ตอนที่ 265 เปลี่ยนแปลง
คำถามของจางฉุ้ยเหลียนทำให้พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกเงียบในทันที เช่าหวาได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ส่วนจางกว่างฝูก็เอาแต่ปิดปากเงียบ จางฉุ้ยเหลียนเลยตัดสินใจว่า ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องงัดคำตอบออกมาจากปากของจางฉุ้ยจวินให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน
“ธุรกิจล้ม ทำเงินไม่ได้ เถ้าแก่ไม่ยอมให้ฉันออกมา พ่อแม่เลยต้องพาฉันหนีออกมา ! ” คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคนี้ ก็สามารถสรุปชีวิตในช่วงระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ของพวกเขาได้ และมันก็เป็นเรื่องยากที่จางฉุ้ยจวินจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครได้เห็น
จางฉุ้ยเหลียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ เธอพยายามระงับความโกรธเอาไว้ สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่คิดถึงอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าตอนนั้นเธอจะพูดอะไร แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องมีความรับผิดชอบอยู่บ้าง แต่ถ้าเธอแสดงท่าทีเด็ดขาด หรือจริงจังกับการรับผิดชอบมากเกินไป มันก็เหมือนกับการที่ฟู่ซินต้องอดทนกับพี่เขยของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งตอนนี้เธอก็ไม่ได้มองว่าจางฉุ้ยจวินน่าสงสารขนาดนั้นด้วย
“ยังติดหนี้หรือติดค้างน้ำใจใครอีกไหม ? ” จางฉุ้ยเหลียนมองตรงไปที่จางกว่างฝูและเช่าหวา ผู้ที่ถูกกล่าวถึงจึงส่ายหัวปฏิเสธ จากนั้นเช่าหวาก็ถูมือไปมาเบา ๆ จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “เราไม่ได้ติดเงินใคร แต่พวกเราไม่เหลือเงินเก็บเหลือแล้ว”
จากนั้นจางกว่างฝูก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “บ้านของยายแกก็โมโหสุด ๆ ต่อไปคงไม่ได้ติดต่อกันแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้เห็นพวกเราเป็นคนในครอบครัวอยู่แล้ว มีอะไรให้ต้องติดต่อกันล่ะ”
เช่าหวาหน้าซีด เงยหน้ามองจางฉุ้ยเหลียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ จางฉุ้ยเหลียนเลยพูดถากถางออกไปทันทีว่า “แม่มองหนูทำไม ? ไม่ยอมรับอีกหรือ ? หรือว่ายายกับพวกป้า ๆ น้า ๆ ของหนู พวกเขาทำดีกับแม่เอาไว้มากงั้นสิ ? แม่ลืมตอนที่คุณตาเสียไปแล้วหรือ พวกเขาทำกับหนูไว้ยังไง แม่จำไม่ได้แล้วงั้นสิ ? แม่คิดว่าเป็นเพราะหนู แม่ถึงได้โดนรังแกง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ? สุดท้ายพวกเขาก็แค่อยากจะรังแกพ่อกับแม่ไม่ใช่รึไง”
จางกว่างฝูพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเขาก็เหลือบตาไปมองที่เช่าหวาด้วยสายตาไม่พอใจ “นี่ก็เป็นเรื่องจริง ฉันบอกแม่แกมาตั้งหลายปีแล้ว แต่แม่แกก็ไม่ยอมฟัง เดิมทียายของแกก็ไม่ได้สนใจอะไรแม่ของแกอยู่แล้ว พี่น้องสองสามคนของแม่แกก็รังเกียจเรา เพราะว่าเราจนไม่ใช่รึไง”
เช่าหวาอดกลั้นเอาไว้ไหวอีกต่อไป หล่อนจึงได้พูดออกไปด้วยดวงตาที่แดงก่ำว่า “ยังไงพวกเราก็ยังเป็นครอบครัวสายเลือดเดียวกัน ฉันจะไปทำอะไรได้ล่ะ แล้วอีกอย่าง ครั้งนี้พวกเราก็ทำไม่ถูกต้องจริง ๆ เพราะเสี่ยวจวินก็เป็นคนไปหลอกพวกเขา”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนจึงตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงรำคาญว่า “จะมาโทษบ้านเราหมดก็ไม่ได้ ตอนนั้นเสี่ยวจวินเองก็ยังไม่รู้ความ เขาก็แค่หวังดีก็เท่านั้น การที่พวกเขาตามไปด้วย ก็ไม่ได้หมายว่าเสี่ยวจวินจะไม่ให้พวกเขาออกมาสักหน่อย แล้วอีกอย่าง หนูก็ไปตามหาลูกหลานของพวกเขาให้ไม่ใช่รึไง ? เงินก็ไม่ได้เสีย หน้าก็ไม่ได้ขาย แล้วหนูก็ยังเลี้ยงอาหารและเอาใจพวกเขาอีกต่างหาก ตอนที่พวกเขาจะกลับบ้าน หนูก็ยังซื้อของให้พวกเขาเอากลับไปตั้งเยอะ นี่มันก็ถือว่าไม่เลวแล้วไม่ใช่รึไง พวกเขายังคิดอยากจะได้อะไรอีกล่ะ ? ”
เช่าหวาทำหน้าน้อยใจ “ฉันเองก็พูดแบบนี้ แต่สุดท้ายลุงของแกก็กลับไปที่นั่นอีก ตอนนี้เขาก็กลับออกมาไม่ได้ ป้าของแกก็เลยเอาแต่ด่าทอฉันทุกวัน”
จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดออกไปอย่างเย็นชาว่า “แม่ร้ายกาจ เอาแต่ใจ ไม่พูดด้วยเหตุผลเก่งนักไม่ใช่รึไง แล้วทำไมพอไปอยู่บ้านแม่ของตัวเองแล้วถึงได้หัวอ่อนนักล่ะ ? ”
เช่าหวาไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา ส่วนตงลี่หวาก็เข้ามาขยับตาให้จางฉุ้ยเหลียนแล้วพูดออกไปว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้วน่า สถานการณ์ของแต่ละคนก็แตกต่างกันทั้งนั้นแหละ”
“แม่น่ะเป็นเพราะน้ำเข้าสมอง เลยคิดอะไรก็ผิดไปหมด” จางฉุ้ยเหลียนเปลี่ยนท่านั่งบนโซฟา เธอนั่งไขว่ห้างแล้วพูดออกไปอย่างคล่องแคล่วว่า “ญาติทางฝั่งแม่พวกนั้นทำประโยชน์อะไรให้แม่บ้าง ? แม่เป็นผู้หญิงออกเรือน ต้องออกเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยอย่างนั้นหรือ ? ปกติพี่สาวน้องสาวของแม่ให้เงินยายเท่าไหร่ แม่ก็ให้ตามจำนวนที่พวกหล่อนให้ก็จบ บ้านไหนลำบาก แม่มีก็ช่วยไม่มีก็ปล่อยไป แล้วอีกอย่าง ตอนที่แยกบ้านพวกเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแม่ แล้วตอนนี้จะมีปัญหาอะไรได้ล่ะ ? ”
เช่าหวาเงยหน้าขึ้นไปมอง หล่อนไม่เข้าใจสิ่งที่ลูกสาวพูดเลยสักนิด จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดออกไปอีกว่า “ถึงหนูจะไม่ดียังไงก็ยังเป็นลูกสาวแม่ ตอนที่หนูแต่งงานออกเรือนมามีใครให้ความสนใจหรือให้สินเดิมหนูบ้าง ? ถึงหนูจะไม่ได้จัดงานแต่งงาน แต่งานวันเกิดของลูกชายของหนู พวกเขาได้มาร่วมงานบ้างรึเปล่าล่ะ ? พอมีคนเอาของขวัญงานมาให้แม่ แม่ก็คิดว่าแม่สนิทสนมกับพวกเขาเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่มาถามว่า บ้านแม่สามีของหนูดียังไงบ้าง ? ”
จางกว่างฝูและเช่าหวาหน้าแดง คำพูดนี้ไม่ผิดเลยสักนิด ตอนนั้นพวกเขาสองคนพูดจาโอ้อวดสุด ๆ บอกว่าจางฉุ้ยเหลียนได้เจอกับลูกชายขุนนางใหญ่โต
“แม่ลองคิดดูนะว่า แม่จะใช้ชีวิตโดยการพึ่งพาคนอื่นตลอดไปได้ไหม ? ตอนนั้นตระกูลเช่าทำอะไรกับแม่เอาไว้บ้าง ยังต้องให้หนูพูดอีกไหม ? แม่กลับไปที่บ้านแม่ของตัวเองตั้ง 4 วัน แม้แต่เนื้อก็ไม่ได้กินเลยสักชิ้น แล้วการที่แม่ไม่ได้กินเนื้อ มันเป็นเพราะพวกเขายากจนมีเงินแค่เหมาเดียวอย่างนั้นหรือ ? ลูกสาวที่แต่งออกเรือนหอบสัมภาระใบน้อยใหญ่กลับไปที่บ้าน ยายของหนูที่เลี้ยงไก่เอาไว้ตั้ง 30 กว่าตัว หล่อนได้ฆ่าไก่พวกนั้นให้แม่กินสักคำไหม ? ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่ฆ่าไก่ แต่การที่แม่เอาเนื้อไป ทำไมหล่อนถึงไม่เอาเนื้อนั่นให้มากิน ? ผักดองมันฝรั่งก็กองกันอยู่เต็มโต๊ะ ลูกแพร์แช่แข็งก็อยู่ข้างนอกนั่น แล้วพวกเขาได้เอาออกมาให้ลูกของแม่กินสักคำบ้างรึเปล่า นี่คือบ้านแม่ที่แม่คิดถึงนักหนาอย่างนั้นหรือ ? ”
คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนทำให้เช่าหวาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก หล่อนได้แต่บ่นพึมพำออกไปว่า “นั่นก็เป็นเพราะป้าของแกก็อยู่ด้วยไม่ใช่รึไง ยายของแกก็เลยกลัวว่า ถ้าหล่อนมาเห็นเข้า หล่อนจะไม่ชอบใจ ! ”
“หึ ต่อหน้าไม่มี ลับหลังก็ไม่มี ไม่มีอะไรให้แม่ แล้วจะมีให้พี่น้องคนอื่น ๆ ของแม่อย่างนั้นหรือ ? แม่เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว แม่คิดว่าการแกล้งทำเป็นหูทวนลมหลอกตัวเองไปวัน ๆ แล้วมันจะเป็นจริงขึ้นมารึไง ? เวลาแม่มีปัญหา ครอบครัวของแม่เคยออกมาช่วยแม่บ้างรึเปล่า ? ”
ความจริงแล้วพวกเขาก็แค่หวังผลประโยชน์เท่านั้นแหละ ถึงได้มาทำดีกับหล่อน ไปพอขัดผลประโยชน์ แม้แต่ฉีกหน้าตัดขาดความสัมพันธ์ก็ต้องเคลียร์เรื่องเงินให้รู้เรื่อง
“พวกแม่รู้ไหมว่าอะไรเรียกว่าความจริง ? ” จางฉุ้ยเหลียนเหล่ตามองเช่าหวาแล้วเล่าเรื่องหนึ่งให้หล่อนฟัง “ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า หนูกับพวกแม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน โดยเฉพาะตระกูลเช่า พวกเขายิ่งรู้ดีกว่าใครเลยว่าทำไมหนูถึงต้องออกมาจากบ้านด้วยความโมโหแบบนั้น ตอนที่พ่อกับแม่เพิ่งจะออกไปจากเมือง Q ก็มีคนมาบอกหนูทันที พวกแม่รู้ไหมว่ามันเป็นเพราะอะไร ? ”
ทั้งสองคนส่ายหน้าทันทีด้วยความไม่รู้ จางฉุ้ยจวินมองพี่สาวด้วยสายตาว่างเปล่า จางฉุ้ยเหลียนจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ที่พวกเขาเอาเรื่องของพ่อกับแม่มาบอกหนู ก็เพราะเวลาที่พวกเขามาซื้อโทรทัศน์ที่ร้านของหนู หนูจะได้ลดราคาให้พวกเขาไง พวกเขาพยายามเหยียบพ่อกับแม่ต่อหน้าหนู บอกว่าพ่อกับแม่ไม่ดีอย่างโน้นไม่ดีอย่างนี้ หนูล่ะไม่อยากจะเลียนแบบคำพูดพวกนั้น ที่พวกเขาพูดให้พ่อกับแม่ฟังเลยจริง ๆ แต่หนูจะบอกพ่อกับแม่เอาไว้อย่างนะว่า พ่อกับแม่ก็ดูเอาก็แล้วกันนะว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ พ่อกับแม่คบหากับคนประเภทไหนบ้าง ! ”
เช่าหวาก้มหน้าไม่พูดไม่จา ส่วนจางกว่างฝูก็ทรุดตัวนั่งลงไปบนโซฟาอย่างอ่อนแรง ตงลี่หวาและเซี่ยจวินหันมามองตากัน สุดท้ายตงลี่หวาก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในครัว หล่อนยกน้ำผลไม้มาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับยื่นน้ำองุ่นไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน หล่อนส่งสายตาให้กับจางฉุ้ยเหลียนและพูดออกไปว่า “คังคังได้การบ้านกลับมาด้วย ลูกไปทำการบ้านเป็นเพื่อนลูกชายของลูกก่อนเถอะ”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา จากนั้นเธอเดินเข้าห้องไปหาคังคัง เมื่อเห็นดังนั้น ตงลี่หวาก็เข้าไปนั่งข้าง ๆ เช่าหวา พร้อมกระซิบปลอบใจหล่อนเบา ๆ ว่า “กลับมาได้ก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว ชะตาชีวิตย่อมมีภัยร้ายอยู่บ้าง ตอนนี้มันผ่านไปแล้ว เดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”
เช่าหวาพยักหน้าอย่างจนใจ “ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นฉันจะทำอะไรได้ล่ะ กลับบ้านก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ค่อยหางานให้เสี่ยวจวินทำ ไม่อย่างนั้นอยู่แบบนี้ไปวัน ๆ ฉันกลัวจะ……”
พอพูดมาถึงตรงนี้ หล่อนก็หยุดพูดอย่างกะทันหัน ทุกคนหันไปมองจางฉุ้ยจวิน เห็นเพียงแค่เขาเอาแต่ฟังอย่างโง่งม จางกว่างฝูถอนหายใจออกมา ยอมรับทัศนคติของเซี่ยจวิน เผชิญหน้ากับความอัปยศ “พี่ชาย นี่ก็คงจะเป็นบาปกรรมของพวกเราทั้งนั้น ! ”
เช่าหวาเองก็เช็ดน้ำตา “ใช่ ฉันก็ว่าทำไมชีวิตฉันถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ ถ้าเสี่ยวจวินรู้ความได้ครึ่งหนึ่งของฉุ้นเหลียน ฉันก็พอใจแล้ว”
พอได้ยินคำพูดนี้ จางฉุ้ยจวินก็เปิดปากเถียงกลับไปทันที “พ่อกับแม่ก็ดีแต่เลี้ยงดูพี่สาวของผม เธอจบวิทยาลัย มีชีวิตแต่งงานที่ดี อีกทั้งก็ยังมีเงินมีทอง ถ้าผมเรียนจบวิทยาลัยบ้าง ผมก็ดีพอ ๆ กับเธอนั่นแหละ และเขาก็จะได้ไม่ต้องออกไปหางานทำ ลำบากอยู่ข้างนอกแบบนี้หรอก”
จางฉุ้ยเหลียนที่อยู่ห้อง เธอก็ได้ยินคำพูดพวกนี้อย่างชัดเจน เพราะอย่างนั้นเธอจึงทิ้งสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ทันที จากนั้นก็พุ่งตัวออกไปจากห้อง และชี้หน้าด่าจางฉุ้ยจวินออกไปว่า “จางฉุ้ยจวิน แกรู้จักยางอายอยู่ไหม ? พูดจาเหลวไหลอะไรกลางวันแสก ๆ แกมาโกรธแค้นใครอยู่ที่นี่ ห๊ะ ? ”
จางฉุ้ยจวินทำคอแข็งเผยสีหน้าไม่พอใจ “ทำไม ฉันพูดผิดรึไง ? ถ้าพี่ไม่ได้เรียนวิทยาลัย พี่จะมีวันนี้ได้หรือ ? เงินบ้านเราโดนพี่ผลาญไปจนหมดแล้ว ! ”
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าหัวเราะดังลั่น แล้วชี้ไปทางจางกว่างฝูและเช่าหวา “มา มา มา พ่อกับแม่บอกเขาไปหน่อยสิ พ่อกับแม่บอกน้องชายอวดดีหน้าไม่อายคนนี้ให้เขาฟังไปสิว่า มันเป็นยังไงกันแน่”
“จางฉุ้ยจวิน นายนี่มันจริง ๆ เลยนะ กินอิ่มแล้วก็มีแรงหาเรื่อง หนุ่มน้อยจะเดินทางผิดมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะ เรื่องนี้ไม่ได้น่าขายหน้าอะไร เพราะนายก็แค่ประสบการณ์น้อย ความรู้ไม่เพียงพอก็เท่านั้น แต่นายกลับเอาความผิดมาโยนให้คนอื่นแบบนี้ นายนี่มันหน้าด้านจริง ๆ เลยนะ”
จางกว่างฝูคิดว่าครั้งนี้ลูกชายของเขาทำตัวน่าอายจริง ๆ เขาเลยขมวดคิ้วแล้วขึ้นเสียงใส่ลูกชายของตัวเองทันที “แกพูดจาเหลวไหลอะไร ? ถ้าแกตั้งใจเรียน ฉันจะไม่ส่งแกเรียนรึไง ? เพื่อให้แกได้เรียนต่อ บ้านของเราทุ่มเทไปตั้งเท่าไหร่ ? และมันก็ไม่ได้เป็นเพราะแกหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่เรียนเองหรือ ? แกก็ยังเห็นพี่สาวของแกสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยตัวเองเลย แกลืมไปแล้วรึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “นายลืมไปแล้วหรือ ? นายจะลืมไปได้ยังไง ตอนนั้นนายยังมาขโมยเงินเก็บที่ฉันจะเอาไปจ่ายค่าเทอม ไปซื้อเครื่องเล่นเกมที่ไร้ประโยชน์นั่นอยู่เลย แล้วนายก็ยังเผาหนังสือตอบรับจากทางมหาวิทยาลัยของฉันอีก เรื่องแบบนี้นายก็ลืมลงหรือ ? ”
จางฉุ้ยจวินหน้าแดงไม่พูดไม่จา ได้ยินแค่จางฉุ้ยเหลียนพูดว่า “แล้วอีกอย่าง เรื่องเงินในบ้านเรา วันนี้ฉันจะพูดให้มันชัดเจนไปเลยนะว่า เงินค่าเทอม ค่ากิน หรือแม้แต่เสื้อผ้าที่ฉันใส่ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็เป็นเงินที่พ่อแม่บุญธรรมของฉันให้ฉันมาทั้งนั้น พวกเขาให้เงินฉันเดือนละ 5 หยวน ปีหนึ่งก็ 60 หยวน แต่ฉันได้ใช้เท่าไหร่ พ่อกับแม่ก็คงจะรู้ดีอยู่แก่ใจ พอฉันเข้าไปวิทยาลัย คนในบ้านก็ไม่ออกเงินให้สักแดงเดียว และทุกครั้งที่ปิดเทอมฉันกลับไปที่บ้าน ฉันก็เอาเงินกลับไปให้ที่บ้านทั้งนั้น”
จางฉุ้ยจวินทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยความโมโหออกไปว่า “ทำไม พี่มีเงินแล้วเก่งมากนักสิ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะด้วยความโมโห “ใช่สิ ฉันมีเงินฉันมีเหตุผล แกไม่มีเงินแล้วยังคิดว่าตัวเองเจ๋งนักใช่ไหมล่ะ ? แกลองคิดดูให้ดี ๆ นะว่า ตอนนี้แกมีอะไรเจ๋งบ้าง ที่ฉันมีวันนี้ได้ก็เพราะพึ่งพาความสามารถตัวเองทั้งนั้น แล้วแกล่ะ ? ”
จางฉุ้ยจวินอยากจะพูดออกไปมากว่า ถ้าฉันมีพ่อแม่บุญธรรมที่ร่ำรวย ฉันเองก็เจ๋งไม่น้อยกว่าเธอหรอก แต่พอเห็นพ่อแม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้ว เขากลับไม่กล้าพูดมันออกมา และตัวเขาเองก็รู้ดีว่าพ่อกับแม่ของเขาทำดีกับเขามากแค่ไหน
พอเห็นจางฉุ้ยจวินสงบลงแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เผยแววตาดูถูกออกมาเล็กน้อย มีความรู้สึกเหมือนไม่สามารถประคองใครคนนั้นขึ้นมาได้ เป็นเหมือนก้อนโคลนที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สามารถขึ้นรูปได้
“แกกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนเถอะ คิดทบทวนให้ดีว่าจะทำยังไงต่อไป ถ้าคิดได้แล้ว รู้จักภาษามนุษย์แล้ว ก็ค่อยมาหาฉันใหม่ บางทีฉันอาจจะช่วยแก แต่ถ้าแกยังเป็นเจ้างั่งอยู่แบบนี้ แกก็ไสหัวไปไกล ๆ เถอะ ! ”
หลังจางฉุ้ยเหลียนด่าเสร็จ จางกว่างฝูและเช่าหวาก็พยักหน้ารัว ๆ พวกเขาทั้งดีใจและตอบรับแทนจางฉุ้ยจวิน จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมตัวเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ทันที
เดิมทีพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง และก็ไม่อยากกลับไปที่บ้านเหมือนกับคนตกอับ แต่พอจางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
ขณะมองลูกสาวที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ตงลี่หวาก็ลังเลอยู่พักใหญ่ แต่แล้วสุดท้ายหล่อนก็ยังยื่นธนบัตรไปให้กับเช่าหวาสองใบ แต่คราวนี้เช่าหวาก็มีศักดิ์ศรีอยู่ในตัว หล่อนเลยผลักมันออกไปอยู่นานสองนานเพราะไม่อยากรับมันไว้
จางฉุ้ยเหลียนเห็นทั้งสองคนเถียงกัน เธอเลยอดที่จะขมวดคิ้ว แล้วพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ไอ้หยา เลิกเถียงกันได้แล้ว แม่ก็รับไว้เถอะ กลับบ้านไปพร้อมจิตวิญญาณ คนอื่นถามพ่อแม่ ก็ตอบกลับไปอย่างมีความสุข อย่าเอาแต่พูดกับคนอื่นว่าตัวเองลำบากกันมากน้อยขนาดไหน โดนกรรมตามสนองมาเท่าไหร่ และบอกว่าโดนคนอื่นหลอกยังไงเลย”
เช่าหวารับเงินมาแล้ว จากนั้นหล่อนก็ถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่า “ทำไมถึงพูดไม่ได้ล่ะ ? ” พูดแล้วจะทำให้คนอื่นเห็นใจ ให้อภัยกับความผิดพลาดของพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ ?
MANGA DISCUSSION