ตอนที่ 250 โน้มน้าว
บริษัทรื้อถอนเป็นองค์กรทางสังคมที่จดทะเบียนกับฝ่ายกิจการพลเรือน โดยปกติจะมีชื่อว่า xx ศูนย์บริการจัดหาที่อยู่อาศัย ทำงานเฉพาะให้กับกรมเวนคืนของรัฐบาลในการเวนคืนที่พักอาศัย โดยทั่วไปจะเป็นการตรวจสอบรวบรวมข้อมูล ขอความคิดเห็น ดูสถานการณ์แล้วออกคำสั่ง เป็นพยานในฐานะบุคคลที่สาม เป็นตัวแทนเจรจาทำข้อตกลงค่าตอบแทนการเวนคืน ฯลฯ
เจ้าหน้าที่และหน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไร ทางส่วนราชการจะให้เงินเดือนแก่พนักงาน และค่าใช้จ่ายในประจำวันตามปริมาณงานจริง
มู่จิ่นหนานเริ่มตั้งตัวจากงานนี้ ถึงตอนนี้จะเปิดร้านอาหารตะวันตกและบริษัทการค้าระหว่างประเทศ แต่รากฐานเดิมก็ยังเป็นบริษัทรื้อถอน ในวงการก็ยังถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง
ถึงแม้ว่าเขาจะมาเมือง Q เพียงคนเดียว แต่เจ้านายในท้องถิ่นก็ยังต้องไว้หน้าและให้เกียรติเขาอยู่ หากเขาต้องการเข้ามาแทรกแซงที่นี่ ก็คงทำได้ง่ายกว่าคนธรรมดาทั่วไป
พอฟู่ซินเห็นว่ามีคนนำทาง และคนที่คอยหนุนหลังเช่นชายผู้นี้แล้ว ฉะนั้นแล้วเขาจะไม่ทำตัวนอบน้อมอย่างบ้าคลั่ง เพื่อเอาใจเทพเจ้าแห่งโชคลาภได้อย่างนั้น ส่วนทางด้านของจางฉุ้ยเหลียน เธอกลับบ่นนิดหน่อย เพราะเธอไม่อยากเข้าไปเกลือกกลั้วกับน้ำโคลนนี้เลยจริง ๆ
ใครจะไม่รู้วิธีหาการเงินในวงการอสังหาริมทรัพย์บ้างล่ะ ? เธอเองก็อยากจะรู้จักผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่ผู้คนทั่วประเทศอยากจะรู้จักเช่นกัน ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย เพราะถ้าในอนาคตถ้าเธอมีบ้านอยู่ในเมืองปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว และเซินเจิ้นแค่เมืองละสองหลัง ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอสามีและลูกชายก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการดำเนินชีวิตต่อจากนี้อีกต่อไปแล้ว
แต่มู่จิ่นหนานประเมินเธอสูงมากเกินไปแล้ว ตัวเธอจะสามารถทำบริษัทรื้อถอนได้อย่างนั้นหรือ ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย เพราะแค่เรื่องที่เธอจะต้องไปโน้มน้าวให้ชาวบ้านย้ายออกไป เธอจะทำได้อย่างไร? หากอีกฝ่ายหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมย้ายออก เจอชาวบ้านหัวแข็งเข้าล่ะ คุณจะทำอย่างไร ?
เธอทำเรื่องผิดศีลธรรมไม่ลงหรอก ความสามารถไม่พอก็อย่าฝืน หลังจากที่นั่งพูดคุยหารือกันได้สักพัก จางฉุ้ยเหลียนก็หาข้ออ้างปลีกตัวออกไป และด้วยความที่เธอเป็นผู้หญิง ไม่ว่าเธอจะมาหรือจะไปก็ไม่มีใครสนใจทั้งนั้น
แต่พอฟู่ซินเห็นแบบนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความรีบร้อน และบอกว่าจะเดินออกไปส่งเธอ แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะโดนมู่จิ่นหนานรั้งเอาไว้ และบอกอีกว่าเขาจะไปส่งจางฉุ้ยเหลียนด้วยตัวเองแทน
“คุณนี่คอแข็งดีนะ ทั้ง ๆ ที่วันนี้คุณก็ดื่มเหล้าเหมาไถไปตั้งเกือบครึ่งขวดเห็นจะได้” เมื่อมู่จิ่นหนานเห็นว่า จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้มีอาการหน้าแดงหรือว่าไม่หายใจหอบเหนื่อย เขาเลยอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าชื่นชมเธอ
“ก็พอดื่มได้นิดหน่อยนั่นแหละค่ะ นี่ก็เริ่มมึน ๆ แล้ว ถ้ายังไม่รีบกลับบ้าน ก็คงจะได้ปล่อยไก่แน่” จางฉุ้ยเหลียนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ มู่จิ่นหนานเลยรีบสั่งให้คนขับรถของตัวเองไปส่งจางฉุ้ยเหลียนกลับบ้านทันที
หลังจากได้นอนพักไปงีบหนึ่ง จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ลุกออกจากเตียงแล้ว เธอก็เดินตรงไปที่บ้านของตงลี่หวาที่อยู่ข้าง ๆ แต่เพิ่งจะเคาะประตูไปได้เพียงสองครั้ง ประตูบ้านก็ถูกเปิดออก
เธอเห็นเพียงฟู่ซินกำลังฉีกยิ้มอยู่ตรงหน้าของตัวเอง และเขาก็พูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีว่า “ตื่นแล้วหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนมึนงงในทันที คิดว่าตัวเองยังไม่ตื่นจากฝัน เธอจึงถามออกไปด้วยความสงสัยว่า “นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ? ” ขณะพูดเธอก็เดินเข้าไปในบ้าน หลังจากที่กวาดตามองไปรอบ ๆ บ้านแล้ว เธอกลับไม่พบคังคัง เพราะอย่างนั้นเธอจึงถามออกไปว่า “ลูกชายของล่ะอยู่ไหน ? ”
ทันใดนั้นตงลี่หวาก็พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ก็เป็นลูกเองไม่ใช่หรือที่เอาเขาไปทิ้งไว้ที่บ้านแม่สามี แค่ลูกดื่มเหล้าเข้าไปนิดเดียว ก็ลืมแล้วอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยกมือขึ้นมาตบหัวของตัวเอง จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ทำไมหนูถึงขี้ลืมแบบนี้นะ แต่หนูก็แค่ลืมเขานิดหน่อยเท่านั้นเอง ! ”
หลังจากพูดจบเธอก็หันไปมองฟู่ซิน “แล้วนายมาที่นี่ทำไมตั้งแต่เช้า ? ผู้ชายอย่างพวกนายไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นกันหรอกหรือ ? ”
ฟู่ซินจึงตอบกลับไปว่า “พี่มู่พาพวกเขาไปโรงอาบน้ำ ส่วนฉันก็มีเรื่องที่อยากจะคุยกับเธอหน่อยน่ะ”
ต้นยุค 90 เธอเองก็ไม่รู้ว่าคลื่นลมมาจากไหนเหมือนกัน เพราะจู่ ๆ ที่เมือง Q ก็มีสถานบันเทิง ร้านคาราโอเกะผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด หลังจากนั้นก็มีโรงอาบน้ำเปิดขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมากอีกด้วย
และโรงอาบน้ำพวกนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใช้อาบน้ำธรรมดา ๆ เพราะหลังจากที่กระโดดเข้าไปแช่ตัวสักพัก ก็จะมีคนมาช่วยอาบน้ำให้จนเสร็จ ที่แห่งนั้นมีบริการที่หลากหลาย มีบางคนบอกว่าที่นั่นมีนักเต้นที่เต้นไปด้วยและถอดเสื้อผ้าไปด้วย และยังมีคนบอกอีกว่าในนั้นมีสาวน้อยจำนวนมากเพื่อให้บริการเรื่องอย่างว่ากับแขก
เพราะอย่างนั้นในเวลานี้ ถ้าพวกนักธุรกิจที่นี่อยากจะไปสังสรรค์กัน หลังจากที่ร่วมรับประทานอาหารที่ร้านอาหารเสร็จ พวกเขาก็จะไปร้องเพลงและเต้นที่ร้านคาราโอเกะพักหนึ่ง หลังจากนั้นถึงจะไปโรงอาบน้ำ เพื่ออาบน้ำ นวดตัว ส่วนเรื่องจะนอนที่ห้องโถง หรือจะไปนอนที่อื่นแล้วหาผู้หญิงไปด้วยก็ไม่มีใครสนใจแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนรังเกียจเรื่องพรรค์นี้มากที่สุด และเมื่อเธอได้ยินว่ามู่จิ่นหนานเป็นคนนำเที่ยวให้ผู้ชายพวกนั้น ความรู้สึกดี ๆ อันน้อยนิดของเธอที่มีต่อมู่จิ่นหนานก็ลดลงไปอย่างฮวบฮาบ และแม้แต่สายตาของเธอที่มองไปที่ฟู่ซินก็ไม่ดีด้วยเช่นกัน
ฟู่ซินเดาออกว่าจางฉุ้ยเหลียนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาล่ะอยากจะเอาความเย่อหยิ่งของยัยคนนี้ไปทำธุรกิจนี้จริง ๆ เพราะอย่างนั้นเขาจึงได้เริ่มพูดความคิดเห็นของตัวเองออกไปว่า “ฉันรู้ว่า ที่พี่มู่อยากจะทำธุรกิจนี้ก็เพราะเธอ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะหลานสาวของเขาย้ายมาเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ และได้มาพักอยู่ที่บ้านของเธอ เขาก็คงจะไม่ตอบแทนบุญคุณเธอแบบนี้หรอก”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็นิ่งเงียบในทันที และเมื่อเธอลองมานึก ๆ ดูแล้ว นี่ก็เป็นวิธีการตอบแทนในแบบของมู่จิ่นหนานจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ว่าคุณจะเต็มใจหรือไม่ แต่ผมก็จะมอบให้ และถ้าคุณไม่ยื่นมือออกมารับมันไป นั่นก็แสดงว่าคุณไม่รู้จักกาลเทศะ แต่พอรับไปแล้ว มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ทำให้คนอื่นไม่ชอบใจ และอึดอัดกันทั้งนั้น
“ฉันล่ะอยากย้ายบรรพบุรุษของเธอมาไว้ที่บ้านของฉันจริง ๆ จะให้ฉันบูชากราบไหว้จนบรรพบุรุษของเธอมีความสุขเหมือนป้าคนหนึ่งเลยก็ยังได้” คำพูดของฟู่ซินฟังดูไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะแม้แต่ตงลี่หวาที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในห้องครัว ก็ยังทนฟังไม่ได้เช่นกัน
ตงลี่หวาจึงได้พูดออกไปว่า “เธอพูดแบบนี้ได้ยังไง อย่าหาว่าฉันพูดมากเลยนะ แต่เราจะเป็นคนแบบนี้ไม่ได้ ที่พอเห็นว่าเขาเก่งหน่อยก็คิดจะวิ่งเข้าหาแบบนี้ เธอคิดว่าไงล่ะ โชคลาภพวกนี้สวรรค์ก็เป็นผู้กำหนดเอาไว้แล้ว ถึงเธอพยายามยังไง มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ถ้าจะต้องทำงานหนักงั้นก็ต้องทำงานหนักต่อไป ! ”
ความจริงแล้วคำพูดนี้มันก็ทำให้ฟู่ซินไม่สบอารมณ์สุด ๆ เพราะเขามักจะคิดเสมอว่า สวรรค์กำหนดโชคชะตา 3 ส่วน และอีก 7 ส่วนมาจากการทำงานหนัก ถึงแม้ว่าคุณจะพยายามแล้ว แต่เมื่อคุณได้เจอกับคนรวย คุณก็ต้องรีบคว้าโอกาสเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งโชคลาภ เพราะอย่างนั้นมันก็จะทำให้คุณมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นไม่ใช่หรือ
และถ้าหากว่าเขาเดินตามรอยของพี่ชายตัวเอง เขาก็คงจะได้อยู่ในชนบทต่อไปทั้งชาติ และได้แต่เฝ้าโรงงานผลิตก๋วยเตี๋ยวนั่น เห็นบ้านตัวเองร่ำรวยกว่าบ้านคนอื่นก็สบายใจแล้ว แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้น เขาจะได้มีวันเวลาดี ๆ อย่างทุกวันนี้อย่างนั้นหรือ?
เขาสามารถจ่ายเงินให้พี่ชาย 10,000 กว่าหยวนโดยไม่คิดอะไร ซื้ออาคารหลังใหญ่สามหลัง และเปลี่ยนรถคันเล็กให้กลายเป็นรถคันใหม่ที่ไม่ใช่รถมือสองอีกต่อไป สมัยก่อนเขาก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะนึกถึงเรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ สุดท้ายที่เขามีวันนี้ได้มันก็ไม่ได้เป็นเพราะความใฝ่ฝัน และความทะเยอทะยานของเขาหรือ ?
จางฉุ้ยเหลียนก็เพิ่งจะได้รับรู้ความรู้สึกของฟู่ซิน หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมาจากอาการมึนเมา จึงเป็นธรรมดาที่จะเข้าใจว่า ความคิดอนุรักษ์นิยมของตงลี่หวาจะทำให้เขาอารมณ์เสีย
เธอเลยบอกให้ตงลี่หวากลับไปทำกับข้าวในห้องครัว ส่วนเธอที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็พูดกับฟู่ซินออกไปอย่างตรงไปตรงมาว่า เรื่องบริษัทรื้อถอนอะไรนี่ เธอไม่มีทางเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยอย่างแน่นอน
ฟู่ซินรู้ดีว่าจางฉุ้ยเหลียนจะต้องพูดแบบนี้ ตั้งแต่ที่เขาได้รู้จักกับเธอมา เขาก็รู้ดีว่าถึงแม้จางฉุ้ยเหลียนจะดูเป็นคนอารมณ์ดี แต่เธอก็มีความคิดที่ยิ่งใหญ่อยู่ในตัว
“เมื่อก่อนตอนพวกเราเป็นหุ้นส่วนกัน ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันก็จะทำอย่างนั้น แต่ครั้งนี้เธอก็ฟังที่พี่ชายอย่างฉันพูดหน่อยได้ไหม ? อย่างน้อยเธอก็ออกเงินสัก 8,000 หรือ 10,000 หยวนเพื่อเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นก็ได้ แล้วฉันจะให้เธอถือหุ้นครึ่งหนึ่ง เราก็จะทำเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่ต้องทำอะไรเลยสักอย่าง เดี๋ยวฉันจะเป็นคนลงมือทำเอง ได้เงินมาแล้วฉันก็จะแบ่งให้เธอ และถ้าเสียฉันก็จะเป็นคนรับผิดชอบเอง ได้ไหม ? ” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าฟู่ซินพูดออกมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็มั่นใจได้เลยว่าบริษัทรื้อถอนนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เหมือนกับหัวใจของเขากำลังถาโถมเข้ามา และกำหนดแน่วแน่แล้วว่าจะเข้าสู่วงการนี้ให้ได้
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ก้อนนี้ แต่ลักษณะของบริษัทรื้อถอนนี่มันเป็นเหมือนเงามืดสำหรับตัวเธอ
“ฉันไม่อยากทำ ฉันทำไม่ไหวและฉันก็ไม่อาจทนดูเรื่องรุนแรงในสายงานนี้ได้ด้วย นายว่างานรื้อถอนนี่ หากมีคนไม่ให้ความร่วมมือ ก็ต้องใช้ความรุนแรงด้วยจริงไหมล่ะ และถ้าเราไม่ระวัง และทำให้คนอื่นบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิตขึ้นมา มันจะไม่กลายเป็นคดีอาชญากรรมเลยหรือ ? แล้วในฐานะผู้ถือหุ้นจะไม่ต้องร่วมรับผิดชอบอย่างนั้นหรือ ? นายลองคิดดูนะว่าบ้านของฉันยังมีคนแก่และเด็กที่ฉันจะต้องดูแล นายยังไม่รู้สถานการณ์ในบ้านของฉันอีกหรือ ? ตรงหน้าฉันมีคนแก่ให้ดูแลถึง 4 คน แล้วนายรู้หรือว่าพ่อแม่แท้ ๆ ที่ชอบเล่นลูกไม้พวกนั้นของฉัน พวกเขาจะไม่กลับมา ? นายว่าพวกเขาเชื่อถือได้งั้นหรือ ? พอพวกเขาอายุได้ 70 – 80 ปีขยับตัวไม่ได้แล้ว อีกทั้งลูกชายก็หวังพึ่งไม่ได้ พวกเขาจะไม่มาหาฉันหรือ ? แล้วถ้าพวกเขามาหาฉัน ฉันจะทำเป็นไม่สนใจได้อย่างไร ? ฉันจะพูดว่าไม่ช่วยได้ไหม ? ถ้าฉันไม่ช่วย ศาลจะว่ายังไง ? คำพูดเพียงแค่ประโยคเดียวที่ว่า ไม่ดูแลพ่อแม่และทำร้ายคนแก่ แบบนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปตามความจริง ฟู่ซินเองก็พอจะเข้าใจได้ จากนั้นเขาก็เงยหน้าไปมองเธอด้วยความลำบากใจ “ฉันเข้าใจความลำบากของเธอ เธอไม่ได้กำลังจะบอกว่าเธอมีความรับผิดชอบมันเยอะหรอก แต่เธอกำลังจะบอกว่าเส้นทางนี้มันไม่ดี และความสัมพันธ์ของคนก็ยุงยากด้วย ! ”
“นายเข้าใจด้วยหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนแปลกใจ
ฟู่ซินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ถึงฉันจะไม่ได้สนิทจนรู้ใจเหมือนคนในครอบครัวของเธอ แต่ก็ถือว่าฉันก็สนิทกับเธอพอสมควร ปกติเธอมักชอบพูดหยอกล้อ นอกจากเขียนหนังสือ อ่านหนังสือ และก็เล่นเปียโนกับเป่าออร์แกนแล้ว เธอก็เป็นคนมีการศึกษาและมีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เพราะอย่างนี้เธอจะชอบเส้นทางที่ดำมืดแบบนี้ได้ยังไงล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอคิดไม่ถึงเลยว่าทุกคนจะเห็นงานอดิเรกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธออยู่ในสายตา แต่เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าลับหลังพวกเขาจะพูดว่า เธอทำตัวเสแสร้งเกินไปรึเปล่า แต่เพื่อนร่วมชั้นของเธอก็เรียนการวางตัวแบบสตรีชั้นสูง วาดภาพ เล่นหมากรุก และเปียโนกันทั้งนั้น
ฟู่ซินมองไปที่จางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาขอร้องอ้อนวอน จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “น้องสาว ฉันขอร้องล่ะ เธอช่วยฉันหน่อยเถอะนะ ถ้าเธอไม่เข้ามามีส่วนร่วม เถ้าแก่มู่ต้องไม่สนใจฉันแน่นอน”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนจึงได้พูดออกมาด้วยความลำบากใจ “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะช่วยนายหรอกนะ ถ้านายจะหันมาสนใจเรื่องอสังหาริมทรัพย์ แต่นายก็เห็นว่าบริษัทรื้อถอนนี่มันเหมือนบริษัทอันธพาล และมันก็ทำเงินให้ได้ไม่เท่าไหร่หรอก นายอยากเป็นนักเลงอย่างนั้นหรือ ? ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ฟู่ซินก็เข้าใจแล้วว่า ที่แท้จางฉุ้ยเหลียนก็เข้าใจผิด เธอเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองมีปัญญาแค่นี้ เปิดบริษัทรื้อถอนแล้วก็ออกไปขับไล่ผู้คน หาเงินเล็กน้อยจากการทำผิดศีลธรรม ดังนั้นถึงได้ไม่อยากเข้าร่วมธุรกิจนี้
เพราะอย่างนั้นฟู่ซินจึงได้พูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มว่า “เธอรู้เกี่ยวกับบริษัทรื้อถอนแค่เพียงด้านเดียวเท่านั้น เธอยังไม่เข้าใจมันทั้งหมด ฉันจะอธิบายให้เธอฟังอย่างละเอียด เดี๋ยวเธอก็จะเข้าใจเอง”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ถึงนายจะพูดให้ฟ้าถล่ม นายจะสามารถล้างให้มันกลายเป็นธุรกิจที่ขาวสะอาดได้อย่างนั้นหรือ ? ”
ฟู่ซินบ่นขึ้นมาทันที “ทำไมเธอถึงไม่คิดในทางที่ดีบ้างล่ะ แล้วเธอคิดว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ? เธอคิดว่าเบื้องบนคิดว่าที่ดินนี้ไม่เลว ก็เลยชี้นิ้วสั่งให้รื้อ หลังจากนั้นก็รอให้มีการลงทุนสร้างอาคาร แล้วถึงค่อยขายออกไปอย่างนั้นสิ ? ”
ในเวลานี้ตงลี่หวาก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน หล่อนเดินเข้ามาแนบหูที่กำแพงเพื่อฟังคำพูดของฟู่ซิน จากนั้นฟู่ซินก็พูดออกมาอีกว่า “มันมีเรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะจะตายไป เธอคิดว่าถ้าไม่มีคนกลางชี้นิ้วบอกว่า ที่ดินผืนนี้ดีตรงไหน พวกเขาจะรู้อย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตะลึงขึ้นมาในใจ เธอไม่ได้คิดถึงรายละเอียดพวกนี้เลย จากนั้นเธอก็ไม่ได้พูดจาเย็นชาอีกต่อไป เพียงแค่นั่งตัวตรงทำท่าทางเคร่งขรึมก็เท่านั้น
เมื่อฟู่ซินเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนยอมฟังสิ่งที่เขาพูดแล้ว เขาเลยกระแอมออกมาเบา ๆ ครั้งหนึ่ง “นี่เป็นสิ่งที่พี่มู่เล่าให้ฉันฟัง ฉันเองก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากนัก แต่ความหมายรวม ๆ ของมันก็คือ มีคนเบื้องบนเข้ามาเกี่ยวข้อง” ฟู่ซินยกนิ้วชี้ขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “จะเอาแต่หวงก้าง อารมณ์แบบกูไม่ได้ คนอื่นก็อย่างหวังว่าจะได้ แบบนี้ก็คงจะไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องอาศัยผลสำเร็จทางการเมืองด้วยอยู่แล้ว ! ”
จางฉุ้ยเหลียนได้ยินคำหยาบหลุดออกมาจากปากของฟู่ซิน เธอเลยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ถ้างั้นมันเกี่ยวกับเรื่องผังเมืองไหม ตรงไหนควรสร้างถนน ตรงไหนควรสร้างชุมชน ตรงไหนควรมีโรงพยาบาล ศูนย์การค้า โรงเรียน หรือปั๊มน้ำมัน ของพวกนี้เบื้องบนไม่ได้เป็นคนกำหนดหรอกหรือ คงไม่ได้มีผู้อำนวยการของโรงพยาบาลไหนที่จู่ ๆ จะบอกว่าฉันจะย้ายโรงพยาบาลไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้หรอกมั้ง ! ”
ตงลี่หวาฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ หล่อนเลยรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที “ดูเหมือนจะเป็นแบบนี้นะ ! ”
ฟู่ซินตบมือลงไปบนหน้าขาของตัวเองทันที “ดังนั้น ! พวกเขาก็เลยต้องคิดหาวิธีการดึงดูดการลงทุน เพื่อให้ใครบางคนยอมที่จะจ่ายเงินสร้างอาคารหรือศูนย์การค้าที่นั่นไงล่ะ ถ้าในเป็นแบบนั้นพื้นที่รอบข้างก็จะเจริญขึ้นด้วยไม่ใช่หรือ ถนนจะกว้างขึ้น ผู้คนจะเยอะมากขึ้น มีโรงเรียน มีโรงพยาบาล ธนาคาร และยังมีห้างสรรพสินค้าให้เดินด้วย”
ในเมื่อเขาได้มาที่นี่แล้ว ก็จะมาอย่างเสียเที่ยวไม่ได้ ในเมื่อต้องการที่จะลงทุน ถ้างั้นก็ต้องได้กำไรกลับมา ถ้าเป็นแบบนั้นคนที่อยู่เบื้องบนก็ต้องเป็นคนค้ำประกัน ทำให้ทางฝั่งนี้ดำเนินโครงการได้อย่างราบรื่น หลังจากนั้นค่อยหาโอกาสสร้างรายได้เข้ากระเป๋าของตัวเอง
“เธอจะขายเสื้อผ้า แต่เถ้าแก่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าอย่างเธอก็คงจะออกมาตะโกนขายคนเดียวไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เธอต้องขายเสื้อผ้าราคา 80 หยวนให้คนอื่นก่อน แล้วคนอื่นถึงจะเอาเสื้อผ้าพวกนั้นไปขายในราคา 100 หยวน แบบนี้ทุกคนก็จะได้กำไรเหมือนกันไม่ใช่หรือ ? ”
พอฟู่ซินพูดออกมาแบบนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมานิดหน่อย
MANGA DISCUSSION