ตอนที่ 259 แม่สามีและลูกสะใภ้ร่วมมือกัน
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนขึ้นมาบนตึกมันก็เป็นไปอย่างที่คิด เธอเห็นครอบครัวตระกูลกู้ทำสีหน้ามืดมน มองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ
แน่นอนว่าเธอต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอยู่แล้ว ส่วนอันหลงที่ได้ยินเสียงจากด้านล่างเมื่อครู่นี้ก็แทบอยากจะหัวเราะออกมาจนฟันหัก นี่เป็นการตีวัวกระทบคราด ชาตินี้หล่อนก็แค่ยังไม่ได้ฝึกฝนมากพอ เพราะหล่อนแค่แสร้งทำตัวโง่เขลาเบาปัญญาต่อหน้าแม่สามีเท่านั้น แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว
“เมื่อกี้เธอเอะอะโวยวายอะไรอยู่ข้างล่าง คนบนตึกได้ยินกันเต็มสองหู คนที่เขาไม่รู้คงเข้าใจผิดคิดว่า เธอไปทะเลาะกับใครอยู่ข้างล่าง ! ” อันหลงขมวดคิ้วแกล้งบ่นใส่จางฉุ้ยเหลียน
จางฉุ้ยเหลียนฉีกยิ้ม แล้วพูดด้วยเสียงอาย ๆ “ก็เจ้าแมวดำที่ชอบมาคุ้ยขยะล่างตึกนะสิคะ บ้านเราให้อาหารมันเยอะเกินไป ตอนนี้มันก็เลยเลือกกินแล้วนะค่ะ”
อันหลงพยักหน้าเข้าใจ แล้วตอบกลับจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “อือ ช่างเถอะมากินข้าวเถอะ สัตว์เดรัจฉานยังไงก็คือสัตว์เดรัจฉานอยู่วันยังค่ำ หน้าด้านหน้าทน ต่อไปพอไม่มีใครเอาของดี ๆ ให้มันกินแล้ว เดี๋ยวมันก็กลับไปคุ้ยขยะเหมือนเดิม”
คนพูดไม่คิดแต่คนฟังกลับไม่คิดเช่นนั้น ญาติตระกูลกู้สองสามคนหน้าร้อนขึ้นมาทันที แต่ละคนต่างก็หันมามองหน้ากัน พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าคำพูดพวกนี้กำลังหมายถึงตัวเองอยู่รึเปล่า แต่เกากุ้ยเจินกลับทำหน้าไร้เดียงสา ราวกับว่าหล่อนไม่เข้าใจว่าพวกผู้ใหญ่กำลังคุยอะไรกัน
“มากินข้าวกันเถอะ” อันหลงเรียกทุกคนมานั่ง และก็เริ่มกินข้าว อันหลงยุ่งกับการป้อนอาหารหลาน และก็กินเองบ้างสองสามคำ แม้ว่าจะยุ่งอยู่บ้าง แต่ก็ดีจะได้ไม่ต้องคุยกับแม่สามี
ในฐานะเจ้าบ้าน จางฉุ้ยเหลียนจึงต้องใช้ความคิดนิดหน่อย เพราะเดี๋ยวเธอก็บอกให้เกาหลีม่านกินเยอะ ๆ หน่อย คีบอาหารใส่ถ้วยของแม่เฒ่าเฝิงให้มันไม่เหลือที่ว่างบ้าง จากนั้นยังช่วยรินเหล้าให้กู้เต๋อเปิ่นและลูกชาย และยังต้องคอยดูแลเกากุ้ยเจินไม่ให้ถูกละเลยอีกด้วย
พอลงสนามแล้วเธอก็รู้สึกว่ามันเหนื่อยยิ่งกว่าการวิ่ง 800 เมตรซะอีก นี่มันจะเอาชีวิตกันชัด ๆ
แต่จะว่าไปแล้วครอบครัวตระกูลกู้ก็กินจุใช้ได้ อันหลงตักข้าวเติมถึง 4 ชามและอาหารทุกอย่างบนโต๊ะก็ยังหมดเกลี้ยง แขกมาทั้งหมด 6 คนรวมพวกเธอแม่สามีลูกสะใภ้อีก 2 คน แต่แม้กระทั่งซุปและอาหารอีก 14 อย่างกลับไม่เหลือเลยสักนิด
จางฉุ้ยเหลียนอดทึ่งกับการกินจุของครอบครัวตระกูลกู้ไม่ได้ และมันก็ทำให้แม่สามีของเธอรู้ว่า ช่วงสองวันนี้หล่อนจะต้องทำกับข้าวต้อนรับแขกมากขนาดไหน
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ทุกคนยังมานั่งกินผลไม้กันต่อ พอเห็นจางฉุ้ยเหลียนยังไม่มีท่าทีจะกลับบ้าน อันหลงก็เริ่มนั่งไม่ติด “ฉุ้ยเหลียน เธอพาคังคังกลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้เธอก็เลิกงานเร็วหน่อย จะได้พาพวกพี่สะใภ้ออกไปเดินเล่น”
จางฉุ้ยเหลียนรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที “ไอ้หยา ได้ค่ะ ถ้างั้นพรุ่งนี้หนูจะมาใหม่นะคะ ! ” ขณะกำลังหมุนตัวจะไปบอกลาแม่เฒ่าเฝิง เธอกลับเห็นแม่เฒ่ากำลังทำหน้าจับผิด
“หมายความว่ายังไง ? พวกเธอสองแม่ลูกอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้หรือ นาน ๆ ทีฉันจะได้กลับมาดูหลานชาย แต่พวกเธอกลับไม่ให้ฉันได้อยู่กับเขาเลยอย่างนั้นหรือ ? ”
อันหลงและลูกสะใภ้นิ่งเงียบทันที จางฉุ้ยเหลียนมองแม่สามีด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นดังนั้น อันหลงเลยทำสีหน้าประจบสอพลอทันที “แม่คะ เสี่ยวเฉิงกับภรรยาของเขามีบ้านของตัวเอง แล้วอีกอย่าง บ้านของเราก็ไม่มีของใช้สำหรับคังคัง เด็กน้อยยุ่งยากจะตาย แต่ไม่ว่ายังไงมันก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ถ้าแม่อยากอยู่กับหลาน เดี๋ยวให้เธอพาหลานมาส่งพรุ่งนี้เช้าก็ได้ค่ะ”
แม่เฒ่าเฝิงพูดออกไปอย่างถากถางว่า “มีบ้านเป็นของตัวเอง อยากบอกว่าตัวเองมีเงินล่ะสิ ในกรมทหารไม่มีบ้านพักให้รึไง ? ถึงต้องกลับมาทำตัวอวดดีในเมืองแบบนี้ ? จนถึงตอนนี้พี่ชายของแกก็ยังไม่มีเงินซื้อบ้านเลย แต่เด็กอย่างพวกเขาสองคนกลับได้อยู่บนตึกกันแล้ว เหอะ ! ช่างเวรเป็นกรรมจริง ๆ ! ”
สีหน้าอันหลงดูแย่สุด ๆ จางฉุ้ยเหลียนทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอจึงเอ่ยปากพูดออกไปว่า “พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะคะ เงินบ้านใครปลิวมาตามลมบ้างล่ะ ทุกคนก็อาศัยน้ำพักน้ำแรงหามาทั้งนั้น พวกเราขยันขันแข็ง พ่อแม่ก็ภูมิใจในตัวเรา แล้วอีกอย่าง บ้านของพวกเราหลังนั้นก็เป็นเงินที่พวกเราสองคนหามาเอง”
สีหน้าของกู้เจี้ยนจวินเปลี่ยนไปทันที เขาถามออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “พวกเธอสองคนซื้อเองหรือ ? กู้จื้อเฉิงได้เงินเดือนเท่าไหร่ ถึงกลับมีเงินซื้อบ้านได้เลยหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยกมุมปาก “ในมือเขามีเงินไม่เท่าไหร่หรอก แต่ก็ประหยัดเก็บไว้อยู่บ้าง ถึงตอนแต่งงานพวกเราจะไม่ได้เงินหรือของขวัญอะไร แต่หนูก็ยังมีเงินสินเดิม ถึงแม้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้หนูจะไม่ได้ทำงาน แต่หนูก็ไม่ได้ปล่อยตัวให้ว่างพยายามหาเงินตลอด ถึงบ้านที่ซื้อจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ดีกว่าพวกแทะของเก่า ! ”
อันหลงไม่เข้าใจเท่าไหร่ หล่อนจึงถามออกไปว่า “อะไรคือแทะของเก่า ? ”
จางฉุ้ยเหลียนอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “พวกวัยรุ่นที่ไม่หางานดี ๆ ทำ เอาแต่เกาะพ่อแม่กินไปวัน ๆ แทะพ่อแม่ที่แก่ ๆ เลยเรียกว่าแทะของเก่าค่ะ”
กู้เต๋อเปิ่นคิดว่าคำถามของน้องสะใภ้ไม่ค่อยตรงประเด็นเท่าไหร่ เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงสามารถซื้อบ้านได้ในเวลาอันสั้น นี่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ต้องเป็นเพราะพวกเขามาไถเงินจากน้องชายของตัวเองแน่นอน
แต่เกาหลีม่านกลับดีใจสุด ๆ หล่อนพูดออกไปว่า “น้องสะใภ้เป็นคนที่มีโชค อีกทั้งยังเลี้ยงลูกได้โดดเด่น ฉันนี่เทียบไม่ได้เลยจริงๆ แก่แล้วก็ยังไม่มีเงินเหมือนเดิม”
จางฉุ้ยเหลียนรู้อยู่แล้วว่าครอบครัวนี้มาเพราะเรื่องอะไร สุดท้ายก็ไม่ได้มาเพราะจะยืมเงินหรอกหรือ ถ้าพูดให้เพราะ ๆ คำพูดดี ๆ ให้มันน่าฟังหน่อย หรือกู้เจี้ยนจวินกับภรรยาที่อยู่ในฐานะผู้น้อย ซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากลุงสี่กับป้าสะใภ้สี่ก็ว่าไปอย่าง เพราะเราเองก็ไม่ได้จำกัดจำนวนเงินสักหน่อย อย่างน้อยก็ถือเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือทำตามมารยาทบ้าง แต่พวกเขาทั้ง 6 คนนี้ไม่ได้หอบมะเขือหรือพริกอะไรมาสักอย่าง แบบนี้มันก็เกินไปหน่อยรึเปล่า
พอมาถึงบ้านคนอื่นก็ทำตัวโอหังข่มขู่ชาวบ้าน ตำหนิแม่สามีอย่างโน้นอย่างนี้แล้วยังจู้จี้จุกจิกกับพวกเธอทั้งสองคน แล้วอย่างนี้มันหมายความว่ายังไงกัน ? ไม่มีใครรังแกคนอื่นขนาดนี้หรอกมั้ง คงไม่อยากได้ศักดิ์ศรีกันแล้วสินะ
ถ้าบอกว่าพวกคุณเก่งกว่าพวกเราทุกเรื่อง และยังมีบางเรื่องที่เหนือกว่าพวกเรา นั่นมันก็ว่าไปอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับตาลปัตร ตรงพื้นด้านล่างชั้นวางโทรทัศน์ยังมีคราบน้ำลายสองรอยให้เห็นได้ชัดถนัดตา ครอบครัวนี้กินข้าวก็กินตะกละตะกลาม ใช้ตะเกียบเลือกของไปเลือกของมาจนเละเทะ แล้วก็ยังมีแม่เฒ่าเฝิงที่ตดออกมาอย่างไม่แยแสคนอื่นอีกด้วย
ให้ตายเถอะ สภาพอย่างพวกคุณยังมีหน้ามาขอยืมเงินคนอื่นอีกหรือ ? ศักดิ์ศรีล่ะ ? ศักดิ์ศรีอยู่ที่ไหน ? หน้าใหญ่กันขนาดนี้ ทำไมฉันถึงไม่เห็นมันเลยสักนิด !
“ถ้าจะให้หนูพูดชาวบ้านธรรมดาจะมีเงินเยอะไหมล่ะ ? พวกเราสองสามีภรรยาเอาเงินเก็บออกมาซื้อบ้าน แต่ตอนที่หนูเปิดร้าน แม่สามีของหนูเป็นคนออกเงินให้ พวกเราออกเงินน้อยไม่ได้มากอะไร แม่หนูเอ็นดูพวกเราสองคน และยังคิดถึงความรักที่มีให้กัน สุดท้ายท่านก็หยิบเงินในบ้านมาเปิดร้านหนังสือ ไอ้หยา ใครก็บอกว่าแม่สามีลูกสะใภ้ถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกัน หนูน่ะโชคดีที่ได้เจอแม่สามีที่ดีขนาดนี้ ! ” ปากจางฉุ้ยเหลียนก็เหมือนกับน้ำที่ทะลักออกมาจากเขื่อน เธอชมอันหลงไม่หยุด
ไม่เพียงบอกว่าตัวเองและสามีไม่มีเงินเก็บแล้วเท่านั้น เพราะเธอยังบอกอีกว่าตอนนี้เพิ่งจะยืมเงินจากบ้านแม่สามีมาอีกด้วย และยังบอกว่าเงินเก็บค่อนชีวิตของอันหลงและสามีไปอยู่ที่ร้านหนังสือหมดแล้ว ตอนนี้เงินในมือของทั้งสองมีแค่เงินทุนก้อนเล็ก ๆ ที่หมุนเวียนจากในร้านหนังสือเท่านั้น
“จะกลัวอะไรล่ะ ฉันกับพ่อของเธอยังแข็งแรง ใช้ประโยชน์จากช่วงสองปีนี้เดี๋ยวพวกเราก็ช่วยเธอได้ ผ่านไปอีกสองปีชีวิตของพวกเธอสองคนก็จะดีขึ้นแล้ว” อันหลงกุมมือของจางฉุ้ยเหลียนด้วยใบหน้าอ่อนโยน ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันเหมือนแม่ลูกแท้ ๆ ไม่มีผิด
“จริงหรือ ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอหาเงินได้เยอะมากเลยนะ ไม่มีเก็บแม้แต่น้อยเลยหรือ คงไม่ได้เอาไปให้บ้านแม่หมดหรอกนะ” เกาหลีม่านไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ หล่อนฟังออกว่าแม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้กำลังเล่นละคร พวกเธอคงดูออกว่าบ้านของหล่อนจะมาขอยืมเงิน
จางฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้ว จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ใช่ไหมล่ะคะ มีบางเรื่องที่พวกป้าไม่รู้ ตอนที่หนูท้องคังคัง ชีวิตของหนูต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย ชีวิตที่นั่นยากลำบากและหนูก็ยังท้องแรก ตอนนั้นกู้จื้อเฉิงก็ยังบาดเจ็บ หนูเลยตกใจจนเกือบแท้ง การแพทย์ของที่นั่นก็ธรรมดามาก หนูต้องพักรักษาครรภ์อยู่พักหนึ่ง พอรอจนมาถึงวันคลอด กลับผ่านไปอีกหลายวันลูกในท้องก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะคลอดออกมา”
ทันใดนั้นเองอันหลงก็เข้าใจได้ทันทีเลยว่า ลูกสะใภ้ต้องการพูดเรื่องอะไร หล่อนเลยรับช่วงต่อทันที “ตอนคังคังของพวกเราอายุครบหนึ่งเดือน ฉันก็เล่าให้พวกเธอฟังแล้ว อ้อใช่ ตอนครบสัปดาห์พวกเธอก็มา แต่ตอนนั้นงานยุ่ง ฉันเองก็ไม่รู้ว่าได้เล่าอย่างละเอียดไหม ! ”
หล่อนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วเริ่มเล่าถึงสถานการณ์อันตรายในเวลานั้นออกมา
“ห๊ะ ? ได้ยินว่าถ้าผ่าคลอดจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้นี่ ! ” เกากุ้ยเจินมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพื่อแสดงให้เห็นว่าแม่สามีตัวเองไม่ได้พูดโกหก จางฉุ้ยเหลียนเลยหันหลังให้พวกผู้ใหญ่ตระกูลกู้ แล้วแอบโชว์แผลเป็นให้เกากุ้ยเจินดู
“ไอ้หยา น่ากลัวมาก ! ” เกากุ้ยเจินเผยสีหน้าตกใจและยังเอามือปิดปากด้วยความกลัว จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้ป้าของตัวเอง “เธอผ่าคลอดจริง ๆ ! ”
อันหลงพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่ไหมล่ะ ชีวิตคนเป็นสิ่งสำคัญ ตอนนั้นหมอถึงกับบอกว่า จะเก็บเด็กหรือผู้ใหญ่เอาไว้ เธอคิดว่าฉันจะพูดว่าอะไรล่ะ ฉันจะบอกว่าต้องการหลานแล้วไม่เอาลูกสะใภ้อย่างนั้นหรือ แบบนั้นมันก็ไร้มโนธรรมเกินไปนะ ! ”
แม่เฒ่าเฝิงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาขัดจังหวะ “ทำไมแกถึงได้เหลวไหลขนาดนี้ นั่นมันหลานชายเลยนะ ! ” เพิ่งพูดเสร็จหล่อนถึงได้สังเกตเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนก็อยู่ข้าง ๆ หล่อนจึงรีบหยุดพูดทันที
อันหลงยิ้มดีใจ “ใช่ไหมล่ะคะ เขาเป็นหลานชายเชียวนะ ตอนคลอดคังคังออกมาเป็นเรื่องที่ยากมาก ตอนนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ลูกสะใภ้ของเราน่ะน่าสงสาร นั่นเป็นการเดินออกมาจากประตูผีเชียวนะ”
จางฉุ้ยเหลียนมองอันหลงด้วยสีหน้าซาบซึ้ง น้ำเสียงจริงใจเช่นนั้นแทบจะหลอกแม้กระทั่งตัวเองได้ด้วยซ้ำ “ถ้าไม่ได้แม่ออกเงินให้เยอะมากขนาดนั้น หนูก็คงจะไม่รอดแล้ว”
อันหลงโบกมือไปมาอย่างไม่ถือสา “นั่นมันชีวิต เธอเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลกู้ของเรา นี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำหรอกหรือ มีเงินไว้ก็ไม่ใช่เพราะเอามาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินรึไง ! ”
จางฉุ้ยเหลียนรับบทต่อทันที “ตอนหนูคลอดหนูลูก เราก็เสียเงินไปไม่น้อย นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเราสองคนถึงหาเงินซื้อบ้านเอง เราไม่อยากจะทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วง แต่สุดท้ายกลับคิดไม่ถึงเลยว่าแม่สามีของหนูจะดีกับพวกเราขนาดนี้ เธอเอาเงินเก็บที่เหลือออกไปเปิดร้านขายหนังสือ แต่ละวันทำงานยุ่งอย่างกับอะไรดี ก็เพื่ออยากจะแบ่งเบาภาระให้พวกเราสองคน ! ”
แม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย เล่นใหญ่จนทำให้คนประทับใจ
น้ำตาจางฉุ้ยเหลียนหลั่งไหลรินออกมา พร้อมกันนั้นยังพาคังคังเดินออกมาจากบ้าน อันหลงเองก็เช็ดน้ำตาที่หางตาจากนั้นก็เข้าไปทำงานในครัว บอกว่าจะทำแป้ง พรุ่งนี้จะทำซาลาเปาให้พวกเขากิน
ทุกคนเองก็รู้ดีแก่ใจว่า ตัวอันหลงรู้สึกอึดอัดใจที่อยู่กับพวกเขา เมื่อหล่อนเดินเข้าไปในครัว ในที่สุดครอบครัวนี้ก็ได้มีเวลาคุยกันสักที แต่ก็ต้องลดเสียงลงต่ำ อันหลงเองก็รู้ดีแก่ใจเลยเดินออกมาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไอ้หยา ในบ้านไม่มีน้ำส้มสายชูแล้ว เดี๋ยวฉันลงไปซื้อน้ำส้มสายชูก่อนนะ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าต้องรีบไปซื้อแทน ! ”
พอประตูปิดลง เกากุ้ยเจินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตัวอ่อนทรุดตัวนั่งบนโซฟา พร้อมเผยแววตาดูถูกออกมาเล็กน้อย “ไอ้หยา แม่ลูกคู่นี้แสดงเข้าขากันจริง ๆ ! ”
เกาหลีม่านบุ้ยปากและเค้นเสียง ‘หึ’ ออกมาอย่างเย็นชา ดวงตาคู่นั้นเหลือบไปมองกู้เต๋อเปิ่นสามีของตัวเอง “คุณเห็นไหม ตอนนี้พวกเขาไม่เห็นคุณเป็นพี่ชายด้วยซ้ำ ลูกสะใภ้คนนั้นของเจ้าสี่ ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ เลย ยัยนั่นฉลาดจะตายไป พวกเรามาทำอะไร บ้านเขาก็ดูออกหมดแล้ว”
แม่เฒ่าเฝิงถอนหายใจออกมายาว ๆ “ไม่ใช่ครอบครัว ไม่เดินเข้าประตูเดียวกัน ! ”
กู้เต๋อเปิ่นและภรรยาไม่มีใครเห็นว่า ลูกชายและลูกสะใภ้ของตัวเองกำลังหดตัวเข้าไปในโซฟาลึกเข้าไปทุกที ๆ ทั้งสองคนรู้สึกผิดจนไม่อยากพูดออกมาสักคำ เพราะทั้งสองคนปากโป้งบอกจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้เอง
คนในเมือง หลักแหลมจริง ๆ !
MANGA DISCUSSION