ตอนที่ 251 ที่รัก
จางฉุ้ยเหลียนถามฟู่ซินออกไปด้วยท่าทางตื่นเต้นว่า “ฉันเข้าใจแบบนี้ได้ไหม ! เหล่าหวังเอาที่ดินผืนนี้ขายให้เหล่าหลี่ในราคา 100 หยวน ส่วนเหล่าหลี่ก็นำไปสร้างบ้านทั้งหมด 8 หลัง แถมยังขายได้หลังละ 1,000 หยวน ต่อมาเหล่าหวังรับประกันว่าบ้านแปดหลังนี้จะถูกรื้อถอนและสร้างใหม่ตามวันที่ทำสัญญา หลังจากนั้นก็จะขายมันออกไปได้อย่างราบรื่น แต่เหล่าหลี่ต้องขายบ้านราคา 1,000 หยวนนี้ ให้เหล่าหวังในราคาที่ต่ำกว่าคือ 600 หยวนต่อหลัง และบ้านราคา 600 หยวนนี้ก็มีเหล่าหวัง เหล่ามู่ และพวกกุ้งหอยปูปลาเป็นคนมาซื้อมันไป”
ฟู่ซินรู้สึกเหวอในทันที ทางด้านของตงลี่หวา หล่อนก็ไม่เข้าใจ แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ยังพูดออกมาอย่างมีอิสระว่า “ส่วนเรื่องที่ว่าเหล่าหวังจะเป็นคนออกเงินไหม นั่นก็เป็นเรื่องของเหล่าหวัง แต่เหล่ามู่จะได้กำไรอย่างแน่นอน เพราะเขาซื้อบ้านมาในราคา 600 หยวน แต่กลับขายออกไปได้ในราคา 1,000 หยวน การค้าขายที่ไม่ขาดทุนแบบนี้ ก็เป็นเงินที่เขาได้มาจากมือของประชาชน การที่เถ้าแก่มู่จะทำธุรกิจนี้มันได้ไม่เลว เพราะเขาไม่จำเป็นต้องลงทุน แถมยังได้กำไรก้อนโต ! ”
คำพูดที่มู่จิ่นหนานพูดออกมาก่อนหน้านี้ ฟู่ซินก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน เขารู้เพียงแค่ความหมายโดยรวม แต่ก็เข้าใจเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ในเวลานี้เมื่อเขาได้ยินการคาดการณ์ของจางฉุ้ยเหลียน เขาก็เริ่มรู้สึกว่าคำพูดของจางฉุ้ยเหลียนดูสมเหตุสมผลขึ้นมาทันที
เหมือนมันจะดูคล้ายกับคำพูดของมู่จิ่นหนานอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่ามันจะดูแย่กว่าหน่อย แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลกับความเป็นจริง แต่ความหมายของจางฉุ้ยเหลียนก็คือ พวกเขาทั้งสองคนก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ได้รับเงินเดือนจากมู่จิ่นหนาน เถ้าแก่ใหญ่อย่างมู่จิ่นหนานต่างหากที่จะได้กำไรก้อนโต โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไรเลย หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาทั้งสองคนเป็นคนงานของมู่จิ่นหนานนั่นเอง
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็เลยคิดว่าการค้าครั้งนี้ จะทำเงินให้เราได้แค่น้อยนิดอย่างนั้นใช่ไหม ? ” ฟู่ซินเริ่มลังเลขึ้นมา
ส่วนจางฉุ้ยเหลียนกลับส่ายหัว “มันก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันว่าเราก็คงจะไม่ได้น้อยอะไรขนาดนั้น และมันก็คงจะได้มากกว่าร้านของเราไม่เท่าไหร่ แต่ฉันก็กังวลอยู่นิดหน่อย ถ้าเจอชาวบ้านที่ไม่ยอมย้ายออกไป นายจะทำยังไงล่ะ ? ”
ตงลี่หวาที่ยืนแอบฟังอยู่ในห้องครัว ก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ลูกพูดถูก บ้านเป็นสิ่งที่ชาวบ้านหามาได้อย่างยากลำบาก ต้องมีบ้านเก่าบางหลังที่อยู่กันมาหลายสิบปี อีกทั้งพวกเขาก็ยังไม่มีที่พักอาศัยดี ๆ ให้ย้ายไปอยู่ แล้วใครจะยอมย้ายกันล่ะ ชาวบ้านไม่ไป แล้วเขาจะบังคับให้คนพวกนั้นออกไปอย่างนั้นหรือ แล้วเขาจะเอาอะไรไปบังคับคนพวกนั้นล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดประชดออกไปว่า “นายจะใช้โอกาสตอนที่เจ้าของบ้านไม่อยู่บ้าน เข้าไปรื้อบ้านทั้งหลังในคราวเดียว หรือนายจะไปทำร้ายร่างกายและข่มขู่พวกเขา หรือว่าจะใช้วิธีอะไรล่ะ ? ”
ฟู่ซินตกตะลึงกับคำถามของจางฉุ้ยเหลียน เขาก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าควรจะทำยังไงดี แต่เหมือนจางฉุ้ยเหลียนจะเข้าใจเรื่องนี้มากกว่าเขาอย่างไรอย่างนั้น เขาเลยอดที่จะถามออกไปไม่ได้ว่า “ถ้างั้นเธอคิดว่าควรจะทำยังไงล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา “ทำยังไงอย่างนั้นหรือ ? ก็ยำเลยสิ ! ถ้านายเปิดบริษัทรื้อถอนแล้ว พอตอนนั้นฉันก็จะเปิดร้านขายซาลาเปา และถ้ามีชาวบ้านคนไหนไม่ยอมย้ายออกไป นายก็แค่จับคน ๆ นั้นมาเลาะเนื้อออก สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วเอามาขายให้ฉัน พวกเราสองคนทำธุรกิจร่วมกัน นายฆ่าคน ส่วนฉันก็ซื้อเนื้อคนมาทำซาลาเปา แล้วก็พอดีเลย เพราะแม่ของฉันก็กำลังนึ่งซาลาเปาอยู่ในครัวพอดี พวกเรานี่ช่างมีวาสนาต่อกันจริง ๆ ! ”
ตงลี่หวาถึงกับขมวดคิ้ว หล่อนเหลือบไปมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตารังเกียจ “ไอ้หยา ทำไมลูกถึงได้พูดอะไรน่ากลัวแบบนี้ล่ะ แล้วอย่างนี้คนอื่นเขาจะกินซาลาเปาลงได้ยังไง แล้วยังกล้าบอกว่าจะทำซาลาเปาไส้เนื้อคนอีก ลูกจะทำเรื่องแบบนั้นได้รึไง ! ”
เมื่อฟู่ซินได้ยินจางฉุ้ยเหลียนพูดแบบนี้ออกมา เขาจึงอดบ่นขึ้นมาในใจไม่ได้ หัวใจของผู้หญิงคนนี้เหมือนเข็มลึกในก้นมหาสมุทรจริง ๆ เมื่อกี้ยังยืนหยัดยึดถือคุณธรรมปฏิเสธไม่ทำอยู่หยก ๆ แต่เสี้ยวนาทีต่อมากลับแสดงท่าทางแบบนั้นออกมาอย่างนั้นหรือ ? นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ?
ก่อนหน้านี้จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าบริษัทรื้อถอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่บริษัทกกลั่นแกล้งประชาชนก็เท่านั้น แต่เมื่อเธอได้ลองมาคิดดูให้ดี ๆ แล้ว นี่มันก็เป็นเหมือนกับร้านขายเนื้อสุนัขไม่ใช่รึไง
มู่จิ่นหนานอยากจะยื่นมือเข้ามาทำธุรกิจในเมือง Q เขาเลยมาหาผู้ทรงอำนาจในเมืองนี้ และตัวเขาก็ได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนฟู่ซินก็เป็นแค่คนงานของเขาเท่านั้น และฟู่ซินเองก็ไม่ได้รังเกียจ เพราะเขาเองก็อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เขาย่อมมีความใฝ่ฝันเป็นของตัวเอง
หลังจากครุ่นคิดมาสักพักแล้ว เธอก็พูดกับฟู่ซินออกไปว่า “ฉันไม่คิดจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับบริษัทรื้อถอนนี่ แต่ถ้าจะให้ฉันไปมีส่วนร่วมในเรื่องของบัญชีก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
พอฟู่ซินได้ยินจางฉุ้ยเหลียนพูดแบบนั้น เขาก็ดีใจขึ้นมาทันที “ขอแค่เธอยอมเข้าร่วม มู่จิ่นหนานก็จะไม่ถามแน่นอนว่า เราสองคนตกลงอะไรกันไว้ หลังจากนี้ไปฉันก็จะให้เงินเธอเยอะหน่อย และถ้ามีบ้านหลังไหนเหมาะ ๆ ฉันก็จะบอกให้เธอรู้”
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินแบบนั้น เธอก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้มานั่งอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่าชาวบ้าน เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินเล็ก ๆ ก้อนนี้ ฉันก็แค่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เท่านั้น นายไม่ได้เป็นคนบอกเองเหรือว่ามู่จิ่นหนานทำเพื่อตอบแทนฉัน ฉันว่าเขาก็แค่ดูถูกพวกเราที่มีพื้นฐานอ่อนแอ หลอกง่ายก็เท่านั้นเอง แต่ในเมื่อนายอยากทำ และฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าเขาอยากดึงพวกเราเข้าไปเอี่ยวด้วย เพราะอย่างนั้นเขาก็คงไม่สนอะไรเท่าไหร่หรอก”
ฟู่ซินก็คิดว่ามันเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน มู่จิ่นหนานไม่เหมือนกับคนที่จะรับมือด้วยได้ง่าย ๆ เพราะเขาไม่จำที่จะเป็นต้องรีบเข้ามาขอบคุณจางฉุ้ยเหลียน แค่เขาใช้สมองก็ทำให้เธอได้ประโยชน์มากมายมหาศาลแล้ว
ถ้าเป็นอย่างที่เธอพูดจริง ๆ ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม แต่การที่เขาได้ยืมมือฐานะที่เธอเป็น “ญาติฝ่ายหญิง” ของเขามันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว และเขาก็ไม่ได้ยืมมือเธอแบบเปล่าประโยชน์ด้วย และยิ่งไปกว่านั้นลูกชายของเธอก็ยังยอมรับว่าเขาเป็นพ่อบุญธรรมอีกต่างหาก ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองบ้านแน่นแฟ้นกันซะยิ่งกว่าญาติทางสายเลือดเสียอีก และมู่จิ่นหนานก็เข้าใจในจุดนี้ดี
เรื่องราวเป็นไปอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิด มู่จิ่นหนานเห็นจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้มีท่าทีจะถอนตัวออกไป หรือเข้าร่วมอย่างมีความสุข ส่วนทางด้านของฟู่ซิน เขาก็เดินทางไปดูสถานที่สองสามแห่ง เพื่อจะได้นำมันมาถามไถ่กับตัวเองได้ว่า เขาสามารถลงมือทำด้วยตัวเองได้ไหม
มู่จิ่นหนานคิดดูถูกว่าสุดท้ายแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ใจเสาะไม่มองการณ์ไกล แต่เขากลับเห็นฟู่ซินเป็นผู้ชายที่ไม่เลวคนหนึ่ง และครอบครัวของฟู่ซินก็เป็นคนในพื้นที่ หากเขาคิดจะให้ฟู่ซินมาเป็นหุ้นส่วน ก็ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะทรยศเขาแต่อย่างใด
เขาเลือกสถานที่ที่มั่นคงแห่งหนึ่งอย่างจริงจัง หลังจากนั้นก็ให้ฟู่ซินไปเช่าบ้านหลังนั้นแล้วเปิดบริษัทใหม่ขึ้นมา หลังจากที่ฟู่ซินได้รับคำใบ้จากมู่จิ่นหนานแล้ว เขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ต่อมาก็เริ่มวางแผนตามคำชี้แนะของมู่จิ่นหนาน
ผ่านไปไม่นาน บริษัทรื้อถอนของฟู่ซินก็ได้ก่อตั้งขึ้น ซึ่งประธานบริษัทก็คือฟู่ซิน ในบริษัทแห่งนี้มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน พนักงานทุกคนล้วนเป็นคนสนิทของเขาและสามารถใช้งานได้ดีพอสมควรในช่วงระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมก็คือหลี่หงเถีย เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฟู่ซิน ส่วนฝ่ายการเงินฟู่ซินก็ให้หลานชายของเขามาทำ จางฉุ้ยเหลียนได้แนะนำนักบัญชีเก่าให้กับฟู่ซิน แต่นักบัญชีคนนั้นก็ทำงานแบบฟรีแลนซ์ ไม่ได้มาทำงานที่บริษัท ส่วนผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์เป็นชายอ้วนที่มีชื่อว่าต้าหม่า เขาคอยเดินตามฟู่ซินไปรอบ ๆ ในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังมีอีกแผนกหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่าแผนกปฏิบัติการ ซึ่งฟู่ซินก็เป็นคนที่ดูแลแผนกนี้ชั่วคราว
หลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ล้อชื่อของเขาซะน่าฟังเลยทีเดียว ในตอนแรกที่นี่ก็ดูมีสาระอยู่หรอก แต่นอกจากสาวน้อยผู้รับบทเป็นนักบัญชีแล้ว สภาพของคนอื่น ๆ ก็ดูไม่ใช่คนดีอะไร
ถึงจะเอาตัวอักษรที่พวกผู้ชายทั้งหมดรู้จักมารวมกัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่เท่ากับตัวอักษรที่สาวน้อยคนหนึ่งรู้จักเลย ฟู่ซินไม่สนว่าจางฉุ้ยเหลียนจะพูดอะไร ถึงแม้บริษัทแห่งนี้จะยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ แต่เขาก็เห็นจางฉุ้ยเหลียนเป็นขุนนางชั้นสูงในชีวิตของเขาไปแล้ว
ไม่ใช่แค่ฟู่ซินเท่านั้นที่คิดแบบนี้ เพราะแม้แต่คนในครอบครัวของเขาก็คิดเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน แม่เฒ่าเปียวเป็นหญิงชราที่งมงาย และเชื่อถือเรื่องศักดินามากที่สุด ผู้หญิงไร้ความสามารถหรือถ่อมตนไม่ยอมพูดออกมา นั่นก็ถือว่าเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งในความคิดของหล่อน ไม่อย่างนั้นหล่อนก็คงจะไม่ให้ลูกสะใภ้ของตัวเองลาออกจากงาน แล้วมาดูแลลูกอยู่ที่บ้านหลรอก และเมื่อหล่อนได้เห็นว่าตอนนี้ฟู่ซินเริ่มโชคดีมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วบริษัทของเขาก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด แต่จะบริษัทหรือธุรกิจไหนของเขา ที่ไม่เกี่ยวข้องกับจางฉุ้ยเหลียนบ้างล่ะ ?
เถ้าแก่ใหญ่ที่ฟู่ซินได้รู้จักในคราวนี้ก็เป็นผลพลอยได้ที่ไม่คาดคิดจากจางฉุ้ยเหลียนด้วยเช่นกัน และการที่ผลประโยชน์มากมายหลั่งไหลมาในบ้านของพวกเขาอย่างนี้ จางฉุ้ยเหลียนจะไม่กลายเป็นบรรพบุรุษที่ตระกูลฟู่กราบไหว้ได้อย่างไร
และเมื่อคังคังน้อยผู้ไม่รู้ความได้มาเยือนที่บ้านพวกเขา แม่เฒ่าผูก็แทบจะโอ๋เขาจนตัวลอยขึ้นสวรรค์ได้เลยทีเดียว หล่อนคอยวนเวียนอยู่รอบ ๆ กายของคังคัง ราวกับว่าเขาเป็นก้อนแป้งล้ำค่าที่หล่อนแทบจะอยากเปลี่ยนให้เขามาเป็นหลานของตัวเองใจจะขาด
เมื่อบริษัทแห่งใหม่เปิดทำการ การที่ฟู่ซินจะเชิญญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ ของเขามาร่วมรับประทานอาหารเพื่อเลี้ยงฉลอง ก็คงจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และด้วยเหตุนี้บ้านของเขาจึงวุ่นวายขึ้นมาทันที เนื่องจากเขาไม่ได้ไปที่ร้านอาหาร เขาเลยต้องจัดเตรียมโต๊ะขนาดใหญ่ไว้ที่บ้านแทน
เหล่าบรรดาเถ้าแก่นั่งรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น โต๊ะกลมหนึ่งตัวสามารถรับแขกได้ถึง 15 – 16 คน งานเลี้ยงครั้งนี้คนในตระกูลฟู่ก็มากันครบ และพวกเขาก็ยังเชิญจางฉุ้ยเหลียน ตงลี่หวา และเซี่ยจวินมาอีกด้วย
เฉียนเหมยเซียทำอาหารอยู่ในครัว สีหน้าของหล่อนย่ำแย่ และภายในใจก็รู้สึกน้อยใจสุด ๆ เพราะตั้งแต่ที่หล่อนทะเลาะกับฟู่ซิน และได้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มออกไปในคราวนั้นจนตัวเองเกือบจะได้หย่าร้าง และโดนไล่กลับไปอยู่ที่บ้านแม่ หล่อนก็ไม่กล้าไปพูดถึงคนในบ้านแม่อีก และเวลาปกติพอหล่อนได้กลับไปที่บ้าน หล่อนก็ได้แต่แอบมองเท่านั้น
หล่อนแอบบ่นในใจว่า ญาติพี่น้องของตัวเองไม่ได้เสนอความคิดดี ๆ อะไรให้หล่อนเลย และหล่อนก็ยิ่งเกลียดที่หล่อนได้เจอกับจางฉุ้ยเหลียนทุกที่ เพราะเรื่องในคราวนั้น แม่ของหล่อนก็เลยไปหาหมอดู หมอดูคนนั้นบอกว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นตัวซวยของหล่อน แต่เธอดันเป็นดาวนำโชคของสามีของหล่อน อยากจะแตะก็แตะไม่ได้ หล่อนเลยได้แต่อดทนและซ่อนความรู้สึกนี้เอาไว้
และตอนนี้สามีของหล่อนก็ได้เปิดบริษัทใหม่อีกแล้ว นั่นจึงทำให้หล่อนมีหน้ามีตาในบ้านแม่อีกครั้ง อีกทั้งฟู่ซินก็ยอมยกสมุดบัญชีเงินฝากของตัวเองให้หล่อนเล่มหนึ่ง และชื่อเจ้าของบัญชีเงินฝากนั้นก็เป็นชื่อของหล่อน และวันที่ 10 ของทุกเดือนจะเป็นวันจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงาน เพราะอย่างนั้นฝ่ายบัญชีจึงได้ฝากเงินเข้ามาในบัญชีของหล่อน 2,000 หยวน และนี่ก็เป็นเงินค่าขนมของหล่อน และยังบอกอย่างชัดเจนว่านั่นเป็นเงินส่วนตัว
ส่วนเรื่องของค่าใช้จ่ายตามปกติภายในบ้านก็ยังคงเป็นหน้าที่ของแม่สามี เพราะอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นเงินอะไรที่ใช้จ่ายภายในบ้านแม่สามีของหล่อนก็จะรู้หมด เสื้อผ้าที่หล่อนใส่ก็เป็นเงินพิเศษที่หล่อนขอมาจากฟู่ซิน ไม่รวมอยู่ในเงิน 2,000 หยวนนั้นด้วย
หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ การที่เขาให้เงินหล่อนเช่นนี้ ก็เพราะหล่อนอาจจะมีเรื่องที่ต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน หรือหล่อนอาจจะต้องการเงินไปช่วยเหลือบ้านแม่ เพราะเมื่อคนในบ้านแม่ของหล่อนเห็นว่าสามีของหล่อนทำธุรกิจใหญ่โตเช่นนี้ พวกเขาก็ต้องมาขอยืมเงินจากหล่อนอย่างแน่นอน และเมื่อพวกเขาอยากจะได้เงินแต่หล่อนกลัวว่า แม่สามีจะไม่ชอบใจและสามีจะไม่ยินยอม หล่อนก็จะได้ใช้เงินพวกนี้ได้สะดวก
แต่ในขณะที่อารมณ์ของหล่อนเพิ่งจะดีได้ไม่นาน เพราะคิดว่าฟู่ซินเริ่มจะทำดีกับหล่อนแล้ว เขากลับเชิญครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนมาเลี้ยงฉลองที่บ้าน และยังสั่งให้หล่อนไปทำอาหารมาต้อนรับครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนอีกด้วย
หล่อนล่ะไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ในเมื่อเขาเปิดกิจการใหม่แบบนี้ ทำไมเขาถึงไม่เชิญญาติของหล่อนมาเลี้ยงฉลองบ้างล่ะ หรือว่าครอบครัวของหล่อนไม่ได้ดองญาติกับฝั่งนี้รึไง ? แล้วอีกอย่างพี่เขยรองของหล่อนก็ยังไม่ได้งานที่เหมาะสมเลย เขาเปิดบริษัทใหม่แท้ ๆ ทำไมถึงไม่ให้พี่เขยรองของหล่อนมาทำงานด้วยล่ะ ?
ขณะที่เฉียนเหมยเซียกำลังโมโหจนควันออกหูอยู่ในครัวอยู่นั้น หล่อนก็ได้ยินเสียงใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ถามหล่อนขึ้นมา “ให้ฉันช่วยเธอเถอะ ! ยังมีงานอะไรที่เธอยังไม่ได้ทำอีกไหม ? ”
และเสียงนั้นมันกลับเป็นเสียงของจางฉุ้ยเหลียน เฉียนเหมยเซียจึงรู้สึกตกใจขึ้นมาทันที และด้วยการที่หล่อนพ่ายแพ้ผู้หญิงคนนี้หลายต่อหลายครั้ง มันจึงทำให้หล่อนกลัวผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา หล่อนก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ แล้วฝืนยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอะไรให้ทำแล้วล่ะ เธอไม่ต้องมาช่วยฉันหรอก เดี๋ยวมือเธอจะเปื้อนเปล่า ๆ ในนี้มันสกปรกนะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนลอบยิ้ม “ทำอาหารจะมีอะไรสกปรกกันล่ะ ? จะมีบ้านไหนที่ไม่ทำอาหารกันบ้าง ? ไม่ว่ายังไงฉันก็ว่างไม่ได้ทำอะไร ฉันมาช่วยเธอ จะได้เร็วขึ้นไง ! ”
เฉียนเหมยเซียฟังแล้วก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที หล่อนจึงบ่นพึมพำออกไปเบา ๆ ว่า “เธอหิวแล้วหรือ ? เธอไม่พอใจที่ฉันทำอาหารช้าใช่ไหมล่ะ ? ”
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินแบบนั้น เธอก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ! เธอก็อ่อนไหวเกินไป ฉันก็แค่พูดออกมาเท่านั้นเอง ! ” แม้ว่าตอนนี้มันจะ 10.30 น. แล้ว แต่ทุกคนก็ยังไม่หิว แต่ดูจากสถานการณ์ในห้องครัวตอนนี้แล้ว ของที่ควรจะปรุงหรือของที่ควรจะตุ๋นก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ตรงกันข้ามกับอาหารที่ต้องผัดสามจานที่วางอยู่บนโต๊ะ หากรอให้ทำอาหารอย่างอื่นเสร็จ มันจะไม่เย็นชืดไปซะก่อนหรือ ?
เฉียนเหมยเซียบุ้ยปาก “อะไรที่เรียกว่าอ่อนไหวล่ะ ! ” โชคดีที่จางฉุ้ยเหลียนให้ความสนใจกับอาหารไม่ได้เพ่งสมาธิไปที่หล่อน ไม่อย่างนั้นเธอต้องละทิ้งความคิดที่จะช่วยอย่างแน่นอน
เฉียนเหมยเซียชะโงกหน้าเข้าไปมองในห้องรับแขก หล่อนอยากรู้ว่าทุกคนกำลังทำอะไรอยู่ แต่แล้วหล่อนก็เห็นตงลี่หวากำลังหยอกล้อเล่นกับลูกสาวของหล่อนอยู่ ส่วนแม่สามีของหล่อนกลับถือกล้วยวิ่งตามคังคังลูกชายของจางฉุ้ยเหลียนอย่างมีความสุข
หล่อนเห็นแม่สามีพูดเสียงเล็กเสียงน้อยออกมาว่า “ไอ้หยา หลานชายของย่า รีบกินสักคำสิลูก นี่ก็จะ 11.00 น. แล้ว ท้องของลูกยังไม่หิวบ้างหรือ ? ”
“เจ้าก้อนแป้งที่รักของย่า ! ”
MANGA DISCUSSION