ตอนที่ 244 กินคนเดียว
หลังจากที่ได้รับข่าว ฟู่ซินก็หัวเราะเยาะจางฉุ้ยเหลียนและยังบอกกับอีกว่า เธอมีสติปัญญาเหมือนชาวนาตัวเล็ก ๆ เพราะถ้าหากหักค่าน้ำค่าไฟออกไปแล้ว เธอก็จะได้เงินค่าเช่า 150 หยวนต่อเดือนเท่านั้น และถ้าหากหักช่วงปิดเทอมฤดูร้อนและฤดูหนาวออกไปอีก ปีหนึ่งก็ตกเป็นเงินแค่ 1,200 – 1,300 หยวน ค่าเช่าในห้าปีเธอก็ทำเงินได้แค่ 6,000 หยวน ช่างเป็นธุรกิจที่ไร้ความหมายจริง ๆ
แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับไม่เห็นด้วย เธอรู้ดีว่าตอนนี้ฟู่ซินกำลังมองเห็นแค่ประโยชน์ที่เขาได้รับมากมายในตอนนี้ เพราะทุกครั้งที่เขาขยับตัวล้วนได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กลับมาเสมอ รายได้หลักแสนที่ได้มาอย่างง่ายดายทำให้เขาดูถูกเงินก้อนเล็ก ๆ ของเธอ
สำหรับตัวเธอแล้ว เธอคิดว่านี่ต่างหากล่ะถึงจะเป็นรากฐานของชีวิต ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถทำเงินได้อย่างมากมายมหาศาล แต่มันก็มีช่วงเวลาที่ทำให้เสียเงินมากมายได้เช่นกัน การทำธุรกิจแบบลงทุนน้อยแต่ได้ผลกำไรนานเช่นนี้ เธอก็คิดว่าสมควรต้องทำเช่นกัน เพราะหากวันหน้าคุณล้มขึ้นมา คุณก็ยังสามารถทิ้งอสังหาริมทรัพย์บางส่วนไว้ให้ลูกหลานได้
เธอรู้ดีว่านี่คือความคิดของคนในยุคสมัยเก่า แต่เรื่องราวบนโลกนี้มันคาดเดาได้ยาก ใครจะไปรู้ล่ะว่า วันหนึ่งตัวเองจะล้มเหลวรึเปล่า !
ผลตอบรับจากผู้เช่าทางฝั่งนั้นเป็นไปในทางที่ค่อนข้างดี ในบ้านสามหลังนี้มีเด็กผู้หญิงอาศัยอยู่ 2 หลัง และเด็กผู้ชายอาศัยอยู่ 1 หลัง เด็กทั้งสามคนอายุเท่ากัน พวกเขาเพิ่งจะเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการสอบกลางภาคไม่ค่อยดีเพราะความคิดถึงบ้าน และด้วยความที่บ้านของพวกเขาอยู่ค่อนข้างไกล การเช่าบ้านอยู่ในละแวกนั้น เลยทำให้พ่อแม่สามารถอยู่ใกล้ ๆ ลูกได้ เด็กทั้งสามคนกลายเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว อีกทั้งพวกเขาก็ยังเปรียบเทียบผลการเรียนของกันและกันบ่อยครั้งอีกด้วย
จางฉุ้ยเหลียนจัดการบ้านเช่าได้สะอาดสะอ้านเป็นอย่างมาก แม้ว่าห้องครัวจะเล็ก แต่ก็มีอุปกรณ์ครบครันพร้อมใช้งานทุกอย่าง มีน้ำประปาที่สามารถล้างผัก ต้มน้ำ หุงข้าว ตุ๋นอาหาร หรือทำกับข้าวต่าง ๆ ได้สะดวกสบายมากเลยทีเดียว เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว เธอก็ซื้อถ่านหินมาจำนวนมาก พวกมันเพียงพอที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่นในยามค่ำคืน เมื่อเห็นลูกบ้านพอใจ จางฉุ้ยเหลียนก็มีความคิดที่อยากจะทำหอพักขึ้นมาอีก แต่แล้วเธอก็คิดว่าแค่หูจิ่นเหมิงเพียงคนเดียว ก็ทำให้เธอปวดหัวมากพออยู่แล้ว ลูกชาวบ้านนี่ทำให้เธอต้องยุ่งจนหัวหมุนได้จริง ๆ
เมื่อพูดถึงหูจิ่นเหมิง ตอนที่หล่อนเพิ่งเข้าไปเรียนโรงเรียนใหม่ หล่อนก็ทำตัวน่ารักมาก หลังจากที่กินข้าวเสร็จ หล่อนก็ยังช่วยจางฉุ้ยเหลียนเก็บโต๊ะและล้างจานทุกวัน จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจดีว่า หล่อนอยากจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นเด็กดีและรู้ความ เพราะอย่างนั้นเธอจึงยอมให้หล่อนช่วยเธอล้างจาน เธอมอบหมายให้หล่อนใช้ผ้าขุนหนูเช็ดคราบน้ำออกจากจานที่เธอเป็นคนล้างจนสะอาด แล้วจากนั้นถึงได้นำพวกมันเก็บเข้าตู้
ในระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ จางฉุ้ยเหลียนก็จะถามถึงเรื่องชีวิตในโรงเรียนของหล่อน หูจิ่นเหมิงร่าเริงสดใสและปากหวาน เพราะอย่างนั้นพวกเธอจึงมักจะหัวเราะกันอย่างสนุกสนานในห้องครัวอยู่บ่อยครั้ง
และด้วยบรรยากาศเช่นนี้ มันจึงทำให้คังคังเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข เขาคิดว่าความรักจากมารดาที่เขาสมควรได้รับกำลังจะถูกพรากไป บ่อยครั้งเมื่อหูจิ่นเหมิงเข้าไปแนบชิดจางฉุ้ยเหลียน เขาก็มักจะขมวดคิ้วน้อย ๆ ของตัวเองด้วยความโกรธ พร้อมทั้งยังเข้าไปแทรกระหว่างกลางของทั้งสองคน เดิมทีที่คุ้นชินกับการโดนตงลี่หวาอุ้มกลับไปนอนในตอนกลางคืน มันก็กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็จะนอนกับจางฉุ้ยเหลียน
ตงลี่หวาไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำนี้เท่าไหร่นัก หล่อนบอกเพียงแค่ว่าเด็ก ๆ ชอบงอแงเสมอ จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงคิดแค่ว่าคังคังโดนคนที่บ้านตามใจจนเสียนิสัย
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อจางฉุ้ยเหลียนพาเด็ก ๆ ทั้งสองคนกลับไปกินข้าวที่บ้านแม่สามี ปฏิกิริยาอันน่าตื่นเต้นของคังคังก็ทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก
สำหรับการที่จางฉุ้ยเหลียนรับลูกคนอื่นมาอยู่ด้วย คนในตระกูลกู้ก็รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก เพราะจางฉุ้ยเหลียนต้องให้ตงลี่หวาช่วยดูแลลูกของตัวเองทุกอย่าง ต่อมาหลังจากที่พวกเขาได้ยินว่า หูจิ่นเหมิงเป็นเทพเจ้าแห่งเงินทองตัวน้อยที่สามารถช่วยจางฉุ้ยเหลียนหาเงินได้จำนวนมากในคราวเดียว ท่าทีของอันหลงก็เปลี่ยนไปในทันที หล่อนมักจะบอกให้จางฉุ้ยเหลียนพาหูจิ่นเหมิงมากินข้าวที่บ้าน หลังจากนั้นคนในครอบครัวต่างก็ไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ
สุดสัปดาห์นี้จางฉุ้ยเหลียนก็พาเด็ก ๆ ทั้งสองคนไปที่บ้านตระกูลกู้เหมือนเช่นเคย แต่ครั้งนี้กู้จื้อชิวก็บังเอิญอยู่ที่บ้านพอดี และเนื่องจากคุณน้ากับหลานชายไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้ว ทั้งสองคนเลยญาติดีกันราวกับเป็นคนคนเดียว จางฉุ้ยเหลียนเข้าไปทำอาหารในห้องครัว ส่วนอันหลงก็อยู่เป็นเพื่อนหูจิ่นเหมิงที่ห้องนั่งเล่น
หูจิ่นเหมิงเติบโตอยู่ข้างกายของคุณยายมาตั้งแต่เด็ก ๆ หล่อนจึงรู้ดีว่าจะเอาใจคนแก่ยังไง ปากน้อย ๆ ของหล่อนก็หวานสุด ๆ หล่อนทำเป็นยืมดอกไม้ถวายพระโดยการหยิบผลไม้บ้านคนอื่นมาเอาใจอันหลง อันหลงเลยชมว่าหูจิ่นเหมิงเป็นเด็กดี อีกทั้งยังพูดว่ากู้จื้อชิวก็ยังดีไม่เท่าหูจิ่นเหมิงเลย
กู้จื้อชิวได้ยินเต็มสองหู หล่อนเลยอดไม่ได้ที่จะแกล้งแซวหลานชายตัวน้อย “เจ้าเด็กโง่ ตอนนี้นายมีพี่สาวมาแย่งความรักแล้ว นายยังจะมีกะจิตกะใจมาเล่นของเล่นอยู่อีก วันข้างหน้านายจะต้องอนาถแน่ แม่ของนายจะทำอาหารที่พี่สาวชอบทุกวัน ส่วนคุณยายของนายก็อยากจะคุยแต่กับพี่สาวของนาย ต่อไปคุณย่ากับคุณปู่ก็จะไม่ชอบนาย แล้วนายก็จะกลายเป็นเด็กเร่ร่อน ! ”
หล่อนคิดว่าคังคังเป็นเด็กน้อยอายุแค่ 2 ขวบจะไม่เข้าใจอะไร ปกติเวลาโดนส่งไปที่สถานรับเลี้ยงเด็ก พวกเขาก็จะสอนแค่นับเลขหนึ่งสองสามสี่ห้า แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กจะมีความคิดเป็นของตัวเอง เขามองเห็นฟังออก มีความรู้สึกและความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน
หลังจากเจ้าตัวน้อยที่อ่อนไหวง่ายเข้าใจความหมายของกู้จื้อชิวแล้ว สีหน้าบนใบหน้าน้อย ๆ ก็เปลี่ยนไปทันที
“กินข้าวค่ะ ! ล้างมือมากินข้าวกันเร็ว ! ” จางฉุ้ยเหลียนยกจานอาหารออกมาวางที่โต๊ะ จากนั้นก็เข้าไปตะโกนเรียกทุกคน
กู้จื้อชิวหัวเราะออกมาแล้วพาคังคังไปล้างมือ เมื่อกู้เต๋อไห่เดินออกมาจากห้อง เขาก็เห็นดวงตาของคังคังที่มีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ เพราะอย่างนั้นเขาเลยอดไม่ได้ที่จะตำหนิกู้จื้อชิว “ลูกรังแกอะไรหลานอีกแล้ว ห๊ะ ? ”
“ใครรังแกหลาน พวกเราเล่นกันมีความสุขจะตายไป” กู้จื้อชิวรู้สึกเหมือนโดนปรักปรำ จึงรีบเถียงกลับทันที แต่กู้เต๋อไห่กลับไม่เชื่อ ถ้าหล่อนไม่ได้รังแกหลาน แล้วคังคังจะทำหน้าโกรธจัดแบบนี้ได้ยังไง
กู้เต๋อไห่อุ้มคังคังไปที่ห้องน้ำ จากนั้นก็โอ๋เขาพร้อมกับล้างมือให้เขาไปด้วย หลังจากที่ตัวเองโดนด่าอย่างไม่มีเหตุผล กู้จื้อชิวก็โมโหจนควันออกหู หล่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารโดยที่ไม่คิดที่จะล้างมือแต่อย่างใด
ด้วยความที่ในบ้านมีแขกอยู่ด้วย เพราะอย่างนั้นในบรรดาอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ จึงมีปลาน้ำแดงซึ่งเป็นอาหารจานพิเศษฝีมือของอันหลง นี่เป็นอาหารที่อันหลงทำออกมาได้อร่อยที่สุด และเป็นอาหารที่กู้จื้อชิวชอบมากที่สุด
หล่อนรีบจับตะเกียบตรงไปที่หัวปลาทันที แต่แล้วหล่อนก็โดนอันหลงตีมือ กู้จื้อชิวเลยต้องดึงตะเกียบกลับมา หดคอแล้วรออันหลงตำหนิ “ลูกยังรู้กฎประเพณีอยู่บ้างไหม ห๊ะ ? พ่อของลูกยังไม่มาถึงโต๊ะเลย แขกก็ยังไม่ได้กิน มารยาทที่เคยสอนหายไปหมดแล้วใช่ไหม ? ”
กู้จื้อชิวรู้ความผิดของตัวเองเลยได้แต่ก้มหน้าลงและไม่ยอมพูดยอมจา แต่หล่อนกลับคิดไม่ถึงเลยว่า คำพูดต่อมาของอันหลงจะทำให้หล่อนโมโหจนเกือบล้ม แม่แท้ ๆ ของหล่อนพูดออกมาว่า “แม่รู้ว่าลูกจะมาแย่งตาปลา แต่ตาปลานี่เป็นของคังคัง ใครก็ห้ามแย่งไปทั้งนั้น ! ”
คนพูดไม่คิดแต่คนฟังกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น หูจิ่นเหมิงเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก และยังได้ยินคำพูดตีวัวกระทบคราดจากบ้านคุณย่ามานานหลายปี หากไม่เข้าใจคำพูดของอันหลงในครั้งนี้ หล่อนก็คงกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแล้วล่ะ นี่เป็นสิ่งที่คุณย่าของคังคังกำลังเตือนว่า เวลาที่คังคังกินปลา เขามักจะชอบกินตาปลาตลอด แต่ตัวเองโตแล้วยังไงก็ไม่ไปแตะต้องส่วนนั้นอยู่แล้ว หล่อนเลยทำเป็นฟังเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ไม่ได้เก็บเอามาใส่เลยสักนิด
แต่กู้จื้อชิวกลับโมโหจนกัดฟัน จ้องมองไปที่แม่ของตัวเองด้วยท่าทางโกรธจัด “ตั้งแต่มีหลานคนนี้เข้ามา บ้านนี้ก็ไม่มีที่ยืนให้หนูอีกแล้ว เมื่อก่อนแม่เก็บตาปลาไว้ให้หนูตลอด ขนมที่พ่อซื้อมาก็เป็นของหนู แล้วตอนนี้ล่ะ ของพวกนี้กลับกลายเป็นของเขาไปซะหมดทุกอย่าง แถมหนูยังต้องควักเงินออกมาซื้อของให้เด็กคนนี้อีก นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ! ”
ในฐานะที่หล่อนอายุน้อยที่สุด และเป็นลูกรักที่สุดในบ้าน กู้จื้อชิวเลยได้รับความรักที่ลำเอียงจากพ่อแม่มาตลอด กู้จื้อเฉิงเป็นผู้ชายหยาบกระด้าง เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยไม่ได้สนใจ และเห็นหล่อนเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ครอบครัวมีคังคังแล้ว เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงไม่ใช่เด็กอีกต่อไปและกลายเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง และด้วยความที่เหตุการณ์นี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก กู้จื้อชิวเลยรับมือไม่ทัน เวลาอารมณ์ขึ้นหล่อนก็ยังจงใจร้องไห้ยิ่งกว่าหูจิ่นเหมิงและคังคังเสียอีก พอเห็นพ่อแม่โมโหแล้วหล่อนถึงจะพอใจ
คังคังรู้สึกโมโห และเมื่อได้ยินน้าสาวของเขาพูดแบบนั้น เขาก็หูตาตื่นขึ้นมาทันที โวยวายจะออกไปกินข้าว กู้เต๋อไห่หัวเราะออกมา แล้วพูดออกไปว่า “ได้ ได้ ได้ ไม่ต้องรีบหรอกหลาน”
หลังจากกู้เต๋อไห่นั่งลง ดวงตาน้อย ๆ ของคังคังก็จับจ้องไปที่หัวปลาตัวนั้นทันที เขารอตาปลาอย่างใจจดใจจ่อ จะให้ใครแย่งไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะเขาได้ยินน้าสาวจะแย่งตาปลาของเขาไปกับหูของตัวเอง
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้สังเกตเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของลูกชาย พอเห็นเขานั่งอยู่ระหว่างอันหลงและกู้เต๋อไห่ราวกับได้รับการดูแลอย่างกับฮ่องเต้แล้ว เธอก็ไม่ได้สนใจเขาอีก เธอหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลาวางลงในชามของหูจิ่นเหมิง “นี่เป็นปลาน้ำแดงที่คุณย่าทำ รสชาติของมันมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเลยนะ เธอลองชิมดูสิ”
จากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปหยิบน่องไก่ แล้วนำมาวางใส่ชามหล่อนอีกครั้ง พอกู้จื้อชิวที่อยู่ข้าง ๆ เห็นพี่สะใภ้ทำแบบนั้น หล่อนก็แกล้งแซวจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “พี่สะใภ้ นี่พี่กำลังเห็นคนใหม่ยิ้มแล้ว ไม่เห็นคนเก่าร้องไห้หรือ”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นก็หยิบน่องไก่อีกน่องให้กู้จื้อชิว “ได้ ! นี่น่องไก่ พวกเธอสองคนก็เอาไปคนละน่องเลยนะ ! ”
ทันใดนั้นเองพวกผู้ใหญ่ก็เริ่มหัวเราะออกมาเบา ๆ อันหลงเองก็พูดกับหูจิ่นเหมิงอย่างสุภาพ “เสี่ยวเหมิง กินเยอะ ๆ นะไม่ต้องคิดมาก คิดว่าเป็นบ้านของตัวเองเถอะ ! ”
หูจิ่นเหมิงคีบปลาชิ้นนั้นเข้าปาก จากนั้นก็เริ่มอุทาน และพยักหน้าชื่นชมอีกฝ่าย “พี่สาวพูดถูก ปลาน้ำแดงนี่มีรสชาติไม่เหมือนใครจริง ๆ คุณย่าทำอาหารเก่งมากเลยค่ะ ! ”
อันหลงโดนชมจนตัวลอย ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด หล่อนก็ได้ยินหลานชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เริ่มเบะปากร้องไห้
ทุกคนพากันตกใจนึกว่าคังคังโดนเก้าอี้หนีบ กู้เต๋อไห่จึงอุ้มคังคังขึ้นมาดูว่าเขาโดนหนีบตรงไหนรึเปล่า จางฉุ้ยเหลียนเองก็ขมวดคิ้วและถามออกไปว่า “เผ็ดหรือ ? ”
อันหลงกลับปฏิเสธทันที “ไม่มีทาง เขายังไม่ได้กินอะไรสักคำเลย เพิ่งจะใส่ผ้ากันเปื้อนให้เขาเอง หลานชาย หลานชายของย่าเป็นอะไรไป ? ”
คังคังร้องไห้จนจมูกน้อย ๆ จะหลุดออกมาอยู่แล้ว เขาเอื้อมมือน้อย ๆ ออกมา แล้วตะโกนออกไปว่า “เนื้อ เนื้อ ! ”
ทุกคนยังคงไม่เข้าใจ คังคังยังคงเอื้อมมือออกมา และตะโกนออกไปว่า “ผมจะกินเนื้อ ไม่…ไม่มีแล้ว”
คังคังพูดได้เร็วกว่าเด็กคนอื่น ๆ เพราะคนในบ้านมักจะชอบพูดกับเขาบ่อย ๆ ทำให้ตอนนี้เขาสามารถพูดเป็นประโยคได้แล้ว
เมื่อเห็นคังคังจ้องน่องไก่ในชามคนอื่นด้วยสีหน้าน้อยใจ จางฉุ้ยเหลียนก็เข้าใจได้ในทันที เธอถามคังคังออกไปด้วยรอยยิ้ม “ลูกอยากกินเนื้อใช่ไหม ? ”
คังคังพยักหน้าอย่างน่าสงสาร จางฉุ้ยเหลียนเลยคีบเนื้อไก่ไปวางในชามของเขา แต่คังคังก็ยังคงร้องไห้ จนกระทั่งน่องไก่ในชามหูจิ่นเหมิงมาอยู่ในชามของตัวเองแล้ว เขาถึงหยุดร้องไห้แล้วเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของอันหลง
อันหลงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “หลานอยากกินน่องไก่ใหญ่ ๆ อย่างนั้นหรือ ? เสี่ยวชิว ลูกเอาน่องไก่ของลูกให้เสี่ยวเหมิงสิ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หูจิ่นเหมิงจึงรีบโบกมือปฏิเสธทันที “หนูโตขนาดนี้แล้ว กินอะไรก็ได้ค่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนจ้องคังคังด้วยสายตาที่เย็นชา เมื่อเห็นคังคังไม่มีทีท่าว่าจะแตะต้องน่องไก่อันนั้น เธอก็พูดขึ้นมาอย่างเป็นนัยว่า “ไอ้หยา มีเนื้อไก่เหลือแค่ชิ้นเดียว งั้นก็เอาให้พี่เสี่ยวเหมิงกินแล้วกันนะ” หลังจากพูดจบเธอก็หันไปสบตากับกู้จื้อชิว กู้จื้อชิวไม่เข้าใจ แต่หล่อนก็ยังคีบเนื้อไก่อันนั้นให้เสี่ยวเหมิง
ดวงตาของคังคังเปลี่ยนจากตะเกียบในมือกู้จื้อชิว ไปที่ชามของหูจิ่นเหมิงทันที เขาเห็นเนื้อไก่ “หนึ่งเดียว” ไปอยู่ในชามของหูจิ่นเหมิงจริง ๆ ทันใดนั้นเองจู่ ๆ เขาก็เริ่มร้องไห้โวยวายขึ้นมา อีกทั้งยังพลิกชามข้าวของตัวเองอีกต่างหาก
จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจได้ในทันทีเลยว่า ลูกของหล่อนเคยชินกับการเป็นลูกคนเดียว คิดว่าไม่ว่าจะมีของดีอะไร ทุกคนก็ต้องเอามาให้เขาหมด เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา จึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหาคังคัง จากนั้นก็อุ้มคังคังขึ้น อันหลงเห็นสีหน้าของลูกสะใภ้ไม่ค่อยดี หล่อนเลยเริ่มเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หล่อนตะโกนใส่หลังจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “เขายังเด็ก อย่าใส่อารมณ์กับเขานะ ถ้าทำให้เด็กตกใจ มันจะแย่เอานะ”
จางฉุ้ยเหลียนเดินมาที่ห้องของกู้จื้อชิว เธอปิดประตูเบา ๆ หลังจากนั้นก็พูดกับคังคังด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “คังคัง ลูกบอกแม่มา ทำไมลูกถึงร้องไห้ ? ”
คังคังไม่ยอมปล่อยมือน้อย ๆ ออกจากคอจางฉุ้ยเหลียน เขาตะโกนออกมาอย่างสงสาร “แม่ แม่ของผม ! ”
จางฉุ้ยเหลียนปวดใจขึ้นมาทันที ขณะกำลังจะปลอบลูก เธอก็ได้ยินเสียงคังคังร้องไห้พร้อมกับพูดออกมาว่า “พี่สาว ต้องกลับไปบ้านของตัวเอง ! ”
MANGA DISCUSSION