ตอนที่ 227 เจอกันอีกครั้ง
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกจนปัญญากับผู้อาวุโสทั้งสองบ้านจริง ๆ พวกเขาเอาแต่พูดว่า “เธอเป็นห่วงแค่เรื่องงานของตัวเองก็พอแล้ว” จางฉุ้ยเหลียนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงกันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่ถาโถมเข้ามาโดยที่เธอยังไม่แข็งแกร่งมากพอ
ถ้าคนในบ้านเชื่อในคำพูดของเธอ ปัญหาในเรื่องการศึกษาของคังคังจะเป็นไปตามสิ่งที่เธอพูดเอาไว้อย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่เธอเป็นครูหรือว่าไม่ได้เป็นครูเลย แต่เป็นเพราะความสามารถของเธอนั้นยังไม่มากพอที่จะดึงดูดความสนใจของคนในบ้านได้
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เข้าไปในเมืองหลวงนานมากแล้ว เพราะปกติเธอก็มักจะส่งต้นฉบับผ่านทางไปรษณีย์ตลอด และเธอก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ประเทศจีนถึงจะมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพราะอย่างนั้นเธอถึงต้องใช้ไปรษณีย์ในการส่งต้นฉบับ จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดว่าถ้าคนที่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ พวกเขาก็คงจะคิดหาทางประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนบิลเกตส์ แต่พวกเขาก็ยังสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะมีมือทองคำที่สามารถชี้เสกได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เธอก็ไม่สามารถสั่งให้คนอื่นกลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ได้ และถึงแม้ว่าเธอจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นบางส่วน แต่เธอก็ยังไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จเหมือนกับบัฟเฟตต์ได้ เพราะบุคคลสำคัญก็ยังเป็นบุคคลสำคัญอยู่วันยังค่ำ ชีวิตของคนเหล่านั้นคงจะย้อนกลับมาไม่ได้
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเดินออกมาจากสำนักพิมพ์ เธอก็เดินโซซัดโซเซไปตามท้องถนนอย่างช้า ๆ ตอนนี้เธอก็ได้ทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำไปหมดแล้ว เธอพัฒนาจากคนที่เขียนบทความในหนังสือพิมพ์กลายมาเป็นนักเขียนนวนิยายขายดีเต็มตัว และเวลาผ่อนคลายของเธอก็คือ การชอปปิงซื้อของ ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้ก็เป็นช่วงเวลาที่น่าอิจฉามากกว่าชาติที่แล้วมากเลยทีเดียว
จางฉุ้ยเหลียนเดินหิ้วถุงของพะรุงพะรังไปตามถนนร่วมหลายชั่วโมง จนกระทั่งเท้าของเธอเริ่มรู้สึกปวด และขาทั้งสองข้างของเธอก็เริ่มรู้สึกเมื่อยล้า ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เธอตระหนักได้ว่า ท้องฟ้าในตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี เธอก็นึกถึงร้านอาหารตะวันตกกังหันลมสีแดงที่ชวนอาเจียนได้ตลอดเวลาร้านนั้นขึ้นมาได้
เธอเดินไปตามตำแหน่งที่ปรากฏขึ้นมาในห้วงแห่งความจำ และถามไถ่คนแถวนั้นไปตลอดทางจนเจอร้านแห่งนั้นในที่สุด หลังจากที่เข้าไปในร้านอาหารแห่งนั้นแล้ว เธอก็เดินไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างบานหนึ่ง จางฉุ้ยเหลียนนำของที่ซื้อมาวางลงข้างตัว ในเวลานี้เธอรู้สึกเหมือนขาของเธอแทบจะหักได้อยู่แล้ว เพราะเธอต้องเดินอยู่บนรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน ๆ จนปวดระบมไปหมดทั้งเท้า
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนสั่งอาหารตามใจตัวเองไปแล้ว เธอก็เริ่มกวาดสายตามองพิจารณาภายในร้านอาหารแห่งนี้อย่างละเอียด อาจจะเป็นเพราะได้เชิญนักออกแบบระดับปรมาจารย์มาช่วยออกแบบให้ ร้านอาหารแห่งนี้จึงได้กลายมาเป็นสไตล์รัสเซียจ๋าแบบนี้ ขนาดโต๊ะอาหารก็ยังไม่ให้กลิ่นอายของทหารเก่าแต่อย่างใด ลูกค้าเกินกว่าครึ่งในร้านอาหารแห่งนี้ต่างก็เป็นคนที่กำลังพูดคุยกันด้วยภาษาที่แตกต่างกันออกไป
“เป็นยังไงบ้างครับ รสชาติถูกปากคุณไหม” ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาที่ข้างกายของเธออย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงทุ่มต่ำได้เรียกสติของเธอให้กลับมาจากโลกแห่งความเพ้อฝัน เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นไปมอง เธอก็พบกับคุณลุงของหูจิ่นเหมิง
“อ่า เรื่องนั้น……. อร่อยมากเลยค่ะ รสชาติอาหารอร่อยมาก” จางฉุ้ยเหลียนยืนขึ้น จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างดุจใบหน้าของพระศรีอริยเมตไตรย ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับมู่จิ้นหนาน
“อื้อ ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจ” มู่จิ้นหนานเดินมาตรงหน้าของจางฉุ้ยเหลียนโดยที่เธอไม่ได้เชิญเขาแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็เชิดคางขึ้นด้วยความยิ่งผยองและถือดีต่อหน้าเธอ “ผมได้ยินจากเสี่ยงเหมิงมาว่า คุณประเมินคะแนนให้กับอาหารของร้านนี้ต่ำมาก ผมจึงต้องเปลี่ยนพ่อครัวคนใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้พ่อครัวคนใหม่ถูกส่งตรงมาจากรัสเซียเลยทีเดียว คุณทานแล้วรู้สึกยังไงบ้างล่ะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนได้รับความสนใจอย่างคาดไม่ถึง เธอรู้สึกลำบากใจไม่น้อย เพราะเธอเองก็พูดไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่คิดอะไรด้วยซ้ำ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าหูเจิ่นเหมิงจะเอาเรื่องที่เธอพูดไปบอกกับคุณลุงของหล่อนเสียได้ แถมคน ๆ นี้ก็เอาจริงเอาจังมากอีกด้วย จนถึงกับต้องเปลี่ยนพ่อครัวในร้านเลยทีเดียว
“ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง แกล้งหยอกล้อกับเด็ก ๆ เฉย ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะเจาะจงใคร และไม่ได้เอาจริงเอาจังอะไรอีกด้วย” จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าจะพูดยังไงออกไปดี นอกจากยื่นมือออกไปคลำของที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นมือของเธอก็ไปสัมผัสโดนถ้วยซุปที่เธอเพิ่งจะสั่งไปเมื่อสักครู่นี้ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของเธอมันก็ยิ่งทำให้คนอื่นเขาดูออกว่า เธอนั้นกำลังกระสับกระส่ายอยู่ไม่น้อย
ทันใดนั้นเองจู่ ๆ มู่จิ้นหนานก็ดีดนิ้วเสียงดัง ไม่นานชายหนุ่มชาวรัสเซียรูปหล่อคนหนึ่งก็เดินยิ้มตาหยีเข้ามา เขาโค้งตัวแสดงความเคารพ และเอ่ยปากถามออกไปด้วยความนอบน้อมว่า “ครับเถ้าแก่”
“รินน้ำให้คุณผู้หญิงท่านนี้หน่อยสิ” ชายหนุ่มรูปหล่อคนนั้นจึงได้เงยหน้าขึ้นมามองจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ได้ครับ เถ้าแก่”
จางฉุ้ยเหลียนเบิกตากว้างมองไปทางบริกรใส่เสื้อกั๊กสีดำคนนั้น จากนั้นก็เอ่ยปากถามมู่จิ้นหนานด้วยความอยากรู้ว่า “เขาคือผู้จัดการร้านอาหารหรือคะ แต่เหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้ฉันจะไม่เห็นเขาเลยนะคะ ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่จิ้นหนานจึงคลี่ยิ้มออกมา และพูดออกไปว่า “ไม่ใช่หรอก เขาเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของผมเอง เมื่อกี้ผมกำลังประชุมอยู่ข้างใน พอออกมาก็เห็นคุณมาทานอาหารที่นี่พอดี”
“ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เขาพูดภาษาจีนได้คล่องมากเลยค่ะ” จางฉุ้ยเหลียนแอบชำเลืองตาไปมองเขาเล็กน้อย ซึ่งในตอนนี้ชายหนุ่มชาวรัสเซียรูปหล่อคนนั้นก็กำลังถือถาดเดินมาทางนี้พอดี และก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี ความเด่นเป็นสง่าและความสุภาพเรียบร้อยของเขา ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ให้ความรู้สึกเหมือนว่า เขาเป็นขุนนางในราชวงศ์อย่างไรอย่างนั้น
ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอยู่นั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็เดินเข้ามาใกล้กับโต๊ะของเธอ จากนั้นเขาก็นำน้ำจากในถาดมาวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือและพูดออกไปอย่างสุภาพว่า “ค่อย ๆ ดื่มนะครับ”
“เขาพูดภาษาจีนได้คล่องมาก” จางฉุ้ยเหลียนหยิบน้ำแก้วนั้นขึ้นมาดื่ม และเมื่อเธอได้ดื่มมันเข้าไปแล้ว เธอก็พบว่ามันเป็นน้ำมะนาวเปรี้ยวจี๊ด ที่ดื่มเข้าไปแล้วทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากเลยทีเดียว
“เขาเป็นลูกครึ่งจีน-รัสเซีย ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาหลัก” มู่จิ้นหนานพูดออกมาพร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เพราะเขาดูออกว่าในเวลานี้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกอึ้งจนถึงกับพูดไม่ออก และแม้แต่คำพูดพล่ามเรื่อยเปื่อยก็ไม่มีเช่นกัน ดูท่าทางเขาจะสร้างความกดดันให้เธอได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“อ้อ เขาเป็นลูกครึ่งจีน – รัสเซียนี่เอง ไอ้หยา ด้วยความที่ใบหน้าของเขามีแนวโน้มไปทางรัสเซียมากกว่า ฉันก็เลยมองไม่ออกว่าเขาจะมีเชื้อจีนด้วย” จางฉุ้ยเหลียนชำเลืองตาไปมองเขาเล็กน้อย แต่ทว่าเธอก็พบว่าชายหนุ่มลูกครึ่งผสมคนนั้นก็กำลังมองมาทางเธออยู่เหมือนกัน ส่งผลให้เธอตกใจจนต้องรีบเมินหน้าหนีไปทางอื่นทันที การกระทำที่ลุกลี้ลุกลนนั้นก็ได้สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นไม่น้อย
“มีชาวรัสเซียเข้ามาทำธุรกิจค้าขายที่นี่เป็นจำนวนมาก พ่อของเขาเป็นพ่อค้าจากโซเวียต และมักจะมาซื้อวัตถุดิบยาและเครื่องหนังนำเข้าต่าง ๆ ทุกปี มีอยู่วันหนึ่งพ่อของเขาที่ได้พบกับแม่ของเขาที่นี่ เมื่อได้รู้จักกันพ่อของเขาก็นึกอยากที่จะแกล้งหล่อน ไป ๆ มา ๆ พวกเขาทั้งสองคนก็ตกลงคบกัน จนกระทั่งเขาอายุได้ 7 ขวบ จึงตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่ที่นี่” มู่จิ้นหนานได้เล่าถึงประวัติความเป็นมาของชายหนุ่มลูกครึ่งคนนี้อย่างไม่เกรงใจ
จางฉุ้ยเหลียนดูไม่ออกเลยว่า คนแบบนี้จะพูดนินทาคนอื่นเป็นด้วย อีกทั้งเถ้าแก่ใหญ่คนนี้ก็ยังมีงานอดิเรกคือ การชอบสร้างความตื่นตกใจให้กับคนอื่น
“ฉันเองก็เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกันว่า ว่ากันว่าชาวรัสเซียมักจะมีลูกสาว ลูกชาย และภรรยาอยู่ในประเทศบ้านเกิดของตัวเองอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เดินทางมาประเทศจีน พวกเขาเหล่านั้นก็มาเป็นคนหลอกลวงหัวใจของสาว ๆ ที่นี่ พบอีกคน หลอกอีกคน มีหลายบ้านแล้วที่เป็นแบบนี้” ในชาติที่แล้วจางฉุ้ยเหลียนได้มีโอกาสพบเจอกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาทำธุรกิจนำเข้าส่งออกไม้ในแถบชายแดน เขาได้พล่ามเรื่องของชาวรัสเซียฝั่งนั้นให้เธอได้ฟังมากมายว่า คนพวกนั้นมักจะหลอกลวงคนอื่นจนไม่อาจยอมรับได้ บางคนหลอกลวงถึงขั้นที่ว่า โกหกว่าตัวเองนั้นไม่มีลูก พวกเขาไม่มีคุณธรรมเลยจริง ๆ แต่บางคนก็ยังดี ยังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ยังคอยส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้กับลูกนอกสมรสเหล่านั้นบ้าง สำหรับเรื่องที่จะสามารถแต่งงานจดทะเบียนเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายได้รึเปล่านั้น คงยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
มู่จิ้นหนานพูดจาดูถูกเหยียดหยามว่า “ดั่งเรื่องราวที่ว่าจิวยี่ทำอุบายเฆี่ยนอุยกาย คนหนึ่งลงมือและตำหนิ นี่เป็นเรื่องที่ยินยอมกันทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของอันดรูว์เห็นชอบในรูปร่างหน้าตา สูงเด่นสง่า และร่ำรวยหรูหราของเจ้าตัวล่ะก็ หล่อนก็คงจะไม่ปล่อยพวกผู้ชายชาวจีน และวิ่งไปเป็นภรรยาที่คลอดลูกนอกสมรสหรอก ผู้ชายคนนั้นมีอายุอานามก็ปาเข้าไป 37 ปีแล้ว คิดว่าเขาจะยังไม่มีครอบครัวงั้นหรือ แล้วคิดว่าเขาจะมาประเทศจีนคนเดียวและมาปักหลักสร้างครอบครัวที่นี่อย่างนั้นหรือ ? ”
มู่จิ้นหนานเบะปาก จากนั้นก็พูดออกไปว่า “แมลงวันคงไม่ตอมไข่ที่มีรอยแตกหรอก” เมื่อพูดจบเขาก็ปรายตามองไปทางจางฉุ้ยเหลียนอีกครั้ง “คุณยังอยากรู้อะไรอีกไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย และได้แต่พึมพำในใจว่า ฉันก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น ใครจะไปคิดล่ะว่าคุณจะพูดเรื่องพวกนี้ออกมา เขานี่ก็ก้นหนักเสียจริง นั่งอยู่ได้ไม่ยอมลุกออกไปไหนสักที
“ฉันไม่อยากรู้เรื่องอะไรแล้วล่ะค่ะ ฉันกินเสร็จแล้ว ยังไงก็ขอตัวกลับก่อนนะคะ ตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดแล้ว กลับช้ากว่านี้จะเป็นอันตราย” จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เรียกพนักงานให้มาคิดเงิน
เมื่อเห็นดังนั้น มู่จิ้นหนานจึงได้โบกมือไปมา “จะรีบไปไหนล่ะ เธอพักอยู่โรงแรมไหนหรือ เดี๋ยวฉันไปส่งเธอเอง”
จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นมาด้วยความเกรงใจว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ๆ ฉันนั่งรถแท็กซี่กลับไปคนเดียวได้”
มู่จิ้นหนานหัวเราะออกมาเบา ๆ “พอได้ฟังเรื่องราวของอันดรูว์แล้ว เธอเตรียมจะเขียนนิยายเรื่องอะไรอีกล่ะ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็นิ่งอึ้งในทันที และจู่ ๆ ขนตามแขนและขาของเธอก็พากันลุกซู่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน เพราะเรื่องที่เธอเขียนนิยายมีคนรู้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น เมื่อเห็นท่าทางตื่นตกใจราวกับเห็นผีของเธอ มู่จิ้นหนานจึงได้ยื่นมืออกไปเชิญให้จางฉุ้ยเหลียนนั่งลง
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า “คุณคิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะว่า ผมจะรู้เรื่องที่คุณเป็นนักเขียน”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ตั้งแต่ที่ได้เจอกับผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังพูดเพ้อฝันอย่างไรอย่างนั้น และตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
“หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นกับเสี่ยวเหมิงขึ้น ผมก็เอาแต่ค้นหาจดหมายที่หล่อนเขียนมาโดยตลอด อีกทั้งยังเคยถามคนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ด้วยว่า ใครเป็นคนพาหล่อนไป และก่อนที่คุณจะโทรศัพท์มาหาผม ผมก็ได้สืบสาวราวเรื่องว่า หล่อนนั้นถูกคนที่เข้ามาซื้อขายที่นี่พาตัวไป” มู่จิ้นหนานเก็บอารมณ์สีหน้าเศร้าสร้อยนั้นเอาไว้ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติ
จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าจึงได้เอ่ยปากถามออกไปว่า “มีปัญหาอะไรหรือคะ ? ”
มู่จิ้นหนานยิ้มและพูดออกไปว่า “หลังจากที่ผมได้เจอกับคุณ ผมก็ยังไม่วางใจและไม่เชื่อว่าจะมีคนเข้ามาทำตัวเป็นคนดีโดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกอย่างเสี่ยวเหมิงก็ไม่ใช่เด็กที่จะยอมให้ใครยื่นมือเข้ามาช่วยได้ง่าย ๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นหล่อนก็คงจะไม่หนีออกไปหลายวันโดยที่ไม่หาโอกาสติดต่อกลับมาหาผมแบบนั้นหรอก ดังนั้นผมก็เลยจ้างนักสืบไปตามสืบเรื่องของคุณ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนจึงเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ในทันที เพราะความรู้สึกระแวดระวังของเขา เขาจึงได้ตามสืบเรื่องราวของเธอจนหมดเปลือก เพียงเพราะไม่ไว้ใจเธอนี่เอง และเขาก็รู้แม้กระทั่งเรื่องที่เธอเป็นนักเขียน ซึ่งคำถามที่เขาโพล่งถามออกมาเมื่อสักครู่นั้น เขาก็คงจะคิดว่าเธอมาหาแรงบันดาลใจไปเขียนนิยายอย่างแน่นอน จึงได้นำเรื่องราวในชีวิตของคนอื่นมาไล่เรียงจนกลายเป็นเรื่องราว มาบอกเล่าให้กับเธอได้ฟัง
“ไม่ว่ายังไง ผมก็ต้องขอบคุณคุณเป็นอย่างมาก ที่คุณช่วยหลานสาวของผมเอาไว้” มู่จิ้นหนานกล่าวขอบคุณจางฉุ้ยเหลียน ซึ่งครั้งนี้น้ำเสียงของเขาก็ดูจริงใจมากขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรเลยค่ะ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ” จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่จริงใจมากคนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะคนที่ร่ำรวยเงินทองต่างก็เป็นคนที่มีอีโก้สูงในตัวเองกันทั้งนั้น คิดว่าคนอื่นนั้นจะมาหวังกอบโกยเอาผลประโยชน์จากตัวเอง โดยที่ไม่คิดให้แน่ใจว่าใครเป็นใคร
“ผมจำได้ว่าผมให้นามบัตรของผมกับคุณไป ถ้าคุณมีเรื่องอะไรเดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือ คุณก็ติดต่อมาหาผมได้ตลอด แต่ทำไมคุณถึงไม่ติดต่อผมมาล่ะ” มู่จิ้นหนานแสดงสีหน้าจริงจังออกมา ราวกับจะบอกว่าเธอกำลังดูถูกฉันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
จางฉุ้ยเหลียนแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย “อา ฉันไม่ได้มีเรื่องอะไรนี่คะ ถ้าหลังจากนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันจะติดต่อหาคุณทันทีเลยค่ะ”
มู่จิ้นหนานดูออกว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นกำลังดูถูกเขาอยู่ เขาจึงได้แต่เม้มปาก และหรี่ตามองเธอเล็กน้อย “จางฉุ้ยเหลียน คุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร โอกาสดี ๆ แบบนี้ คุณจะไม่ร้องขออะไรเลยอย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็หมดคำพูดขึ้นมาในทันที แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังมิวายพึมพำอยู่ในใจว่า คุณนี่มันประสาทจริง ๆ เลย ทำไมฉันจะต้องรู้ด้วยล่ะว่าคุณเป็นใคร เก่งมากนักหรือ เจ๋งมากนักรึไง แน่จริงก็ระเบิดโลกใบนี้ไปเลยสิ ไอ้คนประสาทกลับ
ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะคิดแบบนั้น แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา “เอ่อ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าคุณเป็นใครทำงานอะไร แต่ฉันก็รู้ว่าคุณจะต้องเป็นคนใหญ่คนโต ฉันก็เป็นเพียงแค่ประชาชนตัวน้อย ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีความคิด ไม่มีเป้าหมาย อยู่ไปวัน ๆ ก็ดีจะตายไป เหอะ ๆ ”
มู่จิ้นหนานขมวดคิ้วเล็กน้อย : “คนที่ไม่มีเป้าหมายคนหนึ่งจะเปิดร้ายขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ซื้อตั๋วเครื่องบิน เขียนนิยาย มีส่วนร่วมในการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าได้อย่างนั้นหรือ จางฉุ้ยเหลียน คุณกำลังพูดเรื่องตลกอยู่ใช่ไหม”
MANGA DISCUSSION