ตอนที่ 256 คลื่นลมตระกูลกู้
แม้อันหลงจะเกรงกลัวแม่สามีขนาดไหน แต่ในเวลานี้หล่อนก็อดที่จะโมโหขึ้นมาไม่ได้ หล่อนจ้องมองไปที่เกาหลีม่านด้วยสีหน้าบึ้งตึง จากนั้นก็พูดออกไปว่า “พี่สะใภ้ใหญ่หมายความว่ายังไง ? ทำไมพี่ถึงพูดแบบนี้ล่ะ ! ”
เกาหลีม่านทำหน้าไม่แยแส “ไอ้หยา ฉันก็แค่ถามดูเท่านั้นเอง เพราะคนที่บ้านบอกว่า ลูกสะใภ้ของพวกเธอเป็นคนมีการศึกษาจบจากมหาวิทยาลัย เดิมทีฉันก็คิดว่า หล่อนจะเป็นสาวใหญ่อายุเท่ากับเสี่ยวเฉิง แต่ฉันกลับคิดไม่ถึงเลยว่าหล่อนจะอายุเท่ากับกุ้ยเจิน ทำไมหล่อนถึงได้แต่งงานเร็วขนาดนี้ล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหันไปมองอันหลงพักหนึ่ง ส่วนอันหลงก็ส่งสายตาให้เธอเช่นกัน เธอเข้าใจอันหลงที่สุด แม้ว่าหล่อนจะกลัวแม่สามี แต่ความรู้สึกอยู่เหนือในกระดูกของหล่อนก็ยังมีอยู่มากโข โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กสองคนนี้ เธอก็เป็นเหมือนดินแดนแห่งชาติที่ไม่อาจละเมิดได้
“หนูเองก็ไม่ได้ถือว่าแต่งงานเร็วนะคะ เพราะหนูก็เรียนมหาวิทยาลัยจบแล้ว และทางกองทัพก็ได้ตรวจสอบแล้วเช่นกัน และการแต่งงานก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วกุ้ยเจินล่ะคะ ทำไมหล่อนถึงยังไม่ได้แต่งงาน ? ตอนนี้หล่อนทำงานอยู่ที่ไหน แล้วหล่อนเรียนจบมหาวิทยาลัยอะไรมา ? ” จางฉุ้ยเหลียนมีท่าทีสงบเสงี่ยม แต่ในคำพูดกลับแฝงไปด้วยความหยิ่งผยอง
เกากุ้ยเจินหน้าแดง จากนั้นหล่อนก็หันไปมองที่เกาหลีม่าน เกาหลีม่านจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก “แต่เธอก็แต่งงานเร็วเกินไปนะ เพราะตอนนี้ประเทศก็สนับสนุนให้ประชาชนแต่งงานช้า แล้วอีกอย่างเธอก็เป็นถึงนักศึกษา แล้วทำไมเธอถึงต่อต้านประเทศชาติล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้ม เหยียดนิ้วขาวเนียนละเอียดมาแตะที่มุมปาก เลียนแบบท่าทางหวางซีฟ่งในละครโทรทัศน์ จากนั้นเธอก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงคลุมเครือว่า “ไอ้หยา คุณป้าใหญ่ คุณป้าลืมไปแล้วหรือค่ะว่า กู้จื้อเฉิงของเราอายุเยอะแล้ว แล้วอีกอย่าง ทางกองทัพก็แนะนำให้พวกเราแต่งงานกันเร็ว ๆ ไม่อย่างนั้นหนูจะทิ้งอนาคตที่สดใสแล้วตามกู้จื้อเฉิงไปอยู่ในที่รกร้างขนาดนั้นตั้งหลายปีหรือคะ ? ”
ขณะพูดเธอก็หันไปมองเกากุ้ยเจินอย่างอวดดี “กุ้ยเจิน เธอก็ไม่รีบหน่อยหรือ ? เพื่อนนักศึกษาพวกนั้นของฉันก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว ชายโสดที่อายุเท่ากับเรา ถ้าไม่โดดเด่นจนเอื้อมไม่ถึง ก็เป็นของเสียที่ทำให้เธอไม่มีอนาคตได้นะ”
ไม่รู้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านนี้ เกากุ้ยเจินได้ยินคำพูดพวกนี้มาเยอะมากขนาดไหนแล้ว คนรอบข้างพูดก็ช่างเถอะ แต่ความหมายที่จางฉุ้ยเหลียนต้องการจะสื่อ เธอไม่ได้กำลังหมายถึงต้องการเยาะเย้ยหล่อนหรอกหรือ ? เธอก็เรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วอย่างนี้หล่อนจะไปดูถูกเธอได้อย่างไรกัน
“พวกเราก็พูดกันแบบนี้แหละ แต่ที่บ้านของเราก็ไม่มีผู้ชายที่เหมาะสมกับเจินเลยสักคน พอดีเราย้ายมาทางนี้ ก็เลยพาหล่อนมาด้วย เอ่อคือ….ภรรยาของจื้อเฉิง เธอเองก็รู้จักคนเยอะ ยังไงเธอก็ช่วยแนะนำผู้ชายให้หล่อนหน่อยแล้วกันนะ” กู้เต๋อเปิ่นดูเหมือนคนปกติมากที่สุด แม้ว่าจะทำตัวสูงส่งทำให้คนปฏิเสธได้ยากไปหน่อย แต่เมื่อเทียบกับภรรยาและแม่ของเขาแล้ว เขาก็ถือว่าเป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่งเลย
“คุณย่า ผมหิวน้ำ ! ” ทันใดนั้นเองจู่ ๆ เสียงเด็กน้อยของคังคังก็ดังขึ้น และมันก็ทำลายความอึดอัดในบ้านหลังได้ในทันที
อันหลงจึงรีบพูดออกไปว่า “ได้ ได้ ได้ ย่าจะไปรินน้ำให้หลานเดี๋ยวนี้แหละ”
เดิมทีบนโต๊ะก็มีชาสมุนไพรพร้อมแก้ววางอยู่แล้ว จางฉุ้ยเหลียนเองก็รินชาให้ทุกคนแล้ว แต่อันหลงกลับไม่ได้รินน้ำให้กับหลานรักของตัวเองเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงพาคังคังไปที่ห้องครัว
จางฉุ้ยเหลียนยืนพูดกับกู้เต๋อเปิ่นด้วยความเคารพ “ได้ค่ะ ขอแค่กุ้ยเจินมีความสุข หนูยังมีคนช่วยถามไถ่เรื่องนี้ให้ได้ค่ะ”
เพิ่งเข้ามาในบ้าน เกาหลีม่านก็รู้สึกรับมือหลานสะใภ้คนนี้ได้ยากแล้ว หลังจากที่ได้พูดกันมาสักพักแล้ว ตัวเองกลับไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบเลยสักนิด เมื่อกี้หลานรุ่นราวคราวเดียวกันของหล่อนก็ยังโดนเล็บอ่อน ๆ ของจางฉุ้ยเหลียนแทงเข้าด้วย ในใจจึงรู้สึกอารมณ์เสียสุด ๆ หล่อนเลยเผยสีหน้าที่เย็นชาออกมา “แนะนำอะไรกันล่ะ ไม่ได้ยินหลานสะใภ้พูดหรือ ตอนนี้ผู้ชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ถ้าไม่ใช่พวกไม่เอาถ่าน ก็เป็นพวกที่เก่งเกินไป เธอเองก็ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหนเหมือนกัน”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมา จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ไอ้หยา หนูก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองแหละค่ะ วาสนาของกุ้ยเจินยังไม่มาถึง บางทีพอมาอยู่ที่เมือง Q แล้ว หล่อนอาจจะมีวาสนาได้พบพานกับคนรักของหล่อนก็ได้นะคะ”
แม่เฒ่าเฝิงเห็นว่าลูกสะใภ้ตัวเองออกไปซ่อนตัวแล้ว ส่วนหลานสะใภ้คนนี้ก็พูดไม่หยุด รูปลักษณ์ภายนอกดูโดดเด่นงดงาม แต่หลังจากสังเกตมาสักพัก หล่อนกลับคิดว่าเด็กคนนี้ดูโอหังกว่าอันหลงเมื่อตอนยังสาวซะอีก
ข้อแรกก็คือ เธอแต่งตัวเยอะเกินไป พวกผู้ชายก็ไม่อยู่บ้านแล้วเธอจะแต่งแบบนี้ไปให้ใครดูกัน กางเกงตัวนั้นก็ไม่รู้จักซื้อให้มันหลอมสักหน่อย แนบกับต้นขาขนาดนั้นไม่กลัวเป้าขาดบ้างหรือยังไง แล้วตูดของเธอก็โด่งจนจะขึ้นไปถึงสวรรค์ได้อยู่แล้ว หน้าอกเองก็ใหญ่เกินไป ไม่รู้จักละอายบ้างเลยรึไง มีลูกแล้วยังกล้าใส่กระโปรงสีแดงอีก ทำตัวสะดุดตาเกินไปแล้ว แล้วยังทำผมเกล้าขึ้นมาอีก ไม่ใช่เจ้าสาวใหม่สักหน่อย
และข้อสองก็คือบนของเธอตัวทาผงหอม ขนาดคนอายุมากอย่างหล่อนยังไม่กลิ่นผงหอมจากตัวของเธอเลย ของพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงในซ่องพวกนั้นคิดค้นขึ้นมา แล้วก็ยังมีลูกไม้น้อย ๆ ที่แม่สามีทุนนิยมของเธอเคยใช้ หล่อนเองก็ใช้ของพวกนี้หลอกล่อผู้ชาย ไม่ได้เรียนรู้อะไรมาจากแม่สามีเธอเลยจริง ๆ
ส่วนข้อสามคือ ปากร้าย ผู้อาวุโสพูดหนึ่งประโยค แต่เธอก็ตอบกลับหนึ่งประโยค ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่รู้ความ บ้านแม่ของเธอสั่งสอนไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ !
แม่เฒ่าเฝิงเหล่ตามองไปที่จางฉุ้ยเหลียนราวกับว่าตัวเองคิดถูกตลอดเวลา ในใจของหล่อนก็ให้กากบาทอันใหญ่กับจางฉุ้ยเหลียนไปแล้ว ส่วนจางฉุ้ยเหลียนกลับยังไม่รู้ตัว เกากุ้ยเจินที่ชมเชยและวิพากษ์วิจารณ์อย่างลับ ๆ แทบอดไม่ได้ที่จะเอาหน้ามุดดิน
“ไอ้หยา ไม่ทราบว่าคุณป้าใหญ่กับคุณลุงใหญ่จะมาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนคะ ? ”
คำพูดประโยคนี้ของจางฉุ้ยเหลียน ทำให้เกาหลีม่านหาทางเอาคืนได้ หล่อนจึงถามออกไปอย่างเย็นชาว่า “ทำไมหรือหลานสะใภ้ เธอกลัวพวกเราจะมากินข้าวที่บ้านของเธอจนหมดหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนตกใจขึ้นมาทันที ต่อจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา “คุณป้าใหญ่นี่น่าสนใจจริง ๆ เลย คุณป้าลองคิดดูสิคะว่า พวกเราสองคนก็เพิ่งจะได้เจอกันวันนี้เองไม่ใช่หรือ หนูก็แค่จะบอกให้คุณป้าอยู่ต่ออีกสักสองวันต่างหากล่ะคะ หนูจะไม่อยากให้คุณป้าอยู่ได้ยังไงกัน”
จางฉุ้ยเหลียนเห็นคุณย่าของสามีหรือแม่เฒ่าเฝิงยื่นหน้าแก่ ๆ ออกมา พร้อมกับจับจ้องมาที่เธอด้วยดวงตาวาวโรจน์ เธอเลยเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมา และไม่เข้าใจว่าคุณยายคนนี้แกคิดจะทำอะไร เธอเลยฉีกยิ้มดีใจไว้ก่อน แล้วเริ่มพูดเรื่องไร้สาระด้วยท่าทางจริงจัง “หนูก็แค่อยากจะรู้ว่าคุณลุงใหญ่กับคุณป้าใหญ่วางแผนเอาไว้ยังไง พวกคุณมาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมญาติหรือมาหาเพื่อน เตรียมตัวจะอยู่กี่วัน หนูจะได้จัดตารางเวลาตัวเอง เพื่อที่จะได้มาดูแลพวกคุณได้”
คู่สองสามีภรรยาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่ไม่ได้ส่งเสียงมาโดยตลอดก็พูดขึ้นมาว่า “ใช่ พวกเธอคงจะมีงานที่ต้องทำ เธอไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก พวกเราเตรียมจะย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านเก่าเท่านั้นเอง”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตกใจขึ้นมาทันที เธอจำไม่ได้เลยสักนิดว่า ชาติที่แล้วจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย อันหลงที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวแทบจะทำถ้วยแตก มือทั้งสองข้างขอหล่อนก็สั่นไปหมด
“อ้อ งั้นก็ดีเลยสิคะ พวกเราจะได้เจอกันบ่อย ๆ ต่อไปคงสนุกแน่ค่ะ ! ” จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้แสดงสีหน้ากังวลออกมาให้เห็น แต่ในใจของเธอกลับเริ่มกังวลแทนแม่สามีแล้ว เธอจำได้แค่ว่าพอคุณย่าของสามีมาพักที่บ้านแม่สามีของเธอ หล่อนก็ขายบ้านที่บ้านนอก ส่วนเงินก้อนนั้นไปอยู่ที่ไหนเธอก็ไม่รู้เช่นกัน และในความทรงจำของเธอ เรื่องที่คุณลุงกับคุณป้าที่เคยดูแลคุณย่าคนนี้ก็โดนทรมานมาไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนจะเป็นเพราะสาเหตุอะไร เธอเองก็ไม่เคยถาม
“เธอทำงานรับราชการอยู่ที่ไหนหรือ ? ” จู่ ๆ แม่เฒ่าเฝิงที่เอาแต่เฝ้าสังเกตมาตลอดก็พูดขึ้น จางฉุ้ยเหลียนเลยรีบตอบออกไปทันทีว่า “หนูไม่ได้รับราชการค่ะ หนูเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับคนอื่นเท่านั้น”
คนตระกูลกู้พวกนี้ต่างก็รู้ดี และก็แอบหัวเราะเยาะเย้ยอันหลงและกู้เต๋อไห่มาโดยตลอด เกาหลีม่านเผยแววตาดูถูกออกมาเล็กน้อย หล่อนหันไปมองที่สามีตัวเอง ทันใดนั้นกู้เต๋อเปิ่นก็ขมวดคิ้ว แล้วถามออกไปด้วยความไม่พอใจว่า “เธอเรียนจบมหาวิทยาลัย ทำไมถึงไปทำธุรกิจค้าขายล่ะ ? ประเทศชาติบ่มเพาะเธอมานานขนาดนี้ แต่พวกเขากลับปล่อยให้เธอทำงานนี้ได้อย่างนั้นหรือ หัวใจของการปลูกฝังไม่ได้เล็ก ความรู้ที่ได้มาก็เสียเปล่าน่ะสิ ! ”
พอเงยหน้าเห็นอันหลงถือจานผลไม้เดินเข้ามา เขาก็เริ่มระเบิดใส่ภรรยาของน้องชายตัวเองทันที “เหล่าซื่อนี่มันยังไงกัน คนนอกก็ช่างเถอะ แต่คนของบ้านตัวเองกลับไม่สนใจเลยรึไง ? ฉันว่าเขาไม่ต้องเป็นผู้กำกับการอะไรนั่นแล้วล่ะ ไร้ประโยชน์ ! ”
การที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่คราวนี้ ในที่สุดจางฉุ้ยเหลียนก็เข้าใจการจัดลำดับและสถานะของพ่อสามีในบ้านตระกูลกู้เสียที และเธอก็เข้าใจแล้วว่าอันหลงมีช่วงชีวิตที่ยากลำบากมากจริง ๆ นอกจากฐานะของหล่อนจะทำให้คนไม่ชอบขี้หน้าแล้ว สถานะของสามีของหล่อนยังทำให้คนอื่นอึดอัดด้วยอีกต่างหาก
แม่เฒ่าเฝิงมีลูกทั้งหมด 9 คน แบ่งเป็นลูกชาย 6 คน ลูกสาวอีก 3 คน พี่น้องรุ่นเดียวกันแบ่งเป็น เปิ่น เชิ่ง ช่าง ไห่ หวาง และฝู ดูจากชื่อแล้วก็เดาได้ไม่ยากว่า ความคาดหวังและสถานะของพี่น้องทั้งหกคนนี้อยู่ตรงไหนในใจของพ่อแม่
พ่อสามีของเธออย่างกู้เต๋อไห่เกิดในช่วงที่หมู่บ้านกำลังกวาดล้างพวกภูติผีปีศาจพอดี ในเวลานั้นทุกคนในครอบครัวต่างพากันไปซ่อนตัว แต่เป็นเพราะเสียงร้องไห้ของกู้เต๋อไห่เรียกผีให้เข้ามาหา ด้วยเหตุนี้ผีเลยเจอตัวพ่อเฒ่าที่อุ้มกู้เต๋อช่างอยู่ ปู่หลานคู่นั้นเลยโดนปีศาจที่ยังมีชีวิตอยู่ทำร้ายจนตายที่หน้าทางออกห้องใต้ดิน แม่เฒ่าเฝิงต้องเอามือปิดปากเด็ก ถึงทำให้ทุกคนในครอบครัวปลอดภัย
ต่อมาสองสามีภรรยาคู่นี้ก็เริ่มละเลยกู้เต๋อไห่ ช่วงวัยเด็กถ้าหากว่าเขาร้องไห้ออกมาก็จะโดนตีทันที และโดนแม่เฒ่าเฝิงชี้หน้าด่าทุกครั้ง “ร้อง ร้อง ร้อง รู้จักแต่ร้องไห้ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะแกร้องไห้ ปู่กับพี่สามของแกก็คงไม่โดนผีทำร้ายจนตาย”
ต่อมาก็มาถึงช่วงต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ในเวลานั้นกู้เต๋อเปิ่นมีอายุ 20 ปี และกู้เต๋อเชิ่งอายุ 18 ปี พวกเขาข้ามแม่น้ำยาลู่ไปอย่างภาคภูมิใจ แต่คนที่กลับมากลับมีแค่กู้เต๋อเปิ่นที่แต่งเครื่องแบบทหารและมีแผลเต็มตัว ตอนนั้นกู้เต๋อไห่อายุได้แค่ 11 – 12 ปีเท่านั้น แต่เขาก็ต้องแบกรับภาระของครอบครัวแล้ว
ต่อจากนั้นเขาก็ไปเป็นทหาร และยังแต่งงานกับอันหลงที่ครอบครัวไม่ชอบใจ ในสายตาของแม่เฒ่าเฝิง ลูกชายเช่นนี้ก็คือเวรกรรมจากชาติที่แล้ว
ดังนั้นถึงแม้ว่าลูกชายคนโตจะไม่ได้อยู่ข้างกาย แต่หล่อนก็ยอมอยู่กับลูกชายเล็กอีก 2 คน และยิ่งไปกว่านั้นถึงกู้เต๋อเปิ่นจะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แต่ภรรยาของเขาก็ดูแลหล่อนราวกับว่าหล่อนเป็นแม่แท้ ๆ ของตัวเอง และก็เป็นจุด ๆ นี้เองที่กู้เต๋อไห่ทำไม่ได้
ชื่อเล่นของกู้เต๋อไห่คือ “สอง” และนี่ก็เป็นเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งจะรู้ในเวลาต่อมาว่า ทำไมญาติห่าง ๆ ถึงเรียกกู้เต๋อไห่ว่าพี่รอง
ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว กู้เต๋อไห่ก็ไม่ได้มีสถานะอะไรในตระกูลกู้เลยสักนิด ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ดีที่สุดในบรรดาพี่น้อง เวลาที่พี่น้องต้องการเงิน เขาก็จะให้โดยไม่เห็นแก่ตัว แต่เพียงแค่คำว่า “ระบบทุนนิยมอันชั่วร้าย” ของแม่เฒ่า ทุกคนจึงรู้สึกว่าการใช้เงินของพวกทุนนิยมเป็นการต่อสู้ ไม่รู้สึกซาบซึ้ง เพราะไม่ว่ายังไงแกก็มีเงิน
ต่อมาแม้ว่ากู้จื้อเฉิงจะเติบโตขึ้นมามากแล้ว แต่ก็ยังมีคนมาขอร้องให้กู้เต๋อไห่หางานให้ตนเองทำในเมือง กู้จื้อเฉิงเข้าร่วมกองทัพด้วยตัวเอง พึ่งพาตัวเองต่อสู้กับโลกใบนี้ แล้วคนเป็นพ่ออย่างกู้เต๋อไห่จะหางานอะไรให้ญาติ ๆ ได้อย่างนั้นหรือ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เขาได้ทำงานอยู่ที่หน่วยเกษียณอายุ คนที่ดูแลก็เป็นทหารผ่านศึกที่เกษียณอายุแล้วทั้งนั้น คนที่มีความสามารถจำกัดเจอกับคนโลภแต่ไม่รู้คุณค่า เขาเลยกลายเป็นคนดีที่ไม่ได้ผลตอบแทนยิ่งกว่าเดิม
คำถามของกู้เต๋อเปิ่นแทบทำให้อันหลงข้อเท้าพลิก หล่อนรู้ดีว่าเขากำลังขุดเรื่องเก่า ๆ มาสร้างปัญหา
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มหวาน “เรื่องนี้จะไปโทษพ่อสามีของหนูไม่ได้หรอกค่ะ เป็นเพราะหนูตัดสินใจจะทำเอง”
“รนหาที่ตกต่ำ ! ” กู้เต๋อเปิ่นมองไปทางจางฉุ้ยเหลียน พร้อมกับพูดจาถากถางออกมา แต่ถึงอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้แยแสเลยสักนิด
“ตอนที่หนูเรียนจบ ทางวิทยาลัยก็จัดงานให้นักศึกษาดีมากค่ะ แต่พอหนูย้ายไปอยู่ที่โน้น พวกเขาก็ไม่ได้ดำเนินเรื่องอะไรให้หนูเลย พอกลับมาปีนี้ กลับได้รู้ว่าตอนนี้ทางวิทยาลัยไม่หางานให้นักศึกษาแล้ว เด็กที่เพิ่งจบใหม่ต้องหางานเอง แล้วคนอย่างหนูที่ไม่ได้ทำงานมาหลายปีแล้ว จะไม่แย่เข้าไปใหญ่หรือคะ”
ทุกคนตกใจ กู้เต๋อเปิ่นซ่อนความประหลาดใจไว้ไม่อยู่ “อะไรนะ ? วิทยาลัยไม่หางานให้นักศึกษาแล้วอย่างนั้นหรือ ? ”
MANGA DISCUSSION