ตอนที่ 266 หมอผีเข้ามายุ่ง
จางฉุ้ยเหลียนมองใบหน้าอันไร้เดียงสาและงุนงงของเช่าหวาด้วยความขบขัน เธออดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมาและยกมุมปากกับคำถามของอีกฝ่าย
เช่าหวาชินชากับท่าทีนี้ของจางฉุ้ยเหลียนมานานแล้ว ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนยังไม่ได้แต่งงาน หล่อนยังกล้าตะโกนใส่เธออยู่บ้าง แต่หลังจากที่เธอแต่งงานออกจากเรือนไปแล้ว ความมั่นใจของเธอก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนตัวหล่อนกลับยิ่งตกต่ำลง จนไม่กล้าแยกเขี้ยวกางกรงเล็บออกมาแต่อย่างใด
“แม่คิดว่าพวกเขาจะเห็นใจแม่อย่างนั้นหรือ ? สุดท้ายพวกเขาก็หัวเราะเยาะลับหลังแม่กันทั้งนั้นแหละ หลังจากนั้นพวกเขาก็จะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปทั่ว อีกทั้งยังตีไข่ใส่สีเพิ่มเข้าไปอีกด้วย ! ” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนทำให้เช่าหวาไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี เพราะหล่อนก็คิดว่า มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในตอนนั้นหล่อนออกเดินทางไปด้วยความหยิ่งทะนง แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน หล่อนก็กลับมาพร้อมกับเนื้อตัวที่สกปรก และนั่นมันก็เป็นอะไรที่น่าอับอายจริง ๆ
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “อย่าเอาแต่คิดว่าจะทำยังไงให้คนอื่นอิจฉาตัวเองเลย แม่คิดถึงความเป็นจริงหน่อยเถอะ พอแม่กลับไปที่บ้านแล้ว แม่ก็ทำความสะอาดภายในและภายนอกบ้านให้สะอาดเรียบร้อย การที่แม่ปล่อยให้บ้านเละเทะสกปรกแบบนั้นมันจะไปมีโชคลาภอะไร ? และการที่บ้านสกปรกจะถือว่ามีฮวงจุ้ยที่ดีได้อย่างไร ? ถึงแม้ว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภจะมาเยือนที่บ้านของแม่ แต่พอเขาได้เห็นสภาพแบบนั้น เขาก็คงจะไม่พอใจหรอก ! ”
สำหรับคำพูดไร้สาระของจางฉุ้ยเหลียน จางกว่างฝูก็พยักหน้าเห็นด้วยให้รัว ๆ และไม่กล้าเถียงอะไรเธอกลับสักคำ
หลังจากที่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกกลับไปแล้ว ตงลี่หวาก็หยิบเสื้อผ้าสกปรกสองสามตัวออกมาจากห้องครัว หล่อนถือเสื้อผ้าพร้อมกับขมวดคิ้ว อีกทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจออกมาอีกว่า “ไอ้หยา เสื้อผ้านี่มีเหาติดอยู่ด้วย รีบเอาไปโยนทิ้งเถอะ เดี๋ยวเหาจะมากัดเด็กเอา”
แต่เรื่องราวต่อจากนั้นมันกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิด เธอหวังเอาไว้ว่าหลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนกลับไปแล้ว พวกเขาจะปิดปากเงียบ และทำความสะอาดบ้านทั้งนอกและใน ส่วนจางฉุ้ยจวินก็คงจะสำนึกผิด คิดทบทวนตัวเองอย่างเงียบ ๆ ในฐานะพี่สาวอย่างเธอมีหรือที่จะทำตัวแล้งน้ำใจ ไม่หางานให้เขาทำ
แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่ทั้งสามคนกลับไปที่บ้านแล้ว ผลที่ได้ออกมามันกลับไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างที่เธอวาดฝันเอาไว้ เพราะหลังจากที่พวกเขากลับไปที่บ้านแล้ว จางกว่างโหย๋วและหลิวกุ้ยเฟินที่อยู่บ้านข้าง ๆ ก็เดินมาดูลาดเลา จากนั้นพวกเขาก็เอาเรื่องของทั้งสามคนออกไปป่าวประกาศจนทั่ว
พวกเขาป่าวประกาศออกไปว่า จางฉุ้ยจวินหลอกพ่อแม่ของตัวเอง อีกทั้งสองสามีภรรยาตระกูลจางก็ยังโง่เชื่อ เพราะอย่างนั้นเพื่อนบ้านมากมายจึงมารอดูเรื่องสนุก พวกเขาต่างก็พากันมาเพราะอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีคำว่าธุรกิจแชร์ลูกโซ่ และผู้คนก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากนัก เมื่อเห็นว่าเพื่อนบ้านต่างก็พากันมาดูมากมาย จางฉุ้ยจวินจึงไปซ่อนตัวอยู่ที่บ้านปู่ย่าของตัวเอง ส่วนจางกว่างฝูก็แกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอดราวกับไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน ทางด้านของเช่าหวา หล่อนก็ลืมคำแนะนำของจางฉุ้ยเหลียนไปจนหมดสิ้น เพราะในวินาทีนี้ หล่อนก็เล่าเรื่องทุกอย่างออกมาอย่างละเอียด ความคับแค้นใจและความกังวลของหล่อนหลุดออกมาจากปากไม่หยุด และตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้แล้วว่าตั้งแต่เหนือจรดใต้ พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกไปเจออะไรมาบ้าง
และคนที่มารอดูเรื่องสนุกก่อนใครเพื่อน ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ดังนั้นหลังจากที่พวกหล่อนได้ยินเรื่องราวแปลกใหม่นี้แล้ว พวกหล่อนก็ถึงกับลืมแม้แต่ทางกลับบ้านกันเลยทีเดียว
เมื่อฟ้ามืดแล้ว คนที่บ้านก็มาตะโกนเรียกผู้หญิงพวกนั้นกลับไปทำอาหารที่บ้าน เพราะอย่างนั้นพวกหล่อนถึงได้แยกย้ายพากันกลับไปที่บ้านของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ขณะเดินก็ยังไม่ลืมที่จะคุยกันไปด้วย “ไอ้หยา ออกบ้านแค่ครั้งเดียวก็ได้เห็นโลกเยอะเลยเนาะ”
“ใช่ ! ป้าจางคนนี้พูดเก่งจริง ๆ เลยนะ ถ้าฉันรู้ก่อนว่าเรื่องราวมันจะเยอะขนาดนี้ ฉันก็จะคงพกเมล็ดทานตะวันใส่กระเป๋ามากินด้วยแล้ว ! ”
“ไอ้หยา ยังจะเอาเมล็ดทานตะวันมาอีกหรือ ปากเธอนี่มันจริง ๆ เลยนะ ทำไมถึงได้พูดจาเหลวไหลได้ขนาดนี้กัน! ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ !”
และด้วยความที่พวกหล่อนเอาแต่เดินไปคุยไป จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ถนนเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้างนั้น จางฉุ้ยจวินกำลังยืนหลบมุมอยู่ เมื่อเขาได้ยินเรื่องที่พวกหล่อนคุยกัน เขาก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมาทันที หลังจากที่เขารอให้พวกหล่อนที่กำลังหัวเราะพูดคุยกันอย่างมีความสุขเดินผ่านไปแล้ว เขาจึงค่อย ๆ เดินออกมาจากมุมที่ตัวเองหลบ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดประตูหน้าบ้านเข้าไป เขาก็ตะโกนด่าเช่าหวาออกไปก่อนแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้าน เขาถึงได้รู้ว่าในบ้านมีแขกอยู่ และกำลังกวาดสายตามองมาที่เขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
จางฉุ้ยจวินขี้เกียจจะพูด เพราะไม่ว่าอย่างไรวันนี้ทุกคนก็ได้รู้แล้วว่า ตัวเองนั้นเป็นคนอย่างไร เพราะอย่างนั้นเขาเลยปล่อยมือจากหม้อแตก ปล่อยให้ชาวบ้านทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ หลังจากที่เขาเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองแล้ว เขาก็ล็อคประตูทันที เมื่อเห็นดังนั้น เช่าหวาจึงยิ้มออกมาอย่างลำบากใจให้แขก “เขาก็แค่อารมณ์ไม่ดีน่ะ ไอ้หยา จะมีใครที่จะรับเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ บ้างล่ะจริงไหม ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จึงเหลือบตาไปมองที่ประตูห้องของจางฉุ้ยจวินด้วยสายตาไม่แน่ใจ หล่อนกดเสียงลงต่ำและพูดกับเช่าหวาออกไปเบา ๆ ว่า “ป้ารองจาง ฉันว่าลูกชายของป้าดูไม่ค่อยปกตินะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เช่าหวาก็ตกใจขึ้นมาในทันที เพราะคำพูดของผู้หญิงตรงหน้ามันจะต้องมีความหมายอื่นแฝงด้วยแน่ ๆ และหลังจากที่หล่อนลองคิดทบทวนจากประการณ์อันน้อยนิดของตัวเองดูแล้ว หล่อนก็คิดว่ามันมีเรื่องที่ไม่ค่อยจะปกติอยู่จริง ๆ
“ฉันว่าลูกชายของป้าต้องโดนอะไรสิงมาแน่ ๆ เพราะเขาดูไม่ค่อยปกติเลยนะ ถ้ายังไงป้าก็หาคนมาดูเขาหน่อยไหม ! ”
หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นพูดจบ เช่าหวาก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหลังทันที แม้แต่คิดยังไม่กล้า เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยถามออกไปตรง ๆ ว่า “แล้วเราจะไปหายอดฝีมือมาจากที่ไหนล่ะ ? ”
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ที่เมืองหวังถุนมียายเฒ่าคนหนึ่ง ยายเฒ่าคนนี้ร้ายกาจมาก ถ้ายังไงป้าก็ลองไปหาหล่อนดูสิ”
เช่าหวาขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นหล่อนก็ถามออกไปว่า “จะไหวหรือ ? แล้วเราจะเชื่อได้หรือ ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้หญิงคนนั้นจึงผลักเช่าหวาเบา ๆ จากนั้นหล่อนก็มองไปที่เช่าหวาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “จะมีอะไรไม่ไหวกันล่ะ มีผู้ชายคนหนึ่งออกไปจากบ้านในวันที่ 15 เดือนกรกฎาคม กว่าจะกลับมาก็ดึกมากแล้ว พอกลับมาเขาก็เริ่มจามอย่างหนัก ไอ้หยา ต่อจากนั้นเขาก็เริ่มมีอาการแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมายายเฒ่าคนนั้นก็บังเอิญได้เจอเขาที่ร้านขายของ หล่อนเลยเข้าไปตะโกนว่า แกมาได้ยังไง สิงร่างของลูกชายแบบนี้ แกไม่กลัวว่าเขาจะอายุสั้นหรือ ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เช่าหวาก็ตกใจจนตัวสั่น “ห๊ะ ? น่ากลัวขนาดนั้นเชียว แล้วหลังจากนั้นเขาเป็นยังไงล่ะ ? ”
ผู้หญิงคนนั้นจึงพูดต่อว่า “ต่อมาจู่ ๆ ผู้ชายคนนั้นก็เริ่มร้องโหยหวน และก็มีคนบอกว่า ท่าทางแบบนี้เป็นท่าทางของแม่ของเขา แม่ของเขาที่สิงร่างของลูกชายก็บอกว่า ลูกชายคนนี้อกตัญญู อีกทั้งลูกสะใภ้ของหล่อนก็ไม่ยอมเผาเงินมาให้ตัวเอง แต่กลับเผาไปให้คนอื่นแทน”
ที่แท้ก่อนวันที่ 15 เดือนกรกฎาคน ภรรยาของผู้ชายคนนั้นก็ไปช่วยเพื่อนบ้านพับกระดาษเงินกระดาษทอง แต่ครอบครัวของตัวเองกลับเผาเพียงแค่กระดาษเงินธรรมดา ๆ เท่านั้น ดังนั้นแม่สามีเลยมาเข้าสิงลูกชายของตัวเอง
เช่าหวาไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองโดนสิ่งสกปรกอะไรเข้าสิงไหม แต่หล่อนก็รู้ดีว่าลูกชายของตัวเองต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ ในเมื่อมีคนนำทางแล้ว งั้นหล่อนก็จะลองดูสักตั้งก็แล้วกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นเช่าหวาก็พาผู้หญิงคนนั้นไปที่เมืองหวังถุนทันที พวกหล่อนเชิญหมอผีคนนั้นมาที่บ้าน และเมื่อมาถึงบ้านแล้ว หล่อนก็ไม่กล้าอธิบายให้ลูกชายฟัง เพราะตัวหล่อนเองก็ไม่ได้เชื่ออะไรขนาดนั้น
เมื่อเข้ามาในบ้านหมอผีคนนั้นก็เดินไปนั่งที่เตียงทันที เช่าหวารินน้ำและยกผลไม้มาเสิร์ฟให้หล่อนอย่างกระตือรือร้น จากนั้นหมอผีก็จุดบุหรี่ แต่หลังจากสูดเข้าไปได้เพียงแค่ครั้งเดียว หล่อนก็เริ่มกลอกตาสีขาวโพลนและสั่นไปทั้งตัว
ส่วนปากของหล่อนก็ไม่รู้ว่ากำลังบ่นพึมพำกับใคร จากนั้นหล่อนก็หันมาถามเช่าหวาว่า “บ้านของเธอมีลูกชายคนหนึ่งใช่ไหม ? ”
เช่าหวาพยักหน้ารัว ๆ “ฉันยังมีลูกสาวอีกคนด้วยค่ะ ! ”
ลูกตาของหมอผีคนนั้นกลอกไปมา “ลูกสาวบ้านเธอน่าจะร้ายกาจมากล่ะสิ แต่เธอไม่ค่อยดีกับหล่อนเลยนะ”
เช่าหวาตะลึงราวกับได้เจอเทพเจ้า หล่อนรีบพยักหน้าอย่างไม่คิดชีวิต “ตัวฉันเป็นคนให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่า ตอนที่ลูกสาวยังเล็ก ๆ ฉันก็ยกหล่อนไปให้คนอื่นเลี้ยง แต่ตอนนี้พวกเราสองสามีภรรยาก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนเดิมแล้ว ลูกสาวเองก็แต่งงานออกเรือนไปแล้วเช่นกัน”
หมอผีคนนั้นพยักหน้าตอบรับ จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “ลูกสาวของเธอมีดวงพยุงสามี หล่อนเป็นคนมีโชคคนหนึ่ง ต่อไปเธอจะต้องพึ่งพาลูกสาวของเธออีกเยอะ แต่หล่อนจะเป็นพวกไม่ดูแลเธอ หรือที่เขาพูดกันว่ายังไงนะ อือ….ลูกสาวออกเงิน ลูกชายออกแรง หล่อนเป็นคนประเภทนั้นน่ะ”
เช่าหวาเผยสีหน้ามีความสุขขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นฉันยังพึ่งพิงลูกสาวได้ใช่ไหมคะ ? ”
“ลูกสาวของเธอเป็นโชคของชีวิตเธอ ถ้าเธอผูกสัมพันธ์อันดีกับหล่อน พวกเธอสองสามีภรรยาถึงจะได้มีชีวิตอยู่ดีกินดี เข้าใจไหม ? ”
เช่าหวาหันไปมองจางกว่างฝูแวบหนึ่ง หล่อนตัดสินใจแล้วว่า ต่อไปไม่ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะว่าอะไร หล่อนก็จะไม่สนใจ ในเมื่อท่านหมอผีพูดขนาดนี้แล้ว มันก็ต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน
ต่อมาหมอผีคนนั้นยังพูดอีกว่า “อ้อ ลูกชายคนนี้ของพวกเธอไม่ไหวนะ เขาโดนผีผู้หญิงสิงร่าง ในร่างเขามีวิญญาณคนแก่กับเด็กอยู่สองคนไม่มีอะไรเป็นของดีทั้งนั้น”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา เช่าหวาก็ตกใจจนขาอ่อนนั่งลงไปกองกับพื้นทันที แต่จางกว่างฝูกลับสงบนิ่ง “ถ้าอย่างนั้นทำไมฉันถึงมองไม่ออกว่า เขามีอาการผิดปกติอะไรเลยล่ะ ? ”
หมอผีคนนั้นเค้นเสียง ‘หึ’ ออกมา จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “เธอจะมองออกได้ยังไง ? ชั่วชีวิตนี้เธอก็ไม่ได้มีดีอะไร มีเรื่องบางเรื่องที่ฉันไม่พูด เธอก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจนะ”
จากนั้นหล่อนก็เหลือบไปมองเช่าหวาที่ล้มพับลงไปกองกับพื้น จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “มีผู้หญิงคนหนึ่งมาจากทางใต้ ฉันเห็นเธอเดินผ่านไปพร้อมเสื้อผ้าแบบคนทางใต้ ทำไม พวกเธอมาจากที่นั่นหรือ ? พวกเธอไปทางใต้มาหรือ ? ”
พอเช่าหวาได้ยินแบบนั้น หล่อนก็กลัวจนต้องรีบเข้าไปนั่งข้าง ๆ หมอผีทันที หล่อนกอดขาหมอผีแล้วตะโกนออกไปว่า “ท่านเซียน ท่านก็เห็นหมดแล้ว พวกเราเพิ่งกลับมาจากทางใต้ ช่วงตลอดระยะสองเดือนที่ผ่านมานี้ ไม่รู้ว่าลูกชายคนนี้ของฉันเป็นอะไรไป เขาชอบทำตัวเหลอ ๆ หลา ๆ ไม่เหมือนเมื่อก่อนเลยสักนิด”
“อือ ! ” หมอผีคนนั้นพยักหน้า แล้วบ่นพึมพำอย่างไม่เห็นด้วย “บนร่างมีผีผู้หญิงอยู่สองตน นี่เป็นเพราะพลังวิญญาณไม่พอ โชคดีที่พวกเธอมาหาฉันก่อน เพราะถ้าพวกเธอมาหาฉันช้ากว่านี้อีกสักครึ่งเดือนล่ะก็ บ้านของพวกเธอก็เตรียมโลงศพเอาไว้ได้เลย”
คราวนี้แม้แต่จางกว่างฝูเองก็ไม่กล้าเมินเฉยอีกต่อไป เพราะเขาก็มีชีวิตอยู่มาครึ่งหนึ่งแล้วและกว่าเขาจะเลี้ยงลูกชายมาจนโตขนาดนี้ได้อีก เขาจึงหวังให้ลูกชายมาดูแลตัวเองยามแก่เฒ่า เพราะอย่างนั้นมันคำพูดของหมอผีจึงทำให้เขาตกใจจนเกือบจะช็อกตายเลยทีเดียว
จางฉุ้ยจวินฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่ที่ห้องข้าง ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเปิดประตูเดินออกมา เขาเห็นแม่ของตัวเองกำลังกอดขาของยายแก่ที่มีสภาพอย่างกับรากไม้แห้ง ส่วนพ่อของเขาก็คอตกราวกับคนไร้วิญญาณอย่างไรอย่างนั้น
คำพูดที่พวกเขาคุยกันเมื่อสักครู่นี้ จางฉุ้ยจวินก็ได้ยินมันหมดแล้ว เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดที่จะเข้ามาเปิดโปงเล่ห์เหลี่ยมของยายแก่คนนี้แต่อย่างใด แต่ตอนนี้เขาจะไม่ออกมาก็คงจะไม่ได้ เพราะยากแก่คนนี้มันโอหังมากเกินไปแล้ว
ผู้หญิงอ้วน ๆ ที่นั่งข้าง ๆ ยายแก่คนนั้น ก็ไม่ใช่ยัยป้าที่มาบ้านของเขาเมื่อวานอย่างนั้นหรือ หล่อนก็อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้เช่นเดียวกัน เพราะอย่างนั้นหล่อนจะไม่เข้าใจสถานการณ์ในบ้านของเขาได้อย่างไร ?
หล่อนก็แค่เตรียมบทพูดกับยายเฒ่าหมอผีงี่เง่านี่ล่วงหน้าก็เท่านั้น ยายแก่ถึงได้คำนวณชะตาชีวิตของคนในบ้านเขาได้อย่างแม่นยังไงล่ะ
“ไอ้หยา ฉันขอถามแกหน่อย แกบอกว่าบนตัวฉันมีผีผู้หญิงอยู่สองตัวใช่ไหม งั้นแกบอกฉันมาหน่อยสิว่า พวกเราไปไหนกันมาบ้าง ภาคใต้ใหญ่ขนาดนั้น แกลองบอกฉันมาสักที่สิ ! ” พอเห็นจางฉุ้ยจวินจงใจทำตัวเป็นศัตรู และปากก็พ่นคำพูดหยาบคายออกมาสองสามประโยค
เช่าหวาก็ตกใจจนหลังของหล่อนมีเหงื่อผุดออกมาจนเปียกโชกไปหมด เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงรีบหันไปขอโทษขอโพยยายเฒ่าทันทีว่า “คุณป้า อ้อ ไม่ใช่สิท่านหมอผี อย่าถือสาลูกชายของเราเลย เขาไม่รู้เรื่องอะไร ฉันเข้าใจ ท่านบอกกับหนูมาได้เลยว่า จะทำลายผีในตัวของลูกชายของฉันได้ยังไง”
ยายเฒ่าคนนั้นโบกมือไปมา “หึ! ฉันยังไม่รู้ว่าผีอย่างพวกแกต้องการอะไรกันแน่ ? แกไม่ต้องมาล้ำเส้นฉันหรอก รออีกเดี๋ยวให้ฉันจัดการแกก่อน แล้วค่อยมาว่ากัน ! ”
ยายเฒ่าคนนั้นหยิบกระดาษยันต์จากกระเป๋าตรงหน้าอกออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นหล่อนก็ป้ายน้ำลายลงไป แล้วก็บ่นพึมพำคาถาอะไรสักอย่าง ต่อจากนั้นหล่อนก็เดินไปแปะมันไว้ที่หน้าผากจางฉุ้ยจวิน เมื่อมียันต์ไร้สาระมาแปะอยู่ที่หน้าผากของตัวเอง จางฉุ้ยจวินก็รู้สึกรังเกียจจนอยากจะดึงมันออกไปใจจะขาด
แต่เขากลับโดนจางกว่างฝูและเช่าหวาห้ามเอาไว้ ยายเฒ่ายืนท่องคาถาอะไรบางอย่างอยู่ระหว่างกลางของทั้งสองคน “ฟ้าวิญญาณ ดินวิญญาณ เทพเจ้าทั้งสามได้โปรดเผยวิญญาณ ผีผู้หญิง แกมาจากไหนจงกลับไปที่นั่นซะ ! ”
ต่อจากนั้นหล่อนก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาแตะที่ศีรษะของจางฉุ้ยจวิน ส่วนมืออีกข้างก็หยิกหน้าท้องของเขาอย่างแรง นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยจวินเจ็บจนต้องกรีดร้องออกมา เขาล่ะอยากจะถีบยัยแก่คนนี้จริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะตอนนี้เขากำลังโดนพ่อแม่และยัยป้าคนนั้นจับเอาไว้อยู่
ด้วยความที่จางฉุ้ยจวินโดนพวกเขาทั้งคนสี่คนรุมจับเอาไว้ เพราะอย่างนั้นเขาเลยได้แต่เปิดปากด่าออกไปว่า ยัยแก่คนนี้เป็นหมอผีจอมปลอม แต่มือของยัยแก่กลับมีแรงเยอะมาก หล่อนแกล้งสวดคาถางี่เง่าและบิดหน้าท้องอันอ่อนนุ่มของจางฉุ้ยจวิน ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้จางฉุ้ยจวินถึงกับเหงื่อไหลพราก จากนั้นยัยแก่ก็ถอยออกมา แล้วสั่งให้สองสามีภรรยาตระกูลจางพาจางฉุ้ยจวินไปขังไว้ในห้อง พร้อมกับล็อคประตูห้องด้วย
“เป็นยังไงบ้าง ท่านหมอผี ? ” เช่าหวาเห็นว่ามันได้ผลกับลูกชาย เพราะเมื่อกี้หมอพี่ก็ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่ลูกชายของหล่อนกลับเจ็บจะเป็นจะตาย ดูเหมือนท่านหมอผีผู้นี้จะมีฝีมือร้ายกาจมากจริง ๆ !
“ฉันส่งผีเด็กออกไปแล้ว แต่ยัยผีแก่นั่นร้ายกาจมากจริง ๆ ฉันต้องกลับไปเตรียมของที่บ้านก่อน ไม่อย่างนั้นฉันคงรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ ! ” ยายเฒ่าทรุดตัวนั่งลงไปบนเตียงด้วย “ความเหนื่อยล้า” เอนตัวพิงตู้พร้อมกับหายใจหอบเหนื่อยออกมา
“ถ้าพวกเธอไม่เชื่อ พวกเธอก็รอดูได้เลย เพราะเดี๋ยวบนร่างกายของลูกชายของเธอจะต้องมีรอยเขียวช้ำขึ้นมาอย่างแน่นอน นั่นเป็นรอยที่ยัยผีแก่ทิ้งเอาไว้ ไอ้หยา ฉันเดินทางอยู่บนโลกมานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเจอผีที่ไหนร้ายกาจขนาดนี้มาก่อนเลย ! ”
MANGA DISCUSSION