ตอนที่ 234 ไปบ้านแม่สามี
ถึงแม้ว่าภายนอกจางฉุ้ยเหลียนจะดูนิ่งสงบประดุจดั่งคลื่นสงัดลมสงบ แต่ภายในใจของเธอกลับเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าใจของเธอจะหลุดออกมาจากอกอย่างไรอย่างนั้น เธอยืนแกล้งทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ข้าง ๆ กู้จื้อเฉิง เพราะไม่อยากให้เขาต้องเสียหน้าต่อหน้าพ่อแม่ของตัวเอง
ทันทีที่อันหลงเปิดประตู หล่อนก็ถึงกับผงะเมื่อเจอกับจางฉุ้ยเหลียน แต่กู้เต๋อไห่กลับแสดงสีหน้านิ่งเฉย อันหลงจึงอดที่จะกระซิบกระซาบที่ข้างหูของสามีเบา ๆ ไม่ได้ว่า “เป็นไงล่ะ ลูกชายตัวดีของเรา ถูกลูกสะใภ้ล้างสมองซะแล้ว”
กู้เต๋อไห่เข้าใจได้ในทันทีเลยว่า ลูกชายกับลูกสะใภ้ของเขาต้องพูดคุยกันแล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าทันทีที่เขากลับมาได้ไม่นาน พวกเขาทั้งสองคนจะคุยกันเรียบร้อยแล้ว
เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นผู้เป็นพ่อที่ทำสีหน้าเคร่งขรึม เขาก็รู้ชัดเจนอยู่แก่ใจดี เขาไม่กล้าแม้แต่จะเล่น และไม่กล้าแม้แต่จะเข้าข้างอีกฝ่ายแต่อย่างใด หลังจากที่นั่งลงตรงหน้าโต๊ะน้ำชาแล้ว เขาก็หันไปมองจางฉุ้ยเหลียน ก่อนจะโพล่งถามออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้นว่า “พ่อครับ พ่อกับแม่เป็นยังไงบ้างครับ ? ”
“ไม่ต้องมาพล่ามเรื่องไม่มีประโยชน์หรอก ลูกพูดมาเลยดีกว่าว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง” อันหลงโบกมือไปมา ใบหน้าเป็นกังวล พยายามทำตัวเป็นแม่ที่เข้าใจลูกที่สุด หล่อนมองออกว่า จิตใจของทั้งสองคนก็แย่ไม่ต่างกัน ทั้งสองคนพยายามจุดไฟหลอกล่อหล่อนและสามี คิดว่าหล่อนโง่อย่างนั้นหรือ
“ลูกคุยกับจางฉุ้ยเหลียนตั้งแต่เมื่อไหร่” กู้เต๋อไห่กำลังจ้องมองลูกชายด้วยความโกรธ พร้อมกับกัดฟันกรอดและพูดออกไปว่า “ตั้งใจหลอกพ่อ ลูกคิดน้อยไปนะ”
จางฉุ้ยเหลียนกลัวว่ากู้จื้อเฉิงจะลำบากใจ จึงได้เดินมานั่งข้าง ๆ กู้จื้อเฉิง และพูดออกไปด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เราพูดกันหลายวันแล้วค่ะ หลังจากที่พ่อกับแม่โทรศัพท์ไปหาเขา เขาก็เกิดความกระวนกระวายใจตั้งแต่วันนั้น เขาคิดว่าพ่อคงจะไม่สบายใจ ก็เลยโทรมาหาหนู เพื่อให้หนูรีบมาคุยกับคุณพ่อ เพราะอย่างนั้นหนูก็เลยรีบนั่งรถมาด้วยความร้อนใจ จนกระทั่งลงจากรถและได้พบกับเสี่ยวชิว เสี่ยวชิวก็เลยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในบ้านให้หนูฟัง”
ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะพูดจบ กู้จื้อชิวก็รีบชิงพูดแทรกขึ้นมาก่อนว่า “หนูเป็นคนห้ามพี่สะใภ้ไม่ให้เข้ามาเองค่ะ”
อังหลงแสดงสีหน้าไม่พอใจขั้นสุด “ลูกรู้จักปกป้องเธอ แต่ทำไมลูกถึงไม่คิดให้ดี ๆ ก่อนว่า พ่อกับแม่จะโกรธลูกแค่ไหน เธอทำให้หน้าตาของตระกูลกู้ของเราเสื่อมเสีย ลูกยังจะช่วยเธอให้มาต่อต้านแม่อีกงั้นหรือ กู้จื้อชิว ลูกนี่มันจริง ๆ เลยนะ” หล่อนมองไปทางลูกทั้ง 2 คนที่ถูกลูกสะใภ้ของตัวเองปั่นหัวจนไม่ยอมเชื่อฟังพ่อแม่ “ต่อไปลูกอย่ามาเรียกแม่ว่าแม่อีก ไปอยู่กับหล่อนเลยไป”
เมื่อเห็นแม่ตัวเองหันหลังให้ด้วยความโกรธ กู้จื้อชิวก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “ทำไมแม่ยิ่งแก่ ยิ่งทำตัวเหมือนเด็กเข้าไปทุกทีแบบนี้ล่ะคะ หนูทำทุกอย่างก็เพื่อแม่ ในตอนนั้นพ่อกับแม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งฟังคำอธิบายหรือคะ แล้วอีกอย่าง พี่สะใภ้ก็โง่เขลา ไม่รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน และการที่พ่อกับแม่โทรศัพท์ไปตามตัวพี่ชายกลับมา ก็เพื่อที่จะให้พี่เขากลับมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นไม่ใช่หรือ ถ้าพ่อกับแม่เชื่อว่าพี่สะใภ้ไม่ดีจริง ๆ งั้นก็ไปรับตัวคังคังกลับมาเลยสิคะ”
กู้เต๋อไห่พยักหน้าเป็นการตอบรับ และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ลูกฉลาดมาก” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แต่ในสายตาเขาก็อดชื่นชมไม่ได้ ดูท่าทางลูกทั้ง 2 คนของเขาก็คงจะมองเจตนาของเขาออกเช่นกัน
กู้จื้อชิวครุ่นคิดสักพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกไปว่า “จะว่าไปแล้ว โชคดีที่พี่สะใภ้เชื่อคำพูดของหนู ก็เลยโทรศัพท์ไปหาพี่ชาย ซึ่งพี่ชายก็มีความคิดแบบเดียวกับหนู สองวันที่ผ่านมานี้พวกเราก็เลยไม่ให้พี่สะใภ้มาหาพ่อกับแม่ที่นี่ และเลือกที่จะไปสอบถามกับสองสามีภรรยาตระกูลฟู่ให้ชัดเจนก่อนว่า เรื่องมันเป็นมายังไง”
เมื่ออันหลงได้ยินประโยคที่ว่า “พี่สะใภ้เชื่อฟังคำพูดของหนู” กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็เกิดการกระตุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอกับฟู่ซินทำเรื่องแบบนั้นกันจริง ๆ หรือ”
ในช่วงเวลานี้พวกเขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เป็นคนผิด การให้กู้จื้อเฉิงมาพูดไกล่เกลี่ยย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุด ก่อนที่เขาจะกลับมาที่บ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็ได้โทรไปพูดคุยกับกู้จื้อเฉิงแล้ว ดังนั้นตอนที่เขากลับมาที่บ้าน ทั้งสองคนจึงไม่มีใครเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ต่อหน้าของเซี่ยจวิน และก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาที่บ้านตระกูลกู้ จางฉุ้ยเหลียนก็ยังโทรศัพท์ไปหาฟู่ซินอยู่เลย
ฟู่ซินรู้เรื่องที่เฉียนเหมยเซียไปก่อความวุ่นวายที่บ้านตระกูลกู้แล้ว เขารู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่มีเวลามากล่าวขอโทษจางฉุ้ยเหลียนด้วยตัวเอง หลังจากที่เขารับสายของกู้จื้อเฉิง เขาก็ได้รู้ว่าตอนนี้กู้จื้อเฉิงกลับมาที่เมือง Q เพื่อมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจให้กับตัวเขาและจางฉุ้ยเหลียน
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงได้บอกเล่าถึงต้นสายปลายเหตุให้กับพ่อกับแม่ฟังแล้ว กู้เต๋อไห่ก็อดที่จะขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่พอใจไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนอันหลงยังคงมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ลูกถอนตัวออกมาจากเป็นหุ้นส่วนร้านนั้นเถอะ เพราะถึงอย่างไรต่อไปธุรกิจในครอบครัวของลูก ก็ต้องตกมาเป็นหน้าที่ของลูกในอนาคต แม่ของลูกก็ยุ่งอยู่แต่กับร้านหนังสือ ตอนนี้หล่อนก็อายุมากแล้ว คงไม่มีกระจิตกระใจจะมาวุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ได้ทุกวี่ทุกวันหรอก ลูกมารับช่วงต่อร้านหนังสือของหล่อนก็น่าจะพอแล้วนะ” กู้เต๋อไห่โพล่งวิธีการแก้ไขปัญหาออกมา “ลูกก็กลับมาอยู่ที่บ้านนานแล้ว ไว้พ่อจะไปสอบถามเพื่อนทหารเก่าของพ่อดูว่า พอมีโรงเรียนไหนให้ลูกไปทำงานได้บ้าง ไปทำงานเป็นครูก่อนก็ได้ เรื่องธุรกิจค้าขายพวกนั้นไม่ใช่เรื่องของครอบครัวเราหรอก”
เมื่อได้ยินสามีของตัวเองพูดแบบนั้น อันหลงก็ยืนขึ้นและโต้แย้งกลับไปทันทีว่า “อะไรกัน ทำไมคุณถึงได้พูดแบบนี้ล่ะ นั่นเป็นธุรกิจที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและเลือดของจางฉุ้ยเหลียนเลยนะ ทุกซอกทุกมุมภายในร้านแห่งนั้น เธอก็เป็นคนลงแรงด้วยตัวเอง และการที่เธอสร้างเงินเป็นกอบเป็นกำได้มากขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะสมองและไอเดียของเธอไม่ใช่หรือ ฟู่ซินเองก็ไม่ได้เป็นคนไร้ความสามารถ ถึงเขาจะเรียนไม่จบมัธยมต้น แต่เขาก็มีมันสมองมากพอ เขาปั่นหุ้นจนมีเงินทุนเหล่านี้ได้ แล้วเรามีสิทธิ์อะไรไปสั่งปิดกิจการพวกเขาล่ะ”
กู้เต๋อไห่หันไปจ้องเขม็งที่ภรรยาของตัวเองทันที “คุณเองก็เหมือนกัน เห็นเงินทีไรตาลุกวาวทุกที เธอจบวิทยาลัยครูมานะ เพราะฉะนั้นเธอก็ควรจะไปเป็นครูและให้ความรู้แก่นักเรียนสิ นี่เป็นหน้าที่ของเธอ แล้วการที่คุณจะให้เธอไปขายของ คุณกำลังจะถ่วงความเจริญของเธออยู่นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อันหลงจึงเบิกตากว้างขึ้นมาทันที “แล้วอะไรคือหน้าที่และอะไรไม่ใช่หน้าที่กันล่ะ แต่ตอนนี้คุณกลับเอาเรื่องหน้าที่มาอ้าง ตอนที่เธอแต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ คุณก็ไม่ยักจะพูดถึงเรื่องหน้าที่เลยนี่ อ้อ ! คงเพราะเรื่องคบชู้มันเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับคุณสินะ ไม่มีใครเขาชมเชยเพราะเรื่องแบบนี้ คุณก็เลยหยิบยกเรื่องหน้าที่เหล่านั้นขึ้นมาอ้าง แล้วทำไมคุณถึงไม่พูดก่อนหน้านี้ล่ะว่า ตอนที่เธอไปอยู่ที่เมืองสุ่ยหยวนตั้งหลายปีนั่น ทำไมถึงไม่ไปทำงานเป็นครู”
เมื่อกู้จื้อชิวเห็นพ่อกับแม่กำลังทะเลาะกันโดยไม่ได้สนใจเนื้อหาที่จะมาพูดคุยกันในวันนี้ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสองคนก็เชื่อในคำพูดของพี่ชายของหล่อนเกือบจะทั้งหมดแล้ว เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงได้รีบรุดหน้าเข้าไปยืนอยู่ข้างกายของอันหลง และพัดโหมไฟให้ลุกโชนขึ้นไปอีก “แม่คะ แม่อย่ามาพูดกับพ่อแบบนี้นะ พ่อแค่รู้สึกว่าพี่สะใภ้เรียนจบถึงระดับวิทยาลัย การที่เธอจะไปทำธุรกิจค้าขายแบบนั้น เธอก็อาจจะไม่ถนัดและทำให้ขายหน้าด้วย”
ประโยคสุดท้ายของกู้จื้อชิวได้จุดประกายไฟโกรธในใจของอันหลงให้ลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หล่อนถึงกับต้องแผดเสียงตะโกนถามออกไปว่า “ขายหน้ายังไง ทำธุรกิจมันน่าขายหน้าตรงไหนไม่ทราบ ถ้าไม่ใช่เพราะเราสองคนหันมาทำธุรกิจ พวกเธอสองคนพ่อลูกจะได้กินอิ่มหนำสำราญกันแบบนี้หรือ”
ดวงตาของอันหลงแดงก่ำด้วยความโกรธพร้อมกับยื่นมือออกไปทุบโต๊ะจนเกิดเสียงดัง ‘ปัง’ “คุณลองหันไปมองดูรอบ ๆ หมู่บ้านแห่งนี้สิว่า มีบ้านไหนที่มีฐานะดีกว่าบ้านเราบ้าง และใช่ นี่เป็นบ้านของคุณ แต่อาหารที่กินและเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ใช่เป็นเพราะเงินที่หาได้จากการทำธุรกิจค้าขายหรอกหรือ แล้วก็โทรศัพท์นั่นอีก ในยุคสมัยนี้การที่จะติดตั้งโทรศัพท์บ้านได้ก็ต้องมีเงินมากกว่า 3,000 หยวน บ้านเราต้องใช้เวลาตั้งกี่ปีกว่าจะสามารถติดตั้งมันได้ อีกทั้งเราก็ยังเป็นบ้านหลังเดียวที่มีโทรศัพท์บ้านด้วย หลายปีที่ผ่านมานี้เพื่อนทหารของคุณก็แต่งตั้งฉันให้กลายเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ไปแล้ว”
เมื่อกู้เต๋อไห่ได้ยินภรรยาพูดเรื่องเก่า ๆ เขาก็อดที่จะสวนกลับไปไม่ได้ว่า “มีโทรศัพท์แล้วมันยังไง มีโทรศัพท์บ้านแล้วคุณจะเก็บเงินคนอื่นอย่างนั้นหรือ ผมว่าคุณก็มีเกือบจะทุกอย่างแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยากรวยมากขนาดนั้นก็ได้นี่ คุณคิดว่ายังไงล่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำเสียงของอันหลงก็สูงปรี๊ดมากขึ้นไปอีก “ฉันจะไปมีสิทธิ์เก็บเงินคนอื่นได้ยังไงล่ะ ไปรษณีย์ข้างนอกก็มีตู้โทรศัพท์เหมือนกัน เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว แล้วพวกเขาจะวิ่งแจ้นมาขอใช้โทรศัพท์ที่บ้านของฉันทำไมล่ะ คุณไม่ได้อยากรวย แล้วทำไมฉันจะต้องไปสิ้นเปลืองกับคนที่น่ารังเกียจเหล่านั้นด้วย ถ้าคุณมาเป็นฉันที่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทุกวัน คุณก็คงจะเหนื่อยไม่ต่างกันนั่นแหละ”
เมื่อว่ากล่าวคนแก่จบ หล่อนก็เริ่มอบรมสั่งสอนเด็ก ๆ ต่อว่า “ลูกก็ด้วย” อันหลงเบิกตากว้างไปทางกู้จื้อเฉิง “ลูกพูดมาสิว่าตอนที่ลูกอยู่ที่สุ่ยหยวน มีบ้านไหนที่สะดวกสบายมากกว่าบ้านของลูกบ้าง บ้านของลูกมีเครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัดอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือแม้แต่เตาอบขนม มีคู่สามีภรรยาไหนบ้างที่สมบูรณ์พร้อมเหมือนกับพวกลูกบ้าง ถ้าลูกเป็นพ่อลูกจะได้เบี้ยเลี้ยงเท่าไหร่ พอที่จะจ่ายเป็นค่าของขวัญได้รึเปล่า”
กู้จื้อเฉิงรีบพยักหน้ารับในทันที จากนั้นก็พูดสนับสนุนแม่ของเขาออกไปว่า “แม่พูดถูกต้องแล้วครับ ลูกชายอย่างผมมันไม่ได้เรื่อง ทำให้แม่ต้องกลัดกลุ้มใจ”
อันหลงโบกมือไปมาด้วยความโกรธ “แม่ไม่ได้โกรธลูกเพราะเรื่องนี้หรอก ใครหาเงินได้เท่าไหร่ไม่มีใครรู้ตัวเลขแน่ชัด แม่ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อของลูกมาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว แม่เคยเมินเฉยต่อความจนของครอบครัวของพ่ออย่างนั้นหรือ ตอนที่พ่อของลูกช่วยเรื่องเงินและสิ่งของมากมายกับคนในบ้านคุณย่าของลูก แม่เคยเอาเรื่องนี้มาพูดบ้างไหม คนเหล่านั้นต่างก็รู้ดีว่า ของทุกอย่างมันเป็นของแม่ พวกเขามาหยิบกินของแม่ มาใช้ของของแม่ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมาด่าแม่อีก พ่อของลูกเข้าใจแม่เป็นอย่างดี และถึงแม้ว่าภูมิหลังของแม่จะทำให้เขาดูตกต่ำลง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังรักแม่ เพราะอย่างนั้นแล้วสามีภรรยากันก็ต้องเข้าอกเข้าใจกัน แค่ทั้งสองคนมีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน ใครบ้างล่ะจะมานั่งคิดเล็กคิดน้อยกันแบบนี้ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับแม่สามีคนนี้ของเธอจริง ๆ ปรบมือให้กับการตบหัวและลูบหลังที่เก่งกาจของหล่อน วิธีการอบรมสั่งสอนสามีของหล่อนก่อนหน้านี้ มันช่างแตกต่างกับตอนนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะหล่อนถือโอกาสตอนที่หล่อนอบรมสั่งสอนลูกชายมาใช้บอกเล่าเรื่องราวของหล่อน ด้วยความที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันทุกวัน เพราะอย่างนั้นพวกเขาย่อมมีความรู้สึกแข่งขันกันว่า ใครหาเงินได้มากกว่าและใครหาเงินได้น้อยกว่าอยู่แล้ว
คำพูดที่อันหลงพูดออกมา ต่างก็เป็นคำพูดที่สมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่องใด ๆ เมื่อก่อนจางฉุ้ยเหลียนก็ฟังคำพูดเหล่านี้ไม่เข้าใจหรอก จนอันหลงต้องชี้หน้าด่า เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้เข้าใจและสามารถพูดออกมาได้ว่า เรื่องราวมันเป็นมายังไง ซึ่งมันก็ทำให้เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าเธอนั้นโง่เพียงใด
ในขณะที่ตระกูลกู้กำลังร้อนใจกันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทุกคนหันหน้าไปมองที่นาฬิกาตั้งโต๊ะเป็นตาเดียว กู้เต๋อไห่และอันหลงจึงอดที่จะขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้ ตอนนี้มันก็เป็นเวลา 21.00 น. แล้ว ยังจะมีแขกคนไหนมาที่บ้านของพวกเขาในเวลานี้อีก
หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาก่อกวนอีกแล้ว
เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นสีหน้าตกใจของพ่อกับแม่ เขาก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที แต่ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน เขาก็พอจะเดาออกว่า ครั้งที่แล้วเฉียนเหมยเซียมาก่อเรื่องอะไรไว้ที่บ้านของเขามากขนาดไหน ถึงขนาดทำให้สองผู้เฒ่าคู่นี้เกิดอาการตกใจเช่นนี้ได้
“น่าจะเป็นฟู่ซินนะครับ เพราะเมื่อกี้ผมเพิ่งจะโทรศัพท์ไปตามตัวเขามา เสี่ยวชิว ไปเปิดประตูหน่อยไป” กู้จื้อเฉิงพูดปลอบใจแม่ของตัวเอง จากนั้นก็ออกคำสั่งให้น้องสาวไปเปิดประตู
เมื่อได้ยินคำสั่งของพี่ชาย กู้จื้อชิวจึงต้องยืนขึ้นอย่างจำใจ จากก็เดินไปเปิดประตู หลังจากที่เปิดแล้ว หล่อนก็มองหลอดช่องประตูที่เปิดแง้มออกไป จนได้เห็นฟู่ซินที่กำลังหอบของพะรุงพะรัง
หล่อนกระแทกปิดประตูอย่างแรงด้วยความโกรธ จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นายยังมีหน้ามาหาพวกเราที่นี่อีกหรือ ไอ้หยา หอบของพะรุงพะรังมาขอโทษอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมแม่ตัวการคนนั้นถึงไม่มาด้วยล่ะ เถ้าแก่ฟู่แสดงความบริสุทธิ์ใจเกินไปรึเปล่าคะ ? ”
ฟู่ซินยิ้มออกมาอย่างลำบากใจ “น้องสาว เธออย่าพูดเสียดสีฉันแบบนั้นสิ แค่นี้สีหน้าของฉันยังกลุ้มใจไม่พออีกหรือ รีบให้ฉันเข้าไปข้างในเถอะ ฉันจะได้ไปขอโทษผู้อาวุโสทั้งสองท่าน”
กู้จื้อชิวถลึงตาใส่ จากนั้นก็เปิดประตู และเบี่ยงตัวหลบเปิดทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามา ฟู่ซินเดินเข้ามาในบ้าน จนกระทั่งเห็นคนทั้งตระกูลกู้กำลังจ้องเขม็งมาทางเขาอยู่
เขารีบวางสิ่งของที่หอบพะรุงพะรังมาเต็มมือทั้งสองข้างลง จากนั้นก็แสดงความเคารพ และพูดออกไปว่า “คุณลุง คุณป้าครับ ภรรยาของผมไม่รู้ความ ผมเพิ่งจะรู้วันนี้ว่า หล่อนมาโวยวายกับพวกคุณที่นี่ ยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ ขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ”
กู้จื้อชิวปิดประตูและเดินเข้ามาเตะถุงใส่ของที่วางอยู่บนพื้น ก่อนจะด่าทอออกไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “บ้านนายเวลาเดินเข้าบ้านคนอื่นเขาไม่ต้องถอดรองเท้าหรือ ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่ซินจึงรีบถอดรองเท้าของตัวเองออกทันที แต่เขาก็ยังไม่กล้าที่เดินไปข้างหน้า เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นเช่นนั้น เขาจึงได้เดินมาลากตัวของอีกฝ่ายมานั่งบนโซฟา จากนั้นก็คลี่ยิ้มและพูดออกไปว่า “ฉันช่วยชี้แจงให้พ่อกับแม่ของฉันฟังแล้ว พวกเขารู้แล้วว่านายกับจางฉุ้ยเหลียนบริสุทธิ์ใจต่อกัน”
ฟู่ซินรู้สึกใจเต้นตึกตักเหมือนกับมีใครมาตีกลองในใจของเขาอย่างไรอย่างนั้น และพูดพึมพำในใจเงียบ ๆ ว่า : เป็นไปไม่ได้ จะมีพ่อแม่สามีบ้านไหนที่พูดจาดีแบบนี้บ้างล่ะ ถ้าจางฉุ้ยเหลียนไม่พูดก็คงจะถูกถลกหนังออกมาแล้ว ของแบบนี้มันต้องฉะกันสักฉาดสิถึงจะถูก
นี่คือสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นหรอก เพราะถ้าเป็นแม่ของเขาที่เห็นว่า ลูกชายของตัวเองเชื่อใจภรรยาของตัวเองอย่างบริสุทธิ์ใจขนาดนี้ เขาก็คงจะเตรียมตัวหูชาได้เลย
และการที่พ่อแม่ของกู้จื้อเฉิงยังใจเย็นอยู่แบบนี้ เป็นเพราะว่าครอบครัวของเขานั้นใช้เหตุผลและยึดมั่นในประเพณีมากเกินไป หรือว่าใช้ชีวิตล้าหลังเชื่องช้าเหมือนกับเต่าล้านปีมากเกินไปกันแน่นะ
MANGA DISCUSSION