ตอนที่ 228 รายการสินค้า
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้อันตรายอย่างบอกไม่ถูก นอกจากรังสีเหี้ยมโหดอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างกายแล้ว ก็ยังมีความดุร้ายที่ไม่อาจมองข้ามได้แผ่ขยายออกมาอีกด้วย เพราะอย่างนั้นการที่เธอรู้ว่า เขาเป็นคนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ถ้าเธอดูไม่ออกก็คงจะตาบอดแล้วล่ะ
มู่จิ้นหนานเป็นคนที่ไม่มีมารยาทมากจริง ๆ เพราะเขาทั้งอวดดีและดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นอย่างไม่ปิดบัง
ใช่แล้วล่ะ แววตาดูถูกเหยียดหยามที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขา แม้แต่พนักงานต้อนรับหน้าเคาน์เตอร์ภายร้านอาหารแห่งนี้ก็ยังสัมผัสรับรู้ถึงมันได้ ความรู้สึกที่หยิ่งในศักดิ์ศรีนั้นทำให้คนอื่นรู้สึกรังเกียจและไม่พอใจเป็นอย่างมาก
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วแน่น จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ฉันไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไรกันแน่ แต่การที่ฉันยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือหูจิ่นเหมิง มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้หนักหนาอะไร และมันก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันด้วย ถ้าคุณคิดว่าฉันคิดไม่ดีกับหล่อน ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงต้องขอโทษคุณด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณคิดมากเกินไป แล้วอีกอย่าง ฉันก็แค่อยากจะใช้ชีวิตแบบคนปกติก็เท่านั้น ส่วนเรื่องการเขียนนิยายและเรื่องการทำธุรกิจพวกนั้น ก็เป็นเพียงแค่วิธีการที่จะทำให้ชีวิตของฉันร่ำรวย”
ถึงแม้ว่าเขาและเธอจะแสดงความขัดแย้งออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ร้านอาหารกลับดูเหมือนว่า ไม่มีใครให้ความสนใจและมองมาทางนี้แต่อย่างใด จางฉุ้ยเหลียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ด้วยความที่คุณเป็นเถ้าแก่ใหญ่ คุณก็น่าจะให้การสนับสนุนพวกเราได้ และในเมื่อคุณตามสืบเรื่องของฉันอย่างละเอียดแบบนี้แล้ว คุณก็น่าจะรู้จุดประสงค์ของฉันนะคะ ฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วคนหนึ่ง แถมยังแต่งงานกับนายทหารอีกต่างหาก ซึ่งตัวฉันเองก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรมากมายนัก”
และจางฉุ้ยเหลียนก็พอจะเดาได้ว่า คนที่มาขอความช่วยเหลือจากผู้ชายคนนี้คงจะมีไม่น้อยเลยทีเดียว ตอนนี้เขาก็บุกมาหาเธอถึงที่แล้ว เพราะอย่างนั้นมันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เธอจะต้องรู้สึกไม่พอใจ และการสงบศึกมันก็ย่อมดีกว่าการสร้างศัตรูเพิ่มอยู่แล้ว
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็คงจะพูดแบบนั้นไม่ได้ เพราะวันข้างหน้าใครจะไปรู้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไม่แน่ว่าในอนาคตฉันอาจจะมีเรื่องที่ยากจะจัดการ จนต้องขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่มู่ก็ได้ พอถึงตอนนั้นฉันหวังว่าเถ้าแก่มู่จะยื่นมือออกมาช่วยฉันอย่างเต็มใจ เพื่อให้ฉันสามารถรอดพ้นจากวิกฤตอันเลวร้ายเหล่านั้นไปได้นะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่จิ้นหนานก็พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “พูดจาฟังดูดีน่าเชื่อถือ ถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นใครก็อย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกันนะครับ”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมา : “ทันทีที่เห็นเถ้าแก่มู่ ฉันก็รู้ได้ในทันทีเลยล่ะค่ะว่า คุณต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นคุณก็สามารถหาหนทางในการหาเงินกับฉันได้อยู่แล้ว และการที่ฉันต้องการเงิน ฉันก็ย่อมต้องการโอกาสในการหาเงิน และวันนี้ที่ฉันได้พบกับคนที่มั่งคั่งอย่างเถ้าแก่ เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณหรอกหรือคะ”
เธอตั้งใจพูดให้ตัวเองนั้นกลายเป็นผู้หญิงที่มีความคิดเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการ เพื่อให้มู่จิ้นหนานรู้สึกว่า ตัวเธอนั้นมีความคิดที่จะเข้ามาเกาะบารมีของเขา ให้คนที่อวดดีถือตัวคนนี้ยอมรับในตัวเธอ ซึ่งมันก็ดีกว่าการที่เขาพูดพล่ามไร้ประโยชน์เป็นไหน ๆ
มู่จิ้นหนานครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขารู้สึกว่าสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูดมานั้น มันฟังดูสมเหตุสมผลมากเลยทีเดียว เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และพูดกำชับเธอออกไปอีกครั้งว่า “นามบัตรที่ผมให้คุณ คุณเก็บเอาไว้ดี ๆ แค่คุณโทรมาหาผมเบอร์นี้ คุณก็จะติดต่อกับผมได้โดยตรง”
จางฉุ้ยเหลียนเดินออกมาจากร้านอาหารพร้อมกับหิ้วถุงพะรุงพะรัง เธอเดินออกไปตามท้องถนน โดยที่เธอเองก็ไม่ได้สนใจเลยว่า ตัวเองกำลังเดินไปยังทิศทางไหน เธอเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย จากนั้นเธอก็พบกับป้ายริมถนนที่เขียนเอาไว้ว่า ถนนสายที่ 9 จางฉุ้ยเหลียนถึงกับผงะไปในทันที เพราะที่นี่มันที่ไหนกันล่ะเนี่ย
ถึงแม้ว่าเธอจะมาที่เมืองหลวงแห่งนี้หลายครั้งแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเธอจะรู้ทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้ เพราะอย่างนั้นเธอจึงเดินหาสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เธอสามารถหารถแท็กซี่กลับไปที่โรงแรมได้
“คุณลุงคะ โบสถ์โซเฟียอยู่ตรงไหนหรือคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนจำได้ลาง ๆ ว่า ถนนจางหยางนั้นอยู่ไม่ไกลจากโบถส์โซเฟียเท่าไหร่นัก
คุณลุงมองมาทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยความสงสัย จากนั้นก็ยกแขนขึ้น และชี้นิ้วออกไป “เธอก็แค่เดินตรงไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว เมื่อถึงถนนใหญ่เธอก็แค่เงยหน้าขึ้น แล้วเธอก็จะเจอกับโบสถ์”
เมื่อได้ยินคำตอบ จางฉุ้ยเหลียนก็หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน จากนั้นก็รีบกล่าวขอบคุณคุณลุงคนนั้น ซึ่งเธอก็ดูออกว่าคุณลุงคนนี้จะต้องแปลกใจกับคำถามของเธออย่างแน่นอน และเขาก็อาจจะคิดว่า ใกล้แค่นี้ทำไมหาไม่เจอ โง่จริง ๆ
หลังจากที่เดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าว เธอก็เจอกับถนนใหญ่จริง ๆ หลังจากที่เงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นโคมไฟที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปตามถนน ซึ่งห่างจากที่ที่จางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่แค่ถนนสายเดียวเท่านั้น สิ่งปลูกสร้างก็สูงเด่นเป็นสง่า มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากแวะเวียนเข้ามาชื่นชมอย่างไม่ขาดสาย บางคนก็เดินเล่นอยู่บนลานกว้าง บางคนก็กระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน บางคนก็เล่นอยู่บนลานสเก็ต และบางคนก็ยืนให้อาหารนกพิราบ นอกจากนี้ก็ยังมีบางคนที่พากันมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกใต้แสงไฟที่เรียงรายอยู่ริมทาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหน้าประตูโบสถ์แต่อย่างใด เพราะตอนนี้ศาสนิกชนที่พร้อมใจกันมา ณ ที่แห่งนี้ ต่างก็ตั้งใจมาถ่ายรูป มาด้วยความอยากรู้ และก็มาด้วยความศรัทธาที่ตั้งใจจะมาสักการะบูชา
จางฉุ้ยเหลียนเรียกรถแท็กซี่ได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่บอกที่อยู่แล้ว เธอก็ตรงกลับไปที่โรงแรมที่เธอพักอยู่ทันที เมื่อถึงห้องเธอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมกับความรู้สึกอยากจะร้องไห้ เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นเหมือนคนป่วยทางจิตเข้าไปทุกที ๆ อย่างไรอย่างนั้น
เธอรู้สึกว่ามู่จิ้นหนานอาจจะป่วยเป็นโรคไร้ยางอายก็ได้ เพราะภูมิหลังของเขานั้นค่อนข้างดี ทุกคนจึงได้แต่ยกหางเขา ผู้คนต่างก็ยกย่องเขาว่าเป็นผู้กอบกู้โลก แต่เธอกลับไม่เข้าใจผู้ชายที่ไม่รู้จักประมาณตนประเภทนี้เลยสักนิด สิ่งที่ผู้ชายคนนั้นแสดงออกมาก็คือ “รีบกราบฉันสิ รีบสรรเสริญฉันสิ ทุกคนต่างก็พากันอิจฉาฉันไม่ใช่รึไง”
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนกลับมาถึงเมือง Q เธอก็ไม่กล้าเล่าเรื่องที่เธอได้ไปเจอมาให้กับคนในบ้านฟังแต่อย่างใด ถ้าเธอเล่าให้ตงลี่หวาฟังว่า ตัวเองนั้นได้ไปรู้จักกับคนที่มีความคิดที่ไม่ดีคนหนึ่ง มีหวังเจ้าตัวคงได้เป็นห่วงเธอจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่
ไม่กี่วันหลังจากนั้น หูจิ่นเหมิงก็ได้โทรศัพท์มาหาจางฉุ้ยเหลียน และตั้งใจบอกกับเธอว่า “หนูหาธุรกิจขนาดใหญ่ให้พี่สาวได้แล้ว ที่นี่มีหมู่บ้านระดับไฮเอนด์กำลังตกแต่งภายในกันอยู่ ตราบใดที่พี่สามารถลดราคาตู้เย็นได้สัก 10 เครื่อง ก็ต้องมีคนซื้อมันอย่างแน่นอนค่ะ และที่นี่ก็ยังมีประตูขนาดใหญ่อีกด้วย พี่ต้องรีบมานะ ทางที่ดีพี่ควรเอาตู้เย็นมาไว้ที่นี่สัก 2 เครื่อง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นด้วยนะคะ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนเลยว่า จะมีเค้กก้อนโตร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าแบบนี้ เธอคิดเพียงแค่ว่า หูจิ่นเหมิงก็แค่อยากจะช่วยเธอก็เท่านั้น เพราะอย่างนั้นเธอจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เธอไปปรึกษาหารือกับฟู่ซิน ไม่นานทั้งสองคนก็พากันเดินทางไปที่เมืองหลวงทันที
และเมื่อทั้งสองคนเดินทางมาถึงเมืองหลวง และได้เดินทางมาที่หมู่บ้านหูจิ่นเหมิงได้บอกกับพวกเขาเอาไว้ ทุกอย่างก็เหมือนอย่างที่หล่อนพูด แต่แค่ไม่ได้มหัศจรรย์เหมือนอย่างที่หล่อนพูดเอาไว้ก็เท่านั้น
คุณยายของหูจิ่นเหมิงได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ และบ้านหลังใหม่ของหล่อนก็อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้นี่เอง เพราะอย่างนั้นตอนที่คนที่เข้ามาพักอาศัยอยู่ที่นี่เริ่มตกแต่งภายในกัน พวกเขาก็มักจะปรึกษาหารือกับเพื่อนบ้านของตัวเองตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปแบบบ้าน หรือค่าใช้จ่ายของอิฐและกระเบื้องปูพื้น
หูจิ่นเหมิงจึงได้ถือโอกาสบอกกับเพื่อนบ้านของหล่อนออกไปว่า หล่อนนั้นมีญาติคนหนึ่งขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเธอก็ขายในราคาที่ค่อนข้างถูกมาก และผู้คนต่างพากันเชื่อในคำพูดของสาวน้อย และด้วยความที่คุณยายของหูจิ่นเหมิงยกให้จางฉุ้ยเหลียนเป็นผู้มีพระคุณ เพราะเธอได้ช่วยหลานสาวของหล่อนเอาไว้ หล่อนจึงยอมช่วยจางฉุ้ยเหลียนโฆษณาร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเธอ เมื่อโฆษณานั้นแพร่สะพัดออกไป ก็มีหลายคนที่รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่ตนเองนั้นจะได้ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูก จากนั้นผู้คนต่างก็พากันป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปกันปากต่อปาก
ในตอนที่จางฉุ้ยเหลียนและฟู่ซินไปถึงที่นั่น ก็ดูเหมือนว่าคุณยายของหูจิ่นเหมิงจะรู้สึกดีใจไม่น้อย ฟู่ซินได้ขึ้นไปยกตู้เย็นลงมาจากรถ จากนั้นเขาก็เข็นเข้าไปวางในบ้านของคุณยายของเด็กสาว ส่วนเรื่องราคาก็อย่างที่ประกาศออกไป เนื่องจากคุณยายไม่รู้ว่าจะตอบแทนจางฉุ้ยเหลียนยังไง หล่อนจึงยกบ้านของตัวเองให้เป็นสถานที่จัดแสดงสินค้าของจางฉุ้ยเหลียน เพื่อให้เพื่อบ้านสามารถเข้ามาดูสินค้าได้
และราคาที่จางฉุ้ยเหลียนและฟู่ซินเสนอออกมานั้น มันก็ถูกกว่าร้านค้าตามท้องตลาดมากเลยทีเดียว อีกทั้งในยุคสมัยนี้ก็ไม่มีใครพูดโกหก คดโกง หรือว่าโจมตีอะไรโรงงานใหญ่ ๆ แต่อย่างใด
และด้วยความที่จางฉุ้ยเหลียนอยู่ที่นี่มา 10 กว่าวัน แทบทั้งเมืองตอนนี้ต่างก็ออเดอร์สั่งจองตู้เย็น โทรทัศน์ และเครื่องซักผ้ากับจางฉุ้ยเหลียนกันอย่างไม่ขาดสาย และรายการสั่งจองที่มากมายมหาศาลนั้น มันก็ได้สร้างความตกใจให้กับฝ่ายขายของโรงงานไม่น้อยเลยทีเดียว
ทางโรงงานจึงตั้งใจส่งพนักงานมาโดยเฉพาะ แถมพวกเขายังต้องพึ่งพาพนักงานจากร้านตัวแทนของท้องที่มาดูแลงานกันแบบใกล้ชิดอีกด้วย
เจ้าของร้านค้าตัวแทนจำหน่ายในเมืองนี้อย่างซุนหงเหวยก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนไม่น้อย เพราะเขาเปิดร้านที่นี่มายาวนานมากกว่า 3 ปี ยอดขายที่ถล่มทลายเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 3 ปีนั้น ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงร้านของเขาได้ เพราะเขาเปิดร้านตลอด 24 ชั่วโมง และในหมู่บ้านระดับไฮเอนด์แห่งนี้ ใน 1 อาคารจะมีผู้พักอาศัยอยู่มากกวถึง 96 ครัวเรือนเลยทีเดียว และด้วยความที่หมู่บ้านแห่งนี้มีทั้งหมด 12 อาคาร เพราะอย่างนั้นจึงมีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ทั้งหมด 1,152 ครัวเรือน แค่ยอดสั่งจองตู้เย็นก็ปาเข้าไป 900 กว่าเครื่องแล้ว แล้วไหนจะโทรทัศน์อีกเกือบ 1,000 เครื่อง เครื่องซักผ้าอีก 500 กว่าเครื่อง
จางฉุ้ยเหลียนมียอดสั่งจองสินค้าภายในหมู่บ้านแห่งนี้กว่า 7 ล้านหยวน ด้วยจำนวนเงินที่มากมายขนาดนี้ มันจะไม่สร้างความตกใจให้กับโรงงานได้อย่างไร นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมโรงงานถึงต้องระดมพนักงานจากทั่วทุกสารทิศมาไว้ที่นี่ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมถึงได้ทำให้ร้านค้าในท้องถิ่นต่างพากันอิจฉาตาร้อน
และเรื่องที่ทำให้คนอื่นรู้สึกเกลียดชังมากที่สุดก็คือ พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพียงแค่คนต่างถิ่นที่มาทำการค้าขายที่นี่ แต่สุดท้ายบริการหลังการขายก็ยังเป็นหน้าที่ของร้านในเมืองนี้อยู่ดี ซุนหงเหวยจึงอยากจะได้ส่วนแบ่งการขายนี้ด้วยเช่นกัน แต่ฟู่ซินและจางฉุ้ยเหลียนก็ยังยืนกรานที่จะทำต่อไป และทางโรงงานเองก็ไม่มีทางยอมทำลายยอดสั่งจองสินค้าที่มากมายมหาศาลนี้ เพียงเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะสำหรับโรงงานแล้ว ขอแค่ของขายได้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนใครจะเอาไปทำอะไรนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
ฟู่ซินและจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ตั้งใจจะมาก่อกวนแต่อย่างใด แต่เนื่องจากผู้คนต่างก็ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปกับปากต่อปาก มันจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ผู้จัดการฝ่ายขายของโรงงานหลักก็ได้แต่ตบไหล่ของซุนหงเหวยอย่างปลอบใจ และพูดให้กำลังใจเขาออกไปว่า “นายต้องเรียนรู้ให้เยอะขึ้นกว่านี้หน่อยนะ เพราะนี่มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของธุรกิจโรงงานของเรา ถึงอย่างไรนายก็อยู่เมืองนี้ อย่างน้อยก็ยังมีตึกรามบ้านช่องให้เปิดกิจการได้อีกเยอะ นายเลียนแบบพวกเขาก็ได้นี่นา ฉันดีใจมากเลยนะที่เห็นนายมียอดขายถล่มทลายมากมายขนาดนี้น่ะ ”
และตอนนี้ทุกอย่างมันก็เป็นไปอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ เพราะด้วยความที่คุณยายของหูจิ่นเหมิงและหูจิ่นเหมิงเข้ามาช่วยโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนกลายเป็นสุดยอดนักขายตัวยงในไตรมาสแรก และเธอก็ยังได้เป็นนักขายที่ติด 1 ใน 10 อันดับที่มาแรงมากที่สุดของประเทศอีกต่างหาก
เมื่อข่าวนี้ได้แพร่สะพัดออกไป พริบตาเดียวเหล่าบรรดานักขายทั่วทั้งประเทศก็เริ่มเลียนแบบเทคนิคการขายนี้ ในระหว่างนั้นก็มีพนักงานขายได้ทำการแจกใบปลิว และใบโฆษณาตามอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ และคนที่เพิ่งย้ายเข้ามาต่างก็ตัดสินใจซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พวกเขามาเสนอขายให้กับตัวเองกันทั้งนั้น
แต่จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ฟู่ซินและจางฉุ้ยเหลียนก็นึกไม่ถึงเลยว่า พวกเขาจะได้รับผลตอบรับที่ดีมากขนาดนี้ เดิมทีพวกเขาคิดว่าคงจะขายตู้เย็นได้เพียงแค่ 10 เครื่อง และโทรทัศน์อีกสัก 10 เครื่องก็เท่านั้น แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า เมืองทั้งเมืองจะพร้อมใจกันสั่งจองเข้ามาอย่างไม่ขาดสายกันขนาดนี้
ความคิดของคนจีนนั้น ต้องขอนับถือเลยจริง ๆ และครั้งนี้พวกเขาทั้งสองคนก็สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว เพราะอย่างนั้นแล้วพวกเขาทั้งสองคนย่อมต้องจัดงานเลี้ยงขอบคุณคุณยายตระกูลมู่อย่างแน่นอน
ถึงขนาดว่าพวกเขาทั้งสองคนตั้งใจที่จะมอบโทรทัศน์และตู้เย็นให้เป็นของขวัญแก่หญิงชราเลยทีเดียว แต่ที่หญิงชราตระกูลมู่ทำไปทั้งหมด ก็เพราะหล่อนตั้งใจจะขอบคุณจางฉุ้ยเหลียนที่เคยช่วยหลานสาวตัวน้อยของหล่อนเอาไว้ และการที่หล่อนสามารถซื้อบ้านในหมู่บ้านระดับไฮเอนด์แห่งนี้ได้ นั่นก็แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองแต่อย่างใด
จางฉุ้ยเหลียนคิดแค่เพียงว่า การที่เธอช่วยเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้ มันก็เป็นน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็เท่านั้น เธอไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนแต่อย่างใด แต่หูจิ่นเหมิงกลับคอยเดินตามจางฉุ้ยเหลียนอย่างเชื่อฟัง พยายามหาโอกาสที่จะได้คุยและไถ่ถามจางฉุ้ยเหลียนเกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นนักศึกษาวิทยาลัย
จางฉุ้ยเหลียนดื่มเหล้าเข้าไปเยอะมาก และเธอก็ยังไม่ได้เตรียมตัวตั้งรับกับคำถามของหูจิ่นเหมิงอีกต่างหาก วันนี้เป็นวันที่เธอดีใจมากวันหนึ่งเลยทีเดียว ในระหว่างนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้พูดออกไปอย่างตัวสั่นงันงกแต่อย่างใด เธอถึงขนาดพล่ามแผนการตลาดของตัวเองออกมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ โดยที่หูจิ่นเหมิงก็นิ่งอึ้งไปไม่น้อย
หลังจากที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง จางฉุ้ยเหลียนก็พบว่าตัวเองนั้นนอนคว่ำอยู่บนเตียง เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า เมื่อวานตัวเองนั้นกลับมาที่โรงแรมได้อย่างไร สมองของเธอรู้สึกปวดไปหมด ราวกับมีคนนับร้อยมาเคาะอยู่ในโสตประสาทของเธออย่างไรอย่างนั้น
เธอเดินออกมาจากห้องน้ำและปรายตาไปมองที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลา 10.00 น. จางฉุ้ยเหลียนจึงเดินไปแต่งตัวและเปิดประตูห้องของตัวเองออกไป เธอเดินไปยังห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งก็พบกับหูจิ่นเหมิงที่รอเธออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
หล่อนตะโกนเรียกเธอเสียงดัง “พี่สาว พวกเราอยู่นี่ค่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนหรี่ตาลงมองเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เห็นว่ามีฟู่ซิน หูจิ่นเหมิง และมู่จิ้นหนานที่ชอบอวดดีถือตัวคนนั้นนั่งรอเธออยู่ที่นั่น ฟู่ซินคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับโบกมือไปมาให้เธอ ส่วนมู่จิ้นหนานก็ไม่ได้สนใจอะไร เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออะไรสักอย่างของตัวเอง
หูจิ่นเหมิงวิ่งเข้ามาหาเธอ และดึงมือของเธอให้ตามไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน “คุณลุงจะเชิญพวกพี่ไปรับประทานอาหารด้วยกันนะคะ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ อย่างที่หญิงชราตระกูลมู่เคยพูดเอาไว้เมื่อวานว่า หล่อนอยากจะเชิญทุกคนไป “ร่วมรับประทานอาหารในงานขึ้นบ้านใหม่” เพื่อความเป็นสิริมงคล
จางฉุ้ยเหลียนคิดมาดีแล้วว่า ครั้งนี้ที่เธอไปที่บ้านตระกูลมู่ เธอจะไม่พูดอะไรและจะกินอย่างเดียว และจะดีที่สุดถ้าเธอหลีกเลี่ยงมู่จิ้นหนานได้
เมื่อมาถึงบ้านของหญิงชราตระกูลมู่ ทุกคนต่างก็พากันลงจากรถ แต่มู่จิ้นหนานกลับดึงแขนของจางฉุ้ยเหลียนให้มาเดินที่ด้านหลังสุดด้วยกัน เขาเดินไปพลางถามขึ้นว่า “มันคืออะไร คุณช่วยอธิบายว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘กลุ่มผู้ซื้อ’ ให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”
MANGA DISCUSSION