ตอนที่ 249 เทพเจ้าแห่งโชคลาภมาแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนฟังออกว่า มู่จิ่นหนานกำลังล้อเลียนตัวเอง เขาไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว พูดกันมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็ทำได้เท่านี้แหละ แต่น่าสงสารหูจิ่นเหมิงจริง ๆ หากปล่อยให้คุณลุงของหล่อนปลูกฝังแบบนี้ต่อไป หล่อนจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างนั้นหรือ ?
พอเห็นท่าทางโมโหจนควันออกหูของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว มู่จิ่นหนานก็รู้สึกมีความสุข และคิดว่ามันน่ารักดี “นี่คุณอิจฉายุวชนแดงมากใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตกตะลึง “ยุวชนแดง ? ” นั่นมันมีอะไรให้น่าอิจฉากัน นั่นเป็นสิ่งที่กู้จื้อเฉิงรู้สึกอิจฉาต่างหากล่ะถึงจะถูก และมันก็เป็นแค่แบบอย่างของคนที่ไม่ใช้สมอง และยังทำเรื่องโง่เขลาลงไปหลายเรื่องอีกต่างหาก
“ผมเห็นว่าคุณจริงจังซะจริง ดูจะเหมาะกับการเป็นครูนะ แล้วคุณไปซื้อเหตุผลมาจากที่ไหนล่ะ ทำไมถึงทำให้ชีวิตของตัวเองกลายมาเป็นอย่างนี้ไปได้”
แต่แล้วน้ำเสียงไม่แยแสของมู่จิ่นหนานก็ทำให้จางฉุ้ยเหลียนโมโหยิ่งกว่าเดิม “ฉันมันเป็นยังไง ? ฉันมีสามีมีลูกชาย แล้วความสันพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้ก็ดีอีกต่างหาก แล้วฉันมันเป็นยังไง ? ”
มู่จิ่นหนานส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ผมหมายถึงเรื่องธุรกิจต่างหาก”
“ธุรกิจ ? ” เธอยังทำได้ไม่ดีพอหรือ ? ในแต่ละเดือนเธอก็ได้เงินได้หลายพันหยวนนะ แล้วแบบนี้มันยังไม่พออีกหรือ
“คราวก่อนที่ผมบอกให้คุณไปดูที่ดินผืนนั้น คุณก็ซื้อบ้านไว้หลังหนึ่งงั้นหรือ ? ” ที่แท้เขาก็พูดถึงเรื่องนี้นี่เอง จางฉุ้ยเหลียนแอบบ่นในใจ เธอไม่อยากเก็งกำไรจากการขายที่ดินต่อเยอะไป ทำแค่นั้นก็พอแล้ว ตอนนี้กิจการร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเธอก็เป็นไปได้ด้วยดี งานเขียนก็ทำเงินได้ก้อนใหญ่ คังคังก็ยังเล็ก แล้วกู้จื้อเฉิงก็ยังย้ายไปอยู่ในที่ห่างไกลแบบนั้นอีก มีเฉียนเหมยเซียคอยเป็นบทเรียน เธอไม่กล้าทำตัวอวดดีเกินไปแน่นอน
แต่เคราะห์ร้ายที่เธอยังมีน้องชายที่ไม่ได้เรื่อง แม้จางฉุ้ยจวินจะหน้าเนื้อใจเสือ แต่ถ้าเขาลุกขึ้นมาได้ พวกเธอก็จะสามารถร่วมมือกันได้ แต่เจ้าเศษเดนนี่ก็เกิดมาพร้อมกับความไม่เอาถ่าน ไม่ว่าคุณจะพยายามฉุดรั้งมันขึ้นมาสักแค่ไหน มันก็ยากที่จะสำเร็จ ตอนนี้เช่าหวาและจางกว่างฝูต่างก็กลายเป็นพวกโกหกหลอกลวง ให้ทั้งสามคนฝันถึงเงินก้อนใหญ่ต่อไปเถอะ
มู่จิ่นหนานเห็นจางฉุ้ยเหลียนเงียบไป เลยเข้าใจผิดคิดว่าเธอไม่รู้จักแยกแยะ จึงเค้นเสียงพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “คุณดูสภาพของตัวเองสิ เดิมทีผมก็คิดว่าคุณเป็นหญิงแกร่งคนหนึ่ง แต่ดูท่าตอนนี้คุณจะเป็นยัยโง่ซะมากกว่า ทำไมคุณไม่ถือโอกาสแบบนี้ซื้อบ้านไว้หลาย ๆ หลังล่ะ คุณยังจะรออะไรอยู่อีก ? ”
จางฉุ้ยเหลียนถามมู่จิ่นหนานกลับไปด้วยความสงสัย “คุณรู้ได้ยังไงว่าพื้นที่แนวนั้นจะโดนรื้อถอน ? คุณมีลู่ทางอะไรกันแน่ ? ”
เธอรู้ว่ามู่จิ่นหนานพึ่งพาอาชีพอะไรมาหาเลี้ยงครอบครัว เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุ 20 ปีอยู่เลย เขาคอยติดตามหัวหน้าสำนักงานรื้อถอน ในเวลานั้นทุกอย่างวุ่นวายมาก เขามักจะได้เจอกับการต่อสู้ในเขตชานเมืองบ่อยครั้ง ตามที่แม่เฒ่ามู่บอก มู่จิ่นหนานจะต้องออกไปเผชิญโลกด้วยความรุนแรง ต่อมามู่จิ่นหนานจึงได้ไปเจอกับพวกนักธุรกิจโดยบังเอิญ
เขาคิดว่าหากอาศัยวิธีผิดกฎหมายพวกนั้นน่าจะไม่ยั่งยืน เขาเลยแบ่งพลังงานออกมาส่วนหนึ่ง เพื่อไปศึกษาวิธีการค้าขายข้ามแดน แต่ตอนนั้นเขาก็ได้แต่แอบทำเท่านั้น เนื่องจากทางศุลกากรฝั่งนั้นต้องเสียเงินภาษีจำนวนมาก
แต่ในขณะที่ธุรกิจกำลังขยายตัวขึ้นอย่างช้า ๆ บวกกับมู่จิ่นหนานรู้จักวิธีการพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่เพื่อให้ได้เพลิดเพลินกับร่มไม้แล้ว เขาก็ค่อย ๆ ถอนตัวออกมาจากวงการนั้น แม้ว่าจะต้องสูญเสียเงินไปจำนวนมาก และทำให้ผู้คนต้องขุ่นเคืองไม่น้อย และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงพ่อของหูจิ่นเหมิงด้วย และสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้พวกเขาสองสามีภรรยาทะเลาะกัน ก็เป็นเพราะมู่จิ่นหนานแยกตัวออกมาจากกลุ่ม ซึ่งมันส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง
ตอนนี้ธุรกิจของมู่จิ่นหนานถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งยังคงเป็นกิจการเกี่ยวกับที่ดิน และอีกส่วนหนึ่งก็คือธุรกิจค้าขายข้ามแดน ตามที่แม่เฒ่าเล่า เหมือนว่าบริษัทของเขาจะทำธุรกิจแค่สองอย่างเท่านั้น อย่างแรกก็คือ การนำเข้าไม้จากรัสเซียมาขายภายในประเทศ และอีกอย่างก็คือ ส่งออกยาจีนไปขายให้กับพวกรัสเซีย
จางฉุ้ยเหลียนเองก็เคยเห็นตอนมู่จิ่นหนานคุยกับคนรัสเซีย ภาษารัสเซียที่ดูคล่องแคล่วนั้น ไม่เหมือนกับคนที่ไม่เคยเรียนมาเลยสักนิด หาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มด้วยมือเปล่า และสามารถต่อสู้กับจนถึงจุดนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ
หลังจากนั้นมู่จิ่นหนานก็ไล่ให้จางฉุ้ยเหลียนกลับไปที่บ้าน ส่วนตัวเองก็ไปหาครูของหูจิ่นเหมิงที่โรงเรียน แม้จางฉุ้ยเหลียนจะไม่พอใจกับวิธีการของมู่จิ่นหนาน แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดเขาได้ เลยได้แต่กลับบ้านด้วยความไม่เต็มใจ
ส่วนเรื่องที่มู่จิ่นหนานจะใช้วิธีการข่มขู่หรือว่าโน้มน้าวใจ จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่รู้เลยสักนิด แต่จากการที่ได้สอบถามกับหูจิ่นเหมิง หล่อนก็บอกว่าตอนนี้สถานการณ์ของหล่อนดีมาก ครูจ้าวไม่ชักสีหน้าใส่หล่อนอีกแล้ว และยังย้ายที่นั่งจากแถมหลังสุด มายังตำแหน่งที่ดีที่สุดในแถวที่สามอีกด้วย
พอจางฉุ้ยเหลียนได้ยินแบบนั้น เธอก็ยิ่งไม่ชอบขี้หน้ามู่จิ่นหนานเข้าไปใหญ่ เมื่อก่อนเธอไม่ชอบคนคนนี้อย่างไม่มีเหตุผล แต่ตอนนี้แม้แต่วิธีจัดการปัญหาของเขา เธอก็ไม่ชอบใจด้วยเช่นกัน หรือจะเรียกได้ว่าเกลียดเลยก็ว่าได้
หลังจากที่จัดการเรื่องของหูจิ่นเหมิงเสร็จแล้ว มู่จิ่นหนานก็ไม่ได้เดินทางกลับไปที่เมืองหลวงทันที เขายังคงทำตัวอ้อยอิ่งอยู่ที่ห้องชั้นบนสุดของโรงแรมในเมือง Q แต่ก็ไม่รู้ว่าเขายังอยากจะทำอะไรต่อไป จางฉุ้ยเหลียนไม่แยแสกับค่าห้องพักเล็ก ๆ น้อยนั่นอยู่แล้ว เขามีเงินอยากจะสร้างหายนะอะไรก็สร้างไปเถอะ
ผ่านไปไม่กี่วัน ฟู่ซินที่ออกจากเมืองไปก็โทรศัพท์มาหาจางฉุ้ยเหลียน เขาพูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “ฉุ้ยเหลียน พี่มู่หาการค้าครั้งใหญ่ให้กับพวกเราแล้ว เธอรีบมาดูเร็ว ทางนี้มีเถ้าแก่หลายคนอยากพบพวกเรา”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด การที่มู่จิ่นหนานจะแนะนำการค้าอะไรมา การค้านั้นก็ต้องทำกำไรได้อยู่แล้ว แต่ปัญหาก็คือแวววงที่คนอย่างเขาสัมผัส จะเป็นงานที่พวกเธอทำได้ไหม
แต่เธอก็ไม่อาจหักหน้าทั้งสองคนได้ เลยได้แต่จัดกระเป๋าง่าย ๆ แล้วเดินทางออกจากบ้านไป จางฉุ้ยเหลียนวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า คราวนี้เธอจะไม่เจรจา จะไม่เข้าร่วม และจะทำเพียงแค่เอาหูกับตาไปเท่านั้น
เมื่อมาถึงร้านอาหารที่ฟู่ซินบอก พนักงานก็พาจางฉุ้ยเหลียนมายังห้องอาหารส่วนตัว เมื่อเปิดประตูเข้าไป เธอก็เห็นมู่จิ่นหนานกำลังนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ฟู่ซินที่อยู่ข้าง ๆ กำลังนั่งตัวตรงท่าทางเคร่งเครียด ส่วนที่เหลือเป็นผู้ชาย 4 – 5 คน แต่ละคนต่างก็มองมาที่จางฉุ้ยเหลียนเป็นตาเดียว
จางฉุ้ยเหลียนทักทายอย่างเขิน ๆ ว่า “ต้องขอโทษทุกท่านด้วยที่ฉันมาช้าไป”
ฟู่ซินรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นเขาก็เดินออกมาต้อนรับจางฉุ้ยเหลียนทันที ให้เธอมายืนอยู่ข้างเขา แล้วแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “คนนี้คือหุ้นส่วนของผม เธอชื่อว่าจางฉุ้ยเหลียน”
แม้ว่าในยุคสมัยนี้จะมีผู้หญิงหันมาทำธุรกิจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นกิจการที่ใหญ่โตอะไร เมื่อทุกคนเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนแต่งตัวธรรมดา ๆ และเป็นผู้หญิงเงียบ ๆ คนหนึ่ง พวกเขาก็เลยเริ่มเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา
“หล่อนเป็นภรรยาของคุณหรือ ? แต่ผมจำได้ว่าตอนนี้ท่านประธานมู่ยังไม่ได้แต่งงานนะ ! ” ใครบางคนพยายามตีสนิทด้วยการหัวเราะ พร้อมถามถึงเรื่องราวของจางฉุ้ยเหลียน
“เธอเป็นน้องสาวของผมเอง ! ” มู่จิ่นหนานพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปมองจางฉุ้ยเหลียนด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ “ทำไมถึงเพิ่งมา ? จะไม่ให้เกียรติฉันจริง ๆ ใช่ไหม ! ”
เดิมทีจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เป็นคนมีนิสัยโมโหง่าย และในสถานการณ์เช่นนี้ เธอจึงรู้จักถอยให้อีกฝ่าย และเมื่อดูจากน้ำเสียงของฟู่ซิน แขกที่มาในวันนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
การที่มู่จิ่นหนานสามารถเก็บสีหน้าอันเย็นชาของตัวเองได้ และยังตำหนิเธอด้วยรอยยิ้ม แถมยังมีน้ำเสียงบ้า ๆ นั่นอีก ไม่ว่าจะฟังยังไงก็รู้สึกว่าเขาจงใจทำ แต่ในโอกาสเช่นนี้ จางฉุ้ยเหลียนไม่มีทางทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองอย่างแน่นอน
เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้ม “เพราะจู่ ๆ ที่ร้านก็เกิดปัญหาขึ้น เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยทิ้งร้านออกมาไม่ได้ ในเมื่อฉันมาสาย งั้นฉันก็ขอดื่มสักหนึ่งจอก เพื่อเป็นขอโทษทุกคนก็แล้วกัน”
ฤดูหนาวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะหนาวเป็นพิเศษ หากจิบเหล้าเข้าไปหนึ่งอึกก็จะสามารถดับความหนาวได้ เมื่อนานมาแล้วในสมัยที่ผู้คนยังยากจนกันอยู่ เวลากินข้าวก็มักจะดื่มเหล้ากันคนละสองอึก หรือไม่ตอนออกจากบ้านก็พกจะเหล้าใส่ขวดน้ำเต้าไปด้วย นั่นถือเป็นเรื่องที่ปกติสุด ๆ พอได้ดื่มก็จะกระปรี้กระเปร่า ร่างกายอุ่นแล้วย่อมใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากกว่าเดิม
ดังนั้นไม่ว่าคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะชอบดื่มรึเปล่า แต่เมื่อเหล้าขึ้นโต๊ะแล้วก็ต้องจิบกันคนละสองอึก จางฉุ้ยเหลียนได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เห็นหรือได้ยินมานานหลายปี ฉากการพูดคุยแบบนี้ เธอย่อมแสดงออกมาได้อยู่แล้ว
เธอเอื้อมมือออกไปหยิบขวดเหล้าขาวที่วางอยู่ตรงหน้าของฟู่ซินที่เปิดแล้วมา หลังจากยกแก้วที่คว่ำไว้ขึ้น เธอก็เทเหล้าขาวลงไป แล้วยกแก้วขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ฉันดื่มแล้ว พวกคุณตามสบายเลย ! ”
นี่เป็นแก้วที่สามารถจุดได้ 125 มิลลิตร จางฉุ้ยเหลียนเทเหล้าจนเต็มแก้วจริง ๆ ฟู่ซินที่มองดูอยู่ข้าง ๆ เลยตกใจไม่น้อย เขาไม่เคยเห็นจางฉุ้ยเหลียนดื่มเหล้าขาวที่แรงขนาดนี้มาก่อน นี่มันเหล้าเหมาไถเลยนะ ดีกรีไม่ใช่น้อย ๆ และมันก็แรงสุด ๆ ด้วย
มู่จิ่นหนานเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า จางฉุ้ยเหลียนจะร้ายถึงขนาดนี้ คราวก่อนก็เล่นใหญ่แบบไม่สนอะไร เขาเลยบ่นพึมพำในใจว่า ปกติผู้หญิงคนนี้ปากเก่งจะตายไป แต่ในเวลานี้กลับรู้ว่าต้องให้เกียรติกับตัวเองซะอย่างนั้น
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าตัวเองนั้นดื่มได้เท่าไหร่ แต่ปกติเวลากินข้าวอย่างมีความสุขอยู่ที่บ้าน เธอก็จะดื่มหน่อย ส่วนเหล้าขาวเธอดื่มน้อยมาก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเธอดื่มไม่ไหว นับว่าเธอเป็นคนที่คอแข็งพอใช้ได้เลยทีเดียว ถึงจะดื่มไปสองสามแก้วแล้วก็ยังไม่รู้สึกมึน ขอแค่อีกเดี๋ยวเธอกินอาหารและดื่มชาให้เยอะหน่อยก็พอแล้ว ร่างกายของเธอปรับตัวได้เร็วกว่าชาวบ้าน พอกินข้าวเสร็จ เดี๋ยวเธอก็หายเมาแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้ายกเหล้าขึ้นดื่ม หลังจากนั้นก็ชูแก้วให้ทุกคนเห็นว่ามันว่างเปล่าแล้ว ต่อจากนั้นมู่จิ่นหนานก็เป็นคนยกแก้วขึ้นคนแรก “ในเมื่อน้องสาวของผมพูดถึงขนาดนี้แล้ว งั้นพวกผู้ชายอย่างพวกเราก็มาดื่มกันเถอะ”
ฉันดื่มแล้ว พวกคุณก็ตามสบาย นี่เป็นการพูดตามมารยาท หรือพวกผู้ชายพวกนี้เห็นจางฉุ้ยเหลียนดื่มแล้วก็คิดจะดื่มตามจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นมู่จิ่นหนานก็ได้ยกแก้วเพื่อสนับสนุน เพราะอย่างนั้นทุกคนก็เลยต้องยกแก้วขึ้นดื่มตาม
ต่อจากนั้นฟู่ซินก็รีบกระซิบถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปทันทีว่า “เป็นยังไงบ้าง ? เธอไหวไหม ? ไอ้หยา เธอนี่มันร้ายจริง ๆ เลยที่ดื่มทั้งหมดในคราวเดียว เธออย่าเพิ่งอ้วกออกมานะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนหน้าแดงขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็เข้าไปกระซิบที่ข้างหูฟู่ซินด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม จากนั้นก็กัดฟันพูดกับเขาออกไปว่า “นายวางใจได้ ถึงฉันจะอ้วก ฉันก็จะถ่อสังขารไปอ้วกที่รถของนาย”
ฟู่ซินรีบคีบอาหารเปรี้ยวหวานสองสามอย่างให้จางฉุ้ยเหลียน บอกให้ดับความรู้สึกไม่สบายท้องเอาไว้ จากนั้นก็ตะโกนเรียกพนักงานว่าต้องการเครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้ เนื่องจากทุกคนไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของจางฉุ้ยเหลียนเลยไม่มีใครชวนเธอดื่มต่อ
มู่จิ่นหนานพูดคุยกับทุกคนอย่างคุ้นเคย ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็ตั้งใจฟังอยู่ข้าง ๆ และตั้งใจกินอาหารด้วย หลังจากฟังไปได้สักพัก เธอก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมฟู่ซินถึงได้ดีใจขนาดนั้น
ในบรรดาคนพวกนี้มีคนหนึ่ง ที่เป็นหัวหน้าสำนักงานรื้อถอน แม้ว่าเขาจะมีอำนาจไม่เยอะแต่ความมั่งคั่งที่อยู่เบื้องหลังเขาก็มีไม่น้อย
มู่จิ่นหนานอาศัยความมั่งคั่งนี้ หรือว่าเขาคิดอยากจะย้ายมาอยู่ที่เมือง Q อย่างนั้นหรือ ? จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าตัวเองดื่มเร็วไปหน่อย เธอเลยรู้สึกว่าสมองของตัวเองเริ่มใช้การไม่ได้แล้ว
เธอเลยอดกระซิบถามฟู่ซินไม่ได้ อีกฝ่ายเลยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “พี่มู่บอกว่า ตอนนี้เป็นเวลาดีสำหรับการวางผังเมือง พวกเขามีความสามารถในองค์กรอย่างจำกัด พวกเขาจึงไม่อาจอาศัยแค่ความสามารถของพวกเขาเองได้ ดังนั้นเลยต้องหาใครสักคนมาช่วย ความหมายของพี่มู่ก็คือพวกเราจะรับทำงานที่ว่า สร้างบริษัทรื้อถอนแห่งหนึ่งขึ้นมา รับทำงานประเภทนั้นโดยเฉพาะ”
ราวกับมีระเบิดลูกใหญ่ระเบิดขึ้นมาในสมองจางฉุ้ยเหลียนทันที เธอรู้สึกราวกับว่าสวรรค์กำลังเล่นตลกกับเธอ เรื่องแบบนี้จะยกให้พวกเธอสองคนเป็นคนทำได้อย่างไร เรื่องแบบนี้ก็ต้องยกให้คนที่มีคนหนุนหลังทำสิ
ในความทรงจำของเธอเกี่ยวกับการรื้อถอนครั้งใหญ่ในครั้งนั้น ทำให้คนมากมายต้องเจ็บปวด แล้วเธอจะทำเรื่องแบบนี้ลงได้ยังไง เธอไม่อยากเดินเข้าสู่น้ำโคลนนี่ ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่ทำ !
MANGA DISCUSSION