ตอนที่ 241 วิเคราะห์ผู้ชาย
ตั้งแต่หูจิ่นเหมิงเข้ามาอยู่ในบ้าน ชีวิตของจางฉุ้ยเหลียนก็ถือได้ว่ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ราวกับว่าเหมือนเธอได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อนในชาติที่แล้ว ตอนที่เชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอกำลังเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอย่างไรอย่างนั้น
ทุก ๆ วันเวลา 05.30 น. จางฉุ้ยเหลียนจะตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเช้า 06.00 น. เดินไปปลุกหูจิ่นเหมิง หลังจากนั้นอีก 15 นาทีหูจิ่นเหมิงก็จะลุกขึ้นไป อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว และมานั่งรับประทานอาหารเช้าที่โต๊ะ จากนั้นเวลาประมาณ 06.30 น. จางฉุ้ยเหลียนก็จะขับรถกระบะมือสองที่ใช้ส่งเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปส่งหูจิ่นเหมิงที่ประตูโรงเรียนหมายเลขสามก่อนเวลา 06.55 น.ของทุกวัน
ถึงแม้ว่าทักษะการขับรถของจางฉุ้ยเหลียนจะไม่จัดว่าดีเท่าไหร่นัก แต่เธอก็รู้ว่าเธอควรที่จะใช้เส้นทางไหนเพื่อหลีกเลี่ยงรถ หลังจากที่ขับรถออกจากบ้าน พวกเธอก็จะใช้เส้นทางที่ขนาบข้างทะเลสาบ เมื่อขับผ่านไปได้ครึ่งทาง พวกเธอก็จะเจอกับประตูโรงเรียนหมายเลขสามที่อยู่ติดกับทะเลสาบพอดี และโดยปกติแล้วจางฉุ้ยเหลียนก็จะใช้เวลาเดินทางมาที่โรงเรียนของหูจิ่นเหมิงประมาณ 10 นาที และวันไหนที่หูจิ่นเหมิงมีเวรประจำวัน หล่อนก็จะไปถึงห้องเรียนตอน 06.30 น. ทุกครั้ง
อย่าคิดว่าจะได้ยินเสียงบ่นของหูจิ่นเหมิงเลย เพราะหล่อนเคยเข้าเรียนตรงเวลาซะที่ไหน ? ดังนั้นผลการเรียนของหล่อนเลยอยู่อันดับที่หนึ่งนับจากลำดับสุดท้ายมาตลอด เพราะอย่างนั้นการที่หล่อนได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้กับจางฉุ้ยเหลียน ก็ทำให้แม่เฒ่ามู่รู้สึกมีความสุขจนสามารถจุดประทัดเพื่อฉลองได้เลย
ด้วยเหตุนี้หูจิ่นเหมิงเลยย้ายมาเรียนในโรงเรียนอันดับที่สามของเมือง Q หล่อนต้องเรียนซ้ำชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อีกครั้ง เริ่มเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนสามารถเพลิดเพลินกับชีวิตที่มีความสุขเช่นนี้ได้
จางฉุ้ยเหลียนก็มีชีวิตเหมือนกับพ่อแม่ของเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ ตั้งแต่ลูกเริ่มเข้าเรียน เธอก็ต้องแบ่งเวลาให้ดี ตอนเช้าตื่นขึ้นมาทำอาหารและออกกำลังกาย หลังจากที่กินข้าวเย็นเสร็จ ก็ไม่ควรทำตัวผัดวันประกันพรุ่ง มีงานบ้านก็ทำงานบ้าน ลูกมีการบ้านก็ช่วยสอนการบ้านให้ลูก
จางฉุ้ยเหลียนชอบชีวิตแบบนี้ เธอมักจะคิดว่าชีวิตแบบนี้มันมีความหมาย เพราะแม้แต่คังคังเองก็ยังปรับเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน เมื่อเขาได้เห็นพี่สาวมีกิจวัตรแบบนั้น เขาก็อยากที่จะตื่นเช้าขึ้นมาเรียนหนังสือ และไม่ร้องไห้งอแงเลยสักนิด
เซี่ยจวินและตงลี่หวารู้สึกเป็นกังวลแทนจางฉุ้ยเหลียน พวกเขาก็เลยจ้างแม่บ้านมาอยู่ช่วยงานจางฉุ้ยเหลียนคนหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดลับหลังว่าอย่างไรบ้าง เรื่องที่หูจิ่นเหมิงมาอยู่ที่นี่ แต่หลังจากที่พวกเขาได้รู้เรื่องราวที่หูจิ่นเหมิงถูกเพื่อนโรงเรียนเก่ากระทำอย่างไม่ได้รับเป็นธรรมมา พวกเขาก็เริ่มรู้สึกสงสารหล่อน แม้ว่าพวกเขาจะคิดว่าหูจิ่นเหมิงนั้นเป็นเด็กที่ซนไปหน่อย แต่หล่อนก็มีนิสัยร่าเริง อ่อนหวาน อ้อนเก่ง และยังปฏิบัติต่อคังคังดีเป็นพิเศษอีกด้วย เพราะอย่างนั้นตอนนี้พวกเขาก็เลยไม่ได้คัดค้านเรื่องที่หล่อนจะมาอยู่ที่นี่อีกต่อไป
แต่แล้วจู่ ๆ กู้จื้อเฉิงก็โทรศัพท์กลับมาที่บ้านอย่างกะทันหัน เขาโทรศัพท์มาปรึกษากับจางฉุ้ยเหลียนว่า ฐานการบินและอวกาศในมณฑลกานซูกำลังมีงานที่สำคัญ พวกเขาก็เลยต้องการเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคและบุคลากรทางทหารจำนวนมาก ทางหน่วยงานของเขาเลยอยากย้ายให้เขาไปประจำการอยู่ที่นั่น กู้จื้อเฉิงเลยตัดสินใจว่า เขาจะย้ายไปทำงานอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี
ในใจของจางฉุ้ยเหลียนนั้นรู้ดีว่า ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่กู้จื้อเฉิงไปประจำการอยู่ที่นั่น เขาคงจะไม่ได้กลับบ้านอย่างแน่นอน เพราะเธอเคยได้ยินมาว่าโครงการนี้เป็นโครงการลับของรัฐบาล ดังนั้นช่างเทคนิคระดับสูงจึงไม่สามารถปลีกตัวออกมาจากที่นั่นได้ตลอดชีวิต ส่วนคนที่ทำงานระดับล่างก็เป็นชาวบ้านในละแวกนั้น แต่ละครอบครัวต่างก็อาศัยงานนี้เพื่อหาเลี้ยงชีพ ก็เหมือนกับแท่นขุดเจาะน้ำมัน เพราะคนงานขุดเจาะน้ำมันก็มีชีวิตเช่นนี้เหมือนกัน ถ้าพวกเขาต้องติดอยู่บนเขา พวกเขาก็ต้องหาของป่ากิน และถ้าหากว่าพวกเขาไปติดอยู่กลางทะเล พวกเขาก็ต้องหาอาหารทะเลกิน บรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนต่างก็พึ่งพาอาศัยอาชีพนี้ เพื่อหาเลี้ยงชีพและทำให้ชีวิตสุขสบายขึ้น
แต่กู้จื้อเฉิงไปรับหน้าที่ด้านรักษาความปลอดภัย เพราะอย่างนั้นเธอก็เลยไม่รู้ว่า เขาจะได้กลับมาอีกไหม
กู้จื้อเฉิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เดิมทีฉันคิดว่าจะไปทำงานที่นั่น 3 ปี เพราะสถานที่ที่สำคัญแบบนั้น ฉันก็คงจะไปทำงานประเภทนี้ตลอดทั้งชีวิตไม่ได้หรอก เพราะขนาดผู้คุมก็ยังต้องมีการผลัดเปลี่ยน เพราะอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงทหารอย่างพวกเราเลย และการที่ฉันอยากจะไปทำงานที่นั่น มันก็เพื่ออนาคตของครอบครัวเรา ในเมื่อฉันไม่มีความสามารถและไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่า การที่ไปเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหมือนอย่างจิ้นเหวิน มันจะทำให้อนาคตเจริญก้าวหน้า เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องคิดหาทางและหาโอกาสอื่นจริงไหมล่ะ ? แม้ว่าในระยะเวลา 3 ปีมันจะลำบาก อีกทั้งยังทำให้เธอต้องเหนื่อยที่จะต้องดูแลครอบครัวเพียงคนเดียว แต่หลังจากที่ฉันมาทำงานที่นี่ 3 ปีแล้ว การที่ฉันจะส่งรายงานขอย้ายสถานที่ประจำการไปอยู่ถิ่นฐานเดินของตนเอง มันก็เป็นเรื่องง่ายไม่ใช่หรือ”
จางฉุ้ยเหลียนใจเต้นแรง นี่คือแผนที่กู้จื้อเฉิงวางเอาไว้อย่างนั้นหรือ ? ในที่สุดความคิดเก่า ๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในกระดูกของเขา มันก็เริ่มเปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นหรือ ? คนที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกับเขาถูกจำกัดด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์และสภาพแวดล้อมการเติบโต เมื่อเทียบกับคนในยุค 70 – 80 แล้ว ความคิดของพวกเขาไม่ได้มีความยืดหยุ่น ได้แต่ปล่อยให้เวลาผลักดันพวกเขาไปข้างหน้าก็เท่านั้น
หนุ่มสาวที่ได้รับผลกระทบจากชนทบ ต่อต้านทุกอย่างที่สามารถต่อต้านได้ ชอบใช้ชีวิตแบบมีส่วนร่วม ด้านหน้าที่การงานก็ชอบการองค์กรที่มีแบบแผนบังคับ บางครั้งถึงจะมีพวกที่คิดต่าง แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งกว่าอะไรดี จางฉุ้ยเหลียนเห็นกลุ่มคนที่อายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี ส่วนใหญ่พอพวกเขาอายุได้ 20 ปีแล้ว พวกเขาก็ยังไม่มีเป้าหมายเป็นของตัวเอง หรือว่าจะมีความเชื่ออะไรเลยสักอย่าง
เนื่องจากอิทธิพลสภาพแวดล้อมภายในบ้านและปัจจัยอื่น ๆ ทำให้คนรุ่นเดียวกับกู้จื้อเฉิงมีความคิดที่รุนแรง แต่เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวใหญ่อย่างจิ้นเหวิน ที่สภาพแวดล้อมภายในครอบครัวดี และเขาก็มีระดับการศึกษาที่ค่อนข้างสูง เขาได้เห็นอะไรมาเยอะและได้ฟังมามาก เพราะอย่างนั้นมุมมองของเขาก็เลยเปิดกว้าง จึงเป็นธรรมดาที่อนาคตของเขาจะสดใสมากกว่าคนอื่น
กู้จื้อเฉิงเป็นหนึ่งในคนที่มีรอยแตกร้าว เขาใช้ชีวิตอย่างคนเทียบบนไม่เท่า เทียบล่างมีเหลือ แม้ว่าเขาจะถูกเลี้ยงมาแบบผิด ๆ ตั้งแต่เด็ก แต่ก็โชคดีที่เขาเป็นคนดีจากแก่นแท้ เพราะในสายตาของเขา เขาไม่เคยคิดเลยว่าญาติพี่น้องทางฝั่งคุณย่าของเขาจะมีฐานะยากจน ถึงแม้ว่าคุกกี้ลูกพีชที่ญาติพี่น้องทางฝั่งคุณย่าของเขาจะได้กินแค่ในวันปีใหม่ มันจะเทียบกับบ้านคุณยายของเขาที่ได้กินคุกกี้ลูกพีชและนมอัลมอนด์เป็นประจำทุกเช้าไม่ได้เลยก็ตาม
(เทียบบนไม่เท่า เทียบล่างมีเหลือ หมายความว่า คนที่ไม่พยายามก้าวหน้า พอใจในสภาพของตัวเองขณะนี้)
เรื่องนี้จะขาดความพยายามของอันหลงไปไม่ได้เลย เพราะวิธีการ “ใช้จ่ายราวกับล้างผลาญบ้าน” และ “ชีวิตที่เสื่อมโทรมลง” ของหล่อน นั่นจึงทำให้กู้จื้อเฉิงกลายเป็นคนไม่ติดวัตถุนิยม
และลูกพี่ลูกน้องส่วนใหญ่ของกู้จื้อเฉิง ก็เป็นคนประเภทที่สามในยุคนั้น พวกเขามีวัยเด็กที่ยากลำบาก ตั้งแต่ปี 1965 -1976 ของช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในประเทศมากที่สุด พวกเขาต่างก็ยากจนและทุกข์ทรมาน และในตอนนี้ถ้าจะมีใครมาบอกว่า พวกเขาเป็นพวกบูชาเงิน ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงไปนัก เพราะพวกเขาต่างก็ขี้เหนียว ประหยัด และไม่ยอมใช้จ่ายเงินในเรื่องที่สิ้นเปลือง เพราะธรรมชาติความคิดของพวกเขาก็คือ พวกเขาจะต้องเก็บเงินทุกหยวนทุกเหมา ไม่มีงานก็ไม่มีชามข้าวเหล็ก หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือ เป็นคนไร้ประโยชน์ !
กู้จื้อเฉิงใช้ชีวิตอยู่บนรอยร้าวพวกนี้ ในกระดูกของเขามีความหัวรั้นอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นความใจร้อน เมื่อทั้งสองอย่างนี้มาถึงทางตัน สุดท้ายก็ไม่มีใครเอาชนะใครได้ ได้แต่ยอมปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม และหวังว่าสวรรค์จะชี้นำก็เท่านั้น
แต่เขาเป็นคนที่รักภรรยาจากใจจริง เพราะดูจากการที่เขาตามใจจางฉุ้ยเหลียนแล้ว นั่นก็ทำให้เห็นแล้วว่า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอม แต่เขาก็ไม่มีทางพูดอะไรออกมาอย่างแน่นอน ก่อนที่เขาจะแต่งงาน เขาก็ยกเงินทั้งหมดที่ตัวเองมีให้กับจางฉุ้ยเหลียน เขาไม่ได้สนใจเงินจำนวนนั้นเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังปล่อยให้เธอใช้จ่ายตามสบาย เพราะไม่ว่าอย่างไรตอนที่เขาอยู่ในกรมทหาร เขาก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรอยู่แล้ว และหลังจากที่แต่งงาน ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนนำเงินในครอบครัวไปใช้กับเรื่องอะไรก็ไม่รู้ที่เขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้าเป็นคนนอกมาเห็นก็ต้องร้อนใจอยู่แล้ว แต่เขากลับไม่แยแสมันเลยสักนิด เขามักจะยิ้มปลอบใจคนหัวร้อนพวกนั้นเสมอ อีกทั้งยังบอกอีกว่า ถ้าเงินไม่มีแล้วเขาก็ยังหามาใหม่ได้ ต่อมาจางฉุ้ยเหลียนก็ทำเงินกลับมาได้อย่างมากมายมหาศาล เพราะอย่างนั้นจึงเริ่มมีคนอิจฉา และยังบอกอีกว่าเขาเกาะผู้หญิงกิน เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงเริ่มคิดไตร่ตรองขึ้นมาอีกครั้งว่า เขาต้องเดินในเส้นทางแบบไหน ถึงจะตอบสนองความทะเยอทะยานของตัวเอง อีกทั้งยังสามารถช่วยภรรยาให้เธอทำในสิ่งที่เธอชอบได้
จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจความคิดของเขาอย่างถ่องแท้ เธอรู้ว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่ากู้จื้อเฉิงจะเลือกทำงานอะไร หรือเขาจะเดินในเส้นทางแบบไหน เธอก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เพราะในชาติที่แล้วก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นในชาตินี้ก็คงจะไม่ต่างกัน คนเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เขาเต็มใจที่จะพยายามเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ
คนในครอบครัวไม่มีใครคิดว่า จางฉุ้ยเหลียนจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ของกู้จื้อเฉิง เพราะแม้แต่กู้เต๋อไห่ก็ยังโมโห เขาวานให้เพื่อนที่มีเส้นสายช่วยย้ายกู้จื้อเฉิงให้กลับมาอยู่ที่นี่แล้ว อีกทั้งกู้จื้อเฉิงก็ยังได้ทำงานอยู่ใกล้แค่ประตูหน้าบ้านอีกต่างหาก เขายังได้ทำงานเป็นทหารอยู่ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นครูฝึก แต่เปลี่ยนมานั่งทำงานบนโต๊ะในสำนักงานแทน ฐานเงินเดือนก็สูง ชีวิตมั่นคง และยังได้อยู่ใกล้ ๆ พ่อแม่ ภรรยา และลูก
แล้วกู้จื้อเฉิงจะวิ่งไปไกลกว่าเดิมเพื่ออะไร ? กลับมาอยู่ที่นี่แล้วเปลี่ยนสายอาชีพใหม่แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา ? ถึงจะได้เป็นหัวหน้าหรือรองผู้อำนวยการ แล้วมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ ? หากเขาต้องไปทำงานในที่ที่มันไม่มีความก้าวหน้า ก็สู้กลับมาเป็นสามัญชนคนธรรมดาตัวเล็ก ๆ ไม่ดีกว่าหรือ เนื่องจากที่บ้านก็ไม่ได้ขาดเงิน แล้วจะลงทุนเยอะแยะขนาดนั้นเพื่ออะไร เขานี่มันทำอะไรเกินตัวและไม่รู้จักคิดจริง ๆ
จางฉุ้ยเหลียนพูดกับหูจิ่นเหมิงด้วยรอยยิ้มว่า “เธอเห็นไหม นี่คือความแตกต่างทางความคิดของคนต่างรุ่น คนหนุ่มสาวตัดสินว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจตัวเอง ส่วนพ่อแม่ก็คิดว่าคนหนุ่มสาวแปลกประหลาด ในเวลานี้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ทั้งนั้น เส้นทางคือสิ่งที่มนุษย์เลือกเดิน และก็มันไม่สามารถลอกเลียนแบบได้”
หูจิ่นเหมิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “พี่เขยเป็นผู้ชายที่ดี ไม่เหมือนกับคุณลุงของหนู ที่วัน ๆ เอาแต่ควบคุมหนู สิ่งไหนไม่ได้ดั่งใจก็สามารถลงไม้ลงมือได้ทันที”
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปอย่างขบขันว่า “นอกจากตอนที่เธอหนีออกจากบ้านครั้งนั้น จะมีครั้งไหนที่เขาลงไม้ลงมือกับเธออีกล่ะ ? เธอลองคิดดูสิว่าเธอก่อปัญหาอะไรเอาไว้บ้าง แล้วเธอก็ยังทำให้คุณลุงของเธอเลิกกับคนรักด้วยไม่ใช่หรือ ? แต่ถึงอย่างนั้นคุณลุงของเธอก็ไม่เห็นจะทำอะไรเธอเลย”
หลังจากหูจิ่นเหมิงลองคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ดูแล้ว หล่อนก็เห็นด้วยกับคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนจึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ใช่ค่ะ ถ้าลองมองจากดูมุมนี้ คุณลุงของหนูก็ถือว่าไม่เลว เขาดีกว่าคุณลุงฟู่ตั้งเยอะ ถ้าหนูจะหาคนรัก หนูจะไม่หาผู้ชายที่เหมือนกับคุณลุงฟู่เด็ดขาด”
หล่อนพูดประมาณว่า ฟู่ซินนั้นไม่ซื่อสัตย์กับภรรยาของตัวเอง เขาชอบออกไปเที่ยวเล่นเสเพลข้างนอก พอกลับบ้านมาก็ทำตัวเป็นเผด็จการ
“ผู้ชายจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ประเภทที่เลวร้ายที่สุดก็คือ พวกที่ไร้ความสามารถแล้วยังเจ้าอารมณ์ ตอนยังไม่ได้แต่งงานก็มักจะรังเกียจพวกผู้หญิงที่จริงจังเกินไปหรือชอบวัตถุนิยมมากเกินไป และด้วยความที่ผู้หญิงดี ๆ มักจะได้แต่งกับคนรวย ๆ เพราะอย่างนั้นผู้ชายประเภทนี้จึงสามารถเลือกได้แต่ผู้หญิงกลาง ๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น พอเห็นผู้หญิงที่มีฐานะร่ำรวยและรูปร่างหน้าตาดี ก็มักจะด่าลับหลัง บอกว่าถ้าพวกเธอไม่มีพ่อที่ร้ายกาจ ก็ต้องมีสามีที่ร้ายกาจ พอกลับมาถึงบ้านก็มักจะทะเลาะกับภรรยาเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และก็ไม่ยอมให้ญาติทางฝั่งภรรยามาเอาเปรียบตัวเองได้”
หูจิ่นเหมิงพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็ครุ่นคิด หล่อนพูดออกไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “พี่กำลังพูดถึงพ่อของหนูอยู่ใช่ไหมคะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมา จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “เธอคิดมากไปแล้ว ฉันก็พูดถึงผู้ชายทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ แต่พ่อของเธอก็แค่บังเอิญไปอยู่ในกลุ่มคนพวกนั้นด้วยก็เท่านั้นเอง แต่สายตาของแม่ของเธอก็ไม่ได้แย่นะ เพราะพ่อของเธอก็จัดอยู่ในกลุ่มผู้ชายชั้นรอง ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หูจิ่นเหมิงจึงหันมาจ้องที่จางฉุ้ยเหลียนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถาม “ผู้ชายชั้นรองคืออะไรหรือคะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนโบกมือไปมา จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “มีความสามารถแต่ก็เจ้าอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือว่าคุณลุงฟู่ของเธอ พวกเขาต่างก็จัดอยู่ในผู้ชายประเภทนี้ คนที่มีอาชีพหลากหลายนั้นก็ถือว่ามีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง แต่พอพวกเขากลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็จะปฏิบัติกับภรรยาของตัวเองอีกแบบหนึ่ง เอาความโมโหที่ได้รับมาจากข้างนอก นำมาทำตัวเป็นเผด็จการในบ้าน”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “คำพูดสวยหรูที่ทำไม่ได้ในตอนนั้น ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ควรไปขอลูกสาวของเขาแต่งงานตั้งแต่แรก จะมีลูกสาวบ้านไหนที่ไม่ได้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อแม่บ้างล่ะ แต่งกันแล้วถึงจะมีชีวิตสุขสบายอยู่กับอีกฝ่ายสั้น ๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องทนรับความทรมานจากอีกฝ่าย ! เธอลองคิดดูแล้วกันนะว่า พอฟู่ซินทำท่าทาง ‘ฉันเลี้ยงดูแก’ เขาก็เผยสีหน้าราวกับว่า ตัวเองเป็นผู้มีพระคุณออกมาทันที ผู้ชายประเภทนี้มักจะทำตัวเป็นใหญ่ที่บ้าน พอเห็นตัวเองเป็นเสาหลักของครอบครัว เขาก็ทำตัวหยิ่งยโส”
ไม่ว่าจะคิดยังไงหูจิ่นเหมิงก็คิดว่า จางฉุ้ยเหลียนกำลังด่าคุณลุงของหล่อนอยู่ เพราะคุณลุงของหล่อนอย่างมู่จิ่นหนานก็เป็นผู้ชายประเภทนี้จริง ๆ หากหล่อนทำให้เขาไม่พอใจ เขาก็มักจะหักค่าขนมของหล่อนจนกระเป๋าเบา คนเลว ยังไงก็เป็นคนเลว !
“แล้วผู้ชายชั้นยอดเป็นยังไงหรือคะ ? ” ดวงตาหูจิ่นเหมิงเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อถามคำถามนี้ หล่อนยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประสานกัน พร้อมกับเท้าคางอย่างอยากรู้อยากเห็น เพราะหล่อนไม่รู้ว่า ผู้ชายชั้นยอดในสายตาของจางฉุ้ยเหลียนนั้นเป็นอย่างไร
“ผู้ชายชั้นยอดก็คือผู้ชายที่ทั้งเก่งและไม่เจ้าอารมณ์” ทันใดนั้นเองจู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็ทำตัวเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นเธอก็ยกมือออกมาลูบหัวของหูจิ่นเหมิงด้วยรอยยิ้ม
“อย่างเช่นอะไรล่ะ ? ” หล่อนรอมาตั้งนานแล้ว แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที หูจิ่นเหมิงเลยเริ่มหัวร้อน ใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนแดงก่ำ เธอก้มหน้าลง จากนั้นก็พูดออกไปด้วยท่าทางราวกับสาวน้อยที่เขินอายว่า “ถ้าเธอได้เจอกับพี่เขยของเธอ เธอก็จะรู้เอง เขาเป็นผู้ชายที่เก่งและไม่ใส่อารมณ์กับภรรยา”
หูจิ่นเหมิงรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หล่อนมักจะรู้สึกว่า จางฉุ้ยเหลียนกำลังทำตัวเป็นหวางโปที่ชอบเข้าข้างตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
MANGA DISCUSSION