? บรรดาญาติพี่น้องก็ไม่ควรเข้าไปยุยงตัวการสำคัญไหมล่ะ ?
ครั้งนี้ต้องกดดันลูกสาวนายทุนอย่างอันหลงให้จงได้ ไม่เช่นนั้นต่อไปจะไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้อีก ที่หล่อนโวยวายไม่ใช่เพียงแค่สร้อยข้อมือเส้นนั้น สร้อยข้อมือแล้วอย่างไร? นี่คือหลักฐานบ่งชี้ถึงการใช้อำนาจกดขี่ของสังคมระบอบศักดินา หล่อนยังมีหน้ามาพูดอีกหรือ เหอะ!
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เกาลี่ม่านก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จากนั้นจึงเดินไปข้างหน้าพร้อมกระชากกระดาษที่อยู่ในมือสั่นเทาของกู้เต๋อไห่
เธอกวาดสายตามองตัวอักษรเป็นระเบียบในใบหย่าแผ่นนั้น แล้วอดหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาไม่ได้ กล้าใช้กลอุบายนี้หลอกคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ลงคอ หากทั้งสองอยากหย่าร้างกันจริง ๆ ก็น่าจะเซ็นยินยอมไปตั้งนานแล้ว
ผู้นำขององค์กรเก่าแก่ที่อายุไปตั้งเท่านี้แล้ว จะปล่อยให้หย่าร้างกันได้อย่างไร ? แม้ส่งคนมาโน้มน้าวแล้วก็ตาม แต่ก็แค่ 3-5 ครั้ง ทำไมต้องปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อมากว่าสี่เดือนด้วยล่ะ เพื่อลูก เพื่อหน้าตา เพื่อชื่อเสียง เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
เกาลี่ม่านยื่นใบหย่าให้สามีของตนดู จากนั้นก็เดินมากระซิบข้างหูของแม่สามีแซ่เฝิงที่กำลังร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดยั้งเบา ๆ ทันทีที่แม่เฒ่าเฝิงได้ยินก็ครุ่นคิดตาม ก่อนจะปาดน้ำตา เอาคราบสกปรกเช็ดไปบนโต๊ะน้ำชา ฝ่ายจางฉุ้ยเหลียนที่เห็นภาพนั้นก็รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนขึ้นมาทันที
“ถ้าอยากหย่าจริง ๆ คิดจะแบ่งสมบัติกันไหม ? ฉันจะบอกเธอไว้นะ เงินทุกหยวนในบ้าน เธอไม่สามารถเอาออกไปได้” เกาลี่ม่านเดินไปตรงหน้า เท้าสะเอวแสดงความฉุนเฉียวไม่น้อย แม่เฒ่าเฝิงจึงค่อย ๆ เบียดเข้าไปใกล้กู้เต๋อไห่ ลูกสะใภ้คนนี้ช่างกล้าหาญไม่น้อย
อันหลงไม่หันไปมองกู้เต๋อไห่ด้วยซ้ำ นอกจากพยักหน้ายอมรับเงียบ ๆ “ฉันอยากหย่า แล้วตอนนี้จะเอาอย่างไร ? ”
ได้ยินอันหลงพูดเช่นนี้ กู้จื้อชิวก็ชะงัก หล่อนผลักเกาลี่ม่านที่ยืนขวางข้างหน้าออกไป ก่อนจะถามขึ้นว่า “เขามีความสำคัญอะไร ให้เขามาจัดการเรื่องในครอบครัวของเราได้อย่างนั้นหรือ ? ”
เดิมทีเกาลี่ม่านไม่ใช่คนที่จะรับมือกันได้ง่าย ๆ พอเห็นกู้จื้อชิวและแม่ร่วมมือกับเด็กผู้หญิงอีกหนึ่งคน เดิมทีก็ไม่ได้สนใจสักเท่าใดอยู่แล้ว เธอลากกู้จื้อชิวออกไปจากบ้านตระกูลกู้ แต่ถูกกู้จื้อชิวผลักไส พอทรงตัวได้เธอก็กลับมาเตรียมสู้อีกครั้ง
กู้จื้อชิวเคยเห็นคนตระกูลกู้โหดร้ายกับมารดามาตั้งแต่เด็ก หล่อนจึงไม่เคยยิ้มและปฏิบัติดีต่ออาวุโสเหล่านั้นเลยสักครั้ง เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ หล่อนจึงยืนหยัดปกป้องมารดาอยู่ข้างหน้า
เมื่อเห็นเกาลี่ม่านยังคิดจะลงมือทำร้ายกัน หล่อนจึงหมุนตัวและวิ่งเข้าไปในห้องครัว จากนั้นก็หยิบมีดหั่นผักเฉือนเนื้อออกมา ซึ่งได้สร้างความตกใจแก่อันหลงจนต้องกรีดร้องเสียงหลง พอได้สติก็รีบวิ่งเข้าไปแย่งมีดจากมือของลูกสาว
กู้จื้อชิวหันปลายมีดชี้ไปทางเกาลี่ม่านแล้วแผดเสียงออกไปว่า “ถ้ายังคิดทำร้ายฉันอีกก็ลองดู วันนี้ฉันจะเฉือนเนื้อแสนเน่าเฟะของเธอออกมา ฉันจะเป็นคนเดียวที่ทำลายแซ่ของเธอ”
อังหลงตกใจจนน้ำตาไหลพราก “หยุดเถิดลูกรัก วางมีดลงนะ แม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว วางมีดลงเถิด เราจะไม่ทำตัวเหมือนพวกเขา ไปอยู่กันแบบเรา ๆ ดีกว่า”
ในเวลานั้น ขาของจางฉุ้ยเหลียนก็อ่อนแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ได้แต่ยืนโน้มน้าวอยู่ข้าง ๆ “ถ้าเธอทำร้ายเขา เธอจะแตกต่างจากพวกเขาหรือ ? อนาคตของเธอ อนาคตของเขา ถ้าพวกเขาเปลี่ยนเป็นเธอ ก็คงกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน”
เมื่ออันหลงได้ยินก็รีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที “ใช่แล้ว พี่สะใภ้ของลูกพูดถูก พวกเขาเทียบอะไรกับลูกไม่ได้เลย ลูกจะกลายเป็นเหมือนพวกเขาทำไม อย่าทำเรื่องให้แย่ลงมากกว่านี้เลย ส่งมีดคืนให้แม่!”
กู้เต๋อเปิ่นที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายคนโต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวของตน ตั้งแต่เข้ามาในบ้านจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ปริปากพูดออกมาสักคำ พอเห็นเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ เขาก็อดทนไม่ได้อีกต่อไป จึงตะคอกใส่กู้เต๋อไห่ทันที “ยังไม่ห้ามลูกสาวอีก หล่อนเป็นนักศึกษาไม่ใช่หรือ ? หล่อนจะสู้กับใคร ? ”
กู้เต๋อไห่เจ็บปวดต่อการกระทำของลูกสาวมาก เขารุดเข้าไปโน้มน้าวกู้จื้อชิวว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม พอกู้จื้อชิวเห็นกู้เต๋อไห่เดินเข้ามา เนื่องจากคิดว่าเขาจะมาทำร้าย จึงยิ่งเกิดความหวาดกลัว หันคมมีดมาจี้บนลำคอของตนในที่สุด
ด้วยความตกใจ อันหลงถึงกับทรุดลงไปกับพื้น จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบเข้ามาประคองแม่สามีไว้ ก่อนจะเงยหน้ามองแล้วเห็นว่ากู้จื้อชิวอยู่ในท่าที่จะทำร้ายตัวเองแล้ว ส่งผลให้คนในตระกูลกู้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
“หนูจะบอกอะไรให้ ถ้าหนูตายที่นี่ วันนี้ เป็นเพราะพวกคุณลุงคุณป้าบีบบังคับให้หนูต้องตาย ถ้าตายไปจะไม่มีใครได้ใช้ชีวิตสงบสุขแน่นอน ถึงตอนนั้นหนูจะกลายเป็นผีชุดแดงมาเอาชีวิตของพวกคุณลุงคุณป้าทุกคน” พูดจบก็ส่งยิ้มเย็นยะเยือกให้แม่เฒ่าเฝิง “คนแรกที่ต้องตายคือยายแก่จอมลวงโลกคนนี้ ตามด้วยนังผู้หญิงปากร้ายที่คอยเสี้ยมเขาควายให้ชนกันคนนั้น”
ได้ยินเช่นนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ตกใจมาก เธอรู้ว่าอีกฝ่ายเคยอ่านนวนิยายของตน ตัวละครที่อยู่ในเรื่องได้ทำเพื่อบรรลุเป้าหมายด้วยการฆ่าตัวตายและกลายเป็นผีชุดแดงสร้างความหวาดกลัวแก่ทุกคน
ครั้งหนึ่ง กู้จื้อชิวเคยพูดเล่นแบบสนุกว่าเธอเคยเห็นผู้หญิงสวมชุดแดงมาก่อน ซึ่งตอนนั้นเธอกลัวมาก
นึกได้ถึงตรงนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็รีบยืนขึ้น จากนั้นก็พูดโน้มน้าวอีกฝ่ายอย่างใจเย็นว่า “เสี่ยวชิว อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเลยนะ เด็กสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานและคิดฆ่าตัวตายจะไม่มีใครพาวิญญาณลงนรกภูมิหรอก เธอจะต้องกลายเป็นวิญญาณเดียวดาย ล่องลอยไปทุกหนทุกแห่งโดยไม่สามารถกลับชาติมาเกิดได้”
อย่าเพิ่งมองเกาลี่ม่านและกู้เต๋อเปิ่นเลย ทั้งสองมักพูดเสมอว่าตนนั้นเป็นวีรชนผู้กล้า น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากปากช่างไพเราะน่าฟัง วันนี้เป็นเนื้อร้ายในระบบศักดินา พรุ่งนี้เป็นงูพิษในระบบนายทุน แต่เมื่อมีคนป่วยในบ้านกลับไม่ยอมพาไปโรงพยาบาล แล้วภาวนาให้บรรพชนผู้ล่วงลับคุ้มครองแทน
ในตอนที่คังคังป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ พอเกาลี่ม่านได้ยินก็โทรศัพท์หาอันหลงทันที แล้วบอกว่าอาวุโสในบ้าน (ที่ล่วงลับไปแล้ว) อยากจะไปเยี่ยมหลาน แล้วไหว้วานให้อันหลงไปยังหลุมศพของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อได้ยินประโยคของจางฉุ้ยเหลียนนี้ พวกเขาจึงเชื่อ กู้เต๋อไห่มองไปยังท่าทางเตรียมจะฆ่าตัวตายของกู้จื้อชิว จากนั้นก็หมดแรงจนทรุดลงไปกองกับพื้นไม่ต่างจากอันหลง
ในเมื่อไม่กล้าพุ่งไปห้ามลูกสาว และไม่กล้าเอ่ยปากยอมรับผิด เขาจึงทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อและพูดออกไปว่า “ทำสิ ทำเลย!” แล้วรีบเดินหนี
ทว่าน่าเสียดายเพราะทันทีที่เขาเดินออกจากบ้าน แม่เฒ่าเฝิงที่คุ้นเคยกับเรื่องตลกเป็นทุนเดิมก็มองขาดอย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นจึงส่งสายตาไปทางน้องชายคนเล็ก เฝิงจ่างเปาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขาเกลียดพี่สาวแซ่เฝิงคนนี้มาก แต่สุดท้ายก็ยอมเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของกู้เต๋อไห่กลับมา
“นังเด็กไม่รู้จักคิด เธอกำลังขู่ใคร ? คิดว่าเรากลัวพวกเธอหรือ ? ถ้าอยากตาย วันนี้ก็ตายไปคนเดียว!” แม่เฒ่าเฝิงพูดเช่นนี้กลับสร้างความหวาดกลัวแก่กู้เต๋อไห่ไม่น้อย
“พูดอะไรของแม่ ? แม่ทำแบบนี้ได้ยังไง ? ” กู้เต๋อไห่ผลักหญิงชราออกไป จากนั้นก็พูดกับกู้จื้อชิวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีราวกับกินมะระว่า “ลูกรัก ลูกอย่าสร้างความปั่นป่วนให้พ่อได้ไหม ? อย่าบีบบังคับพ่อเลย!”
กู้จื้อชิวโต้กลับเสียงดังว่า “คุณไม่ใช่พ่อของหนูแล้ว คุณเลือกคนอื่น คุณทำร้ายแม่ คุณไม่สนใจหนู ดังนั้นคุณไม่ใช่พ่อของหนูอีกต่อไป”
เมื่อกู้เต๋อไห่ได้ยินกลับไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เขาก้าวเข้าหาพร้อมน้ำตาไหลริน “บรรพบุรุษ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ! ”
กู้จื้อชิวไม่ได้สนใจ เธอหันไปมองจางฉุ้ยเหลียน ในตอนนั้นเองหัวใจของเธอเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างฉับพลัน พี่ชี้แนะแนวทางให้ฉันคิดตาม ทำให้คนอื่นคิดได้
เป็นดั่งที่คาดการณ์ไว้ มีคนตะโกนร้องเสียงแหลมออกมา “อย่างนี้นี่เอง ที่แท้เธอก็มีแผนร้ายในใจ แกล้งทำตัวเป็นคนดี แต่จิตใจชั่วช้าเลวทราม”
จางฉุ้ยเหลียนแยกออกว่าเสียงร้องแสบแก้วหูนั้นเป็นเสียงของสะใภ้ตระกูลกู้คนไหน แต่มั่นใจได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน คนแบบนี้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่งของตระกูลกู้เลยทีเดียว
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้จางฉุ้ยเหลียนพูด ก็ได้ยินเสียงพูดของอันหลงดังขึ้นมาเบา ๆ “ในบ้านหลังนี้มีส่วนที่เป็นของพวกเธอ เราสามคนไม่ต้องการ แถมเงินที่อยู่ในบ้าน เราก็ใช้ซื้อที่ดินบนภูเขาให้คังคังไปแล้ว นี่เป็นเงินของคังคัง ลูกสาวของฉันก็ยังไม่แต่งงาน ฉันเหลือเพียงแค่ร้านหนังสือร้านเดียวเท่านั้น ต่อไปต้องหาคนที่เหมาะสมมารับช่วงต่อกิจการ ร้านหนังสือร้านนี้เป็นสินเดิมเพียงอย่างเดียวที่ฉันจะยกให้ลูกสาว”
พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าในบ้านไม่มีเงินเหลือแล้ว อันหลงทำเหมือนตัวเองขาดทุนมาก กู้เต๋อไห่ก็คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะมาถึงจุดนี้ การหย่าร้างในสมัยยังวัยรุ่นเป็นเรื่องยากสำหรับเขามาก ไม่มีเหตุผลใดต้องทำให้สองคนหย่าร้างกัน หวังได้ใช้ชีวิตเหมือนเดิมเรื่อยไป
ทุกชีวิตล้วนมองไปทางกู้เต๋อไห่ จากนั้นก็หันไปมองอันหลงด้วยสีหน้าเว้าวอน แม่เฒ่าเฝิงรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปด้านหน้าเพื่อขวางลูกชายเอาไว้ และด่ากลับไป “ไสหัวไป เหลือไว้แต่เรื่องราวดี ๆ ฉันไม่รู้ว่าหลายปีนี้เธอใช้เงินตัวเองมากแค่ไหน แต่ถ้าอยากได้ร้านหนังสือ ฉันบอกเลยว่าไม่มีทาง ! ”
MANGA DISCUSSION