ตอนที่ 220 ไล่คน
จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปทางโทรศัพท์ว่า “ขอถามหน่อยได้ไหมคะว่า คุณเป็นผู้ปกครองของหูจิ่นเหมิงรึเปล่า? ”
ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะพูดจบ เสียงของผู้ชายที่อยู่ปลายสายก็พูดขึ้นมาก่อนว่า “ใช่ครับ คุณต้องการอะไรเราจะหามาให้คุณทุกอย่าง แต่เราขอแค่อย่างเดียว คุณอย่าทำร้ายลูกของเราเลยนะครับ!”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกงุนงงที่อีกฝ่ายคิดว่าเธอเป็นคนที่ลักพาตัวลูกสาวของเขาไป เธอจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาและพูดขึ้นว่า “คุณผู้ชายคะ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะคะ ฉันเพิ่งเจอกับหล่อนเมื่อไม่นานมานี้เอง ตอนนี้ฉันสามารถบอกสถานที่ที่หล่อนอยู่ในตอนนี้ให้คุณได้ค่ะ หวังว่าคุณจะรีบมารับตัวหล่อนกลับบ้านโดยเร็วที่สุดนะคะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็หยุดชะงักไปทันที ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเธอสักเท่าไหร่นัก เมื่อได้สติกลับมา เขาก็เอ่ยถามออกไปเสียงเบาว่า “จริงหรือครับ ? ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอบคุณคุณมาก ๆ เลยนะครับ ผมขอคุยกับเธอหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากจะถามรายละเอียดอะไรเธอหน่อย”
จางฉุ้ยเหลียนยื่นโทรศัพท์ไปให้กับหูจิ่นเหมิง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว คุยกับครอบครัวหน่อย”
หูจิ่นเหมิงจึงยื่นมือออกมารับโทรศัพท์ไป จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าคนฝั่งนั้นพูดอะไร เพราะเธอได้ยินหูจิ่นเหมิงตอบแค่เพียง “อื้อ จริงค่ะ” “ตอนนี้หนูสบายดีค่ะ” “ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ” “รู้แล้วค่ะ” “ได้ค่ะ” “หนูรับปาก”
ไม่มีคำพูดที่เป็นรูปประโยคสมบูรณ์แต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่หนักแน่นมาก ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังเกิดความสงสัยว่า เจ้าของเสียงนั้นเป็นคนแบบไหน และทำงานอะไรอยู่นั้น จู่ ๆ หูจิ่นเหมิงก็ได้ยื่นโทรศัพท์มาให้กับจางฉุ้ยเหลียนอีกครั้ง
จางฉุ้ยเหลียนนิ่งอึ้งไปทันที แต่ไม่นานเธอก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว บางทีทางนั้นอาจจะไม่รู้ที่อยู่ก็ได้ เธอจึงได้คลี่ยิ้มและรับโทรศัพท์มา ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนนึกไม่ถึงเลยว่า น้ำเสียงของผู้ชายที่ฟังดูหนักแน่นและทุ้มต่ำนั้น จะแฝงไปด้วยความเกรงใจและมีมารยาทมากขนาดนี้ เธอจึงคลี่ยิ้มและตอบกลับไปว่า “ฉันชื่อจางฉุ้ยเหลียนค่ะ เรียกฉันว่าเสี่ยวจางก็ได้”
ผู้ชายคนนั้นจึงได้แนะนำตัวเองออกมาว่า “สวัสดีครับ ผมเป็นคุณลุงของหูจิ่นเหมิงครับ ผมชื่อมู่จิ้นหนาน ขอบคุณนะครับที่คุณช่วยเสี่ยวเหมิงของเรา คุณช่วยบอกสถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ผมจะได้รีบไปรับตัวเธอกลับมา”
เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงบอกที่อยู่ของโรงแรม และหมายเลขห้องพักที่เธออยู่ในตอนนี้กับอีกฝ่าย จากนั้นเธอก็วางสายไป ก่อนจะยกมือขึ้นไปลูบศีรษะของหูจิ่นเหมิงอย่างอ่อนโยน “คุณลุงของเธอจะมารับเธอแล้วนะ เธออยากจะขึ้นไปอาบน้ำบนห้องฉันก่อนไหม ? ”
หูจิ่นเหมิงจึงพยักหน้าตอบรับ และเดินตามจางฉุ้ยเหลียนขึ้นไปบนห้องพักของเธอเพื่อที่จะไปอาบน้ำ จางฉุ้ยเหลียนหยิบเสื้อผ้าออกมาให้หล่อนชุดหนึ่ง หลังจากนั้นก็พาหล่อนลงไปทานอาหารข้างล่าง และถือโอกาสซื้อเสื้อผ้าให้หล่อนอีก 1 ชุดเอากลับบ้านไปด้วย
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ถามหูจิ่นเหมิงว่าหล่อนถูกลักพาตัวมาได้ยังไง เพราะเรื่องเหล่านี้ต่างก็เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดสำหรับเด็ก ทางที่ดีไม่ควรเอาเกลือไปโรยซ้ำแผลเก่านั้นน่าจะดีกว่า
หลังจากที่เด็กหญิงตัวน้อยกินอาหารอิ่มแล้ว หล่อนก็เอนกายนอนลงไปบนเตียง และไม่นานหล่อนก็ผล็อยหลับไปในที่สุด บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าความวิตกกังวลเหล่านั้นได้ผ่อนคลายลงไปแล้วก็ได้ ไม่นานเสียงกรนเบา ๆ ก็ดังขึ้น เมื่อเห็นดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ยิ้มออกมาจนตาหยี แต่ในใจของเธอก็นึกกลัวขึ้นมา
เธอเองก็เป็นแม่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเธอก็คิดไม่ออกเลยว่า พ่อแม่ของเสี่ยวหูจะเสียใจมากแค่ไหน เพียงแต่เธออยากจะรู้ว่าทำไม เด็กคนนี้ถึงโทรหาคุณลุงแทนที่จะโทรหาพ่อแม่ของตัวเอง
เวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงช่วงบ่าย จู่ ๆ โทรศัพท์ในห้องพักก็ดังขึ้น และคนที่โทรมาหาเธอก็คือฟู่ซิน เขาบอกกับเธอว่าตอนที่เขากับเจิ้งเซียวเฟิ่งกำลังจะกลับมาที่โรงแรง เขาก็ได้เจอกับจางกว่างฝูและคนอื่น ๆ ระหว่างทางเข้าพอดี จางฉุ้ยจวินไม่มีเงิน อีกทั้งยังหาคนที่จะมาเข้าร่วมสายงานต่อจากเขาไม่ได้ เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยถูกจางกว่างฝูลากตัวกลับมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
เขาเห็นเหล่าบรรดาญาติ ๆ ตระกูลเช่ากำลังเดินลงมาจากชั้นบนพอดี พวกเขากำลังจะออกไปซื้อตั๋วรถไฟเพื่อกลับไปที่บ้านในคืนนี้ เพราะอย่างนั้นฟู่ซินจึงอยากจะพาทุกคนไปเลี้ยงอาหารสักมื้อ เขาก็เลยโทรมาชวนให้จางฉุ้ยเหลียนไปด้วยกัน
จางฉุ้ยเหลียนวางโทรศัพท์ลงและปลุกหูจิ่นเหมิงเบา ๆ “เสี่ยวเหมิง ฉันต้องไปกินข้าวกับครอบครัวข้างล่าง เธอจะนอนอยู่ที่นี่ หรือว่าจะลงไปกินข้าวกับฉันด้วย ? ”
หูจิ่นเหมิงตอบกลับไปโดยที่ไม่ต้องคิดเลยว่า “หนูอยากรอคุณลุงอยู่ที่นี่ค่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าหล่อนกำลังหวาดผวา เธอจึงได้แต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดว่า “เอาอย่างนั้นก็ได้ ไว้ฉันจะเอาของกินอร่อย ๆ มาฝากนะ”
จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นยืน หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปใส่รองเท้าที่หน้าประตู แต่ในตอนนั้นเองจู่ ๆ หูจิ่นเหมิงก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน หล่อนกระโดดลงจากเตียง และเดินไปหาจางฉุ้ยเหลียน “หนูอยากไปกับพี่ด้วยค่ะ”
“ได้สิ !งั้นเธอก็ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไป แล้วลงไปกินข้าวกับฉัน เธอไม่ต้องกลัวพวกเขาหรอกนะ พวกเขาเป็นคนดี” จางฉุ้ยเหลียนพูดปลอบใจหูจิ่นเหมิงออกไป เมื่อหล่อนทำทุกอย่างเสร็จแล้ว พวกเธอทั้งสองคนก็เปิดประตูและลงลิฟต์ตรงไปชั้นล่าง
ระหว่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็บอกกับหูจิ่นเหมิงออกไปว่า “ที่พวกเรามาที่นี่ ก็เป็นเพราะคนในครอบครัวของเราถูกหลอกให้มาที่นี่ พวกเราก็เลยมาช่วยครอบครัวของเรา ตอนนี้เขาก็ได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว และเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน”
หูจิ่นเหมิงพยักหน้าเป็นการตอบรับ และถอนหายใจออกมาเบา ๆ “โลกใบนี้มีคนไม่ดีอยู่เยอะมากจริง ๆ ”
เมื่อฟู่ซินและคนอื่น ๆ เห็นจางฉุ้ยเหลียนพาเด็กผู้หญิงตัวน้อยอายุราว ๆ 12 ปีคนหนึ่งลงมาด้วย ทุกคนก็พากันนิ่งอึ้งในทันที จางกว่างฝูจึงได้เอ่ยปากถามออกไปว่า “ฉุ้ยเหลียน เด็กคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพาหูจิ่นเหมิงไปนั่งที่โต๊ะ จากนั้นก็ลูบไปบนศีรษะของหล่อน “พูดไปพ่อก็ไม่เข้าใจหรอก พ่อพูดเรื่องของพ่อมาก่อนเถอะค่ะ”
เธอพูดออกไปพร้อมกับมองไปที่จางฉุ้ยจวินซึ่งทำหน้าไม่พอใจอยู่ในตอนนี้ แต่เนื่องจากตัวเองไม่มีเงินติดตัวเลยสักนิดเดียว และยังถูกผู้ใหญ่ในบ้านมาก่อกวน เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
เมื่อเห็นจางฉุ้ยเหลียนไม่พูดอะไรเลยและเอาแต่จ้องมาทางเขา เขาก็เลยกลอกตาไปมา พร้อมกับส่งเสียงถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมนายถึงไม่เข้าใจอะไรเลย พี่สาวของนายถ่อสังขารมาหานายที่อยู่ห่างออกไปเป็นพัน ๆ กิโล แต่นายกลับมาถอนหายใจใส่เธอเนี่ยนะ ? ” ฟู่ซินทนดูไม่ได้อีกต่อไป เขาเริ่มส่งเสียงด่าทอออกไปด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
“แล้วฉันใช้ให้หล่อนมาที่นี่รึไงล่ะ ? ฉันไปเชิญหล่อนมาตอนไหนไม่ทราบ ? พูดอย่างกับว่า ฉันเอาเปรียบหล่อนอย่างนั้นแหละ แล้วมันยังไงล่ะ มันเกี่ยวอะไรกับฉัน ? ” จางฉุ้ยจวินตอกกลับไปราวกับว่าเขากินลูกระเบิดเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น และสีหน้าของเขาในตอนนี้ก็เย็นชาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
จางฉุ้ยเหลียนชี้ไปทางจางฉุ้ยจวิน และพูดกับจางกว่างฝูออกไปว่า “พ่อเห็นแล้วใช่ไหมว่า ลูกชายของพ่อก็เป็นเสียแบบนี้แหละ ต่อไปถ้าเกิดเรื่องไม่ดีแะไรขึ้นอีก หนูจะไม่สนใจอะไรเขาอีกแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไง จะโดนทำร้ายจนเลือดตกยางออก หรือโดนคนสนิทหลอก หนูก็จะไม่สนใจเขาอีก”
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนพูดจบ เหล่าบรรดาญาติ ๆ ตระกูลเช่าก็เริ่มพูดขึ้นมาด้วยเช่นกัน พวกเขาบอกว่าจางฉุ้ยจวินไม่น่าโทรไปหลอกลวงให้ลูก ๆ ของพวกเขามาที่นี่ด้วยเลย แล้วพวกเขาก็ยังบอกอีกว่า หลังจากนี้ถ้ากลับไปที่บ้านแล้ว พวกเขาก็ต้องหางานทำอย่างจริงจัง
จางฉุ้ยจวินได้ยินดังนั้น เขาก็รีบถลึงตาใส่คนเหล่านั้นด้วยความไม่พอใจทันที “ฉันไปหลอกลวงใครไม่ทราบ ? ฉันได้หลอกพวกลุง ๆ ป้า ๆ ให้มาที่นี่ หรือว่าไปหลอกเอาเงินรึไง ? ฉันก็แค่เห็นว่าที่นี่มันหาเงินได้ และเห็นว่าพวกลุง ๆ ป้า ๆ เป็นญาติสนิทก็เลยชวนมา แต่พวกคุณดันทำตัวเป็นตือโป๊ยก่ายเล่นงานฉันกลับ คิดแต่จะเกาะฉันกิน”
จากนั้นเขาก็ยังพูดฉีกหน้าออกไปอีกว่า “พวกลุง ๆ ป้า ๆ กลัวว่าถ้าฉันมีเงินขึ้นมาแล้ว ฉันจะไม่ไว้หน้าพวกลุงใช่ไหมล่ะ พอโวยวายนิดเสียงดังหน่อยก็เริ่มด่าฉัน แต่เถ้าแก่ใหญ่คนนั้นที่เป็นคนจุดไฟปลุกความมั่นใจให้ฉันทุกวัน เขาก็ไม่เห็นจะอวดดีหรือถือตัวเหมือนกับพวกลุง ๆ เลยสักนิด”
จางฉุ้ยเหลียนหมดคำจะพูดขึ้นมาทันที และเธอก็ขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเขาด้วย เธอเมินหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ ฟู่ซินจึงได้แสดงสีหน้าตำหนิเขาออกมา “นายยังจะไม่ยอมจบใช่ไหม ? ถ้าไม่ยอมจบก็ออกไปเลยไป ! ”
จางฉุ้ยจวินไม่เคยกินอาหารในร้านอาหารที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เพราะตอนที่เขามีเงินเขาก็ได้กินแค่ซาลาเปา แต่พอตอนที่เขาไม่มีเงินเขาก็ต้องเก็บผักที่ค่อนข้างช้ำเอากลับมาทำอาหารที่บ้าน วันนี้ไหน ๆ เขาก็ได้มาร้านอาหารใหญ่โตแบบนี้แล้ว ถ้าไม่กินก็คงต้องเดินจากไป แต่ถ้าได้กินแค่ไขมันสักนิดก็คงจะไม่เป็นไร
เมื่อจางกว่างฝูเห็นว่า มีคนกำลังจะควบคุมลูกชายของตัวเอง เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบ ๆ และมองไปที่จานอาหารที่วางเรียงรายกันอยู่บนโต๊ะ ทุกคนต่างก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ในระหว่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ได้แนะนำหูจิ่นเหมิงให้ฟู่ซินได้รู้จัก ฟู่ซินตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังมิวายเห็นใจเด็กผู้หญิงคนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
จากนั้นเขาก็พูดกับจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “ฉันยังมีธุระส่วนตัวที่จะต้องจัดการอยู่ที่นี่อีก 2 วัน ถึงจะกลับไปที่เมือง Q ได้ เพราะอย่างนั้นฉันก็จะอยู่รอผู้ปกครองของเด็กคนนี้เป็นเพื่อนเธอเอง”
จางกว่างฝูที่รักในเงิน ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้จางฉุ้ยเหลียนเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น โดยที่ไม่สนใจความคิดเห็นของคนในครอบครัวแบบนี้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงได้พูดแทรกออกไปว่า “แกพาเด็กคนนั้นไปส่งที่สถานีตำรวจก็จบแล้ว เด็กตัวเล็กแค่นี้ แกจะพาหล่อนมาเลี้ยงอาหารในร้านอาหารใหญ่โตราคาแพงแบบนี้ทำไม แกจะไปห่วงอะไรหล่อนนักหนา แกรวยแล้วกลัวใช้เงินไม่หมดรึไง ”
จางฉุ้ยเหลียนแสยะยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “ถ้าพ่อปวดใจแทนหนูมากขนาดนั้น พ่อก็ช่วยหนูจ่ายค่าห้องพักในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ก็ได้นะคะ ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนอื่นพ่อก็ไม่ต้องให้หนูหรอก แค่เอาค่าห้องของพวกลุง ๆ ป้า ๆ ให้หนูก็พอแล้ว”
จางกว่างฝูร้อนใจขึ้นมาทันที “ฉันไม่มีเงิน แล้วใครใช้ให้แกมาพักโรงแรมแพง ๆ แบบนี้กันล่ะ แค่โรงแรมเล็ก ๆ ก็พอแล้ว แกทำตัวเป็นหมาป่าหางโตเอง” เมื่อพูดจบเขาก็บ่นพึมพำต่อว่า “แล้วอีกอย่าง แกมีเงินมากมายขนาดนั้น แกจะไปกลัวทำไม ผู้อาวุโสอย่างเราก็เดินทางมาที่นี่กับแก ให้แกช่วยออกค่าที่พักให้แค่นี้ มันก็คงไม่หนักหนาเกินไปหรอกมั้ง”
จางฉุ้ยเหลียนแสยะยิ้มออกมาด้วยสีหน้าดูถูก “เหอะ ! ตอนนี้พ่อได้ตัวของจางฉุ้ยจวินกลับมาแล้ว พ่อก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะ จำคนที่ช่วยพ่อเอาไว้ไม่ได้ซะอย่างนั้น ตอนแรกพ่อเป็นคนถ่อมาขอความช่วยเหลือจากหนูเองไม่ใช่หรือ ? พ่อเป็นคนบอกเองว่าถ้าหนูอยู่โรงแรม พ่อก็จะอยู่โรงแรมเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ เอง แล้วตอนนี้พ่อไม่รู้แล้วหรือว่าตัวเองควรจะพูดยังไง”
เมื่อพูดจบจากฉุ้ยเหลียนก็โยนตะเกียบที่อยู่ในมือโยนลงไปบนโต๊ะอย่างแรง จากนั้นเธอก็พูดออกไปด้วยความโกรธว่า “เรามาพูดกันด้วยเหตุผลดีกว่าค่ะ พ่อลองคิดดูสิว่า การที่เราเดินทางในครั้งนี้ เราต้องใช้ทั้งเงิน ทั้งความรู้สึก ทั้งกำลังแรงกาย แล้วจะให้หนูคิดยังไง ? ”
จางกว่างฝูถูกลูกสาวตอกกลับจนพูดไม่ออก คุณลุงใหญ่ตระกูลเช่าที่นั่งเงียบมาตลอด ก็โพล่งพูดออกไปในที่สุด “ฉุ้ยเหลียน พ่อกับแม่ของแกก็เป็นคนที่ให้กำเนิดแกมา และเลี้ยงดูแกมาอย่างยากลำบาก แกอย่ามาทำตัวไม่รู้จักสำนึกบุญคุณแบบนี้นะ ครอบครัวเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันสิ แกมีเงินทุกคนต่างก็รู้ดี ปกติแล้วแกก็ไม่ได้ช่วยออกค่าใช้จ่ายอะไรภายในบ้านเลย พอเรามีปัญหาและมาขอความช่วยเหลือจากแก แกก็ไม่คิดที่จะช่วยเราอย่างนั้นหรือ ? ”
วันนี้จางฉุ้ยเหลียนต้องการให้พ่อและเหล่าบรรดาญาติพี่น้องของเธอขายขี้หน้า และทางที่ดีก็ไม่ควรไปมาหาสู่กันอีกตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เพราะอย่างนั้นเธอจึงได้โต้เถียงกลับไปว่า “คุณลุงใหญ่พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะคะ ทำไมหนูจะไม่ช่วยเหลือที่บ้านล่ะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะหนู จางฉุ้ยจวินจะได้ไปทำงานในโรงงานเหมืองทรายของฟู่ซินได้หรือ ? แต่ผลสุดท้ายเขากลับก่อเรื่องที่โรงงานเหมืองทรายของฟู่ซิน ซึ่งเรื่องนี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหนูเลย!”
เดิมทีจางฉุ้ยจวินก็รู้สึกละอายใจกับเรื่องที่เขาทำไว้กับฟู่ซินอยู่แล้ว แต่วันนี้จางฉุ้ยเหลียนดันพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยยิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปสู้หน้ากับทุกคน ส่วนทางด้านของจางกว่างฝู เขาก็เหมือนกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ได้แต่นิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“ไอ้หยา โชคดีที่เถ้าแก่ฟู่เป็นคนใจดี เขาช่วยเหลือพวกเรา แถมยังเลี้ยงอาหารพวกเราอย่างเต็มที่อีกต่างหาก เถ้าแก่ฟู่ เราขอดื่มฉลองให้คุณ 1 แก้ว เถ้าแก่เป็นคนที่มีคุณธรรมมาก เรายินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเถ้าแก่!” ชายฉกรรจ์อีกคนจากตระกูลเช่าก็ได้ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ชูแก้วขึ้นมาเตรียมจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนานี้
ฟู่ซินเข้าใจความคิดของจางฉุ้ยเหลียนเป็นอย่างดี เขานั่งนิ่งอยู่ที่เดิมและพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “เรื่องนี้ฉันเห็นแก่หน้าของฉุ้ยเหลียนมาโดยตลอด จึงไม่อยากซักไซ้ไล่ถามต่อ”
เจ้าตัวก็พูดออกไปอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จางฉุ้ยจวินได้มาทำงานที่โรงงงานเหมืองทรายของเขา หรือเรื่องที่เขาเลี้ยงอาหารทุกคนมื้อใหญ่ ทุกอย่างมันก็เป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของจางฉุ้ยเหลียน เพราะอย่างนั้นผู้ชายตระกูลเช่าก็หน้าเปลี่ยนสีในทันที อีกทั้งก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง
ผู้ชายคนนั้นนั่งลงอย่างอึดอัดใจ คุณป้าใหญ่ตระกูลเช่าก็หันไปถลึงตาใส่จางกว่างฝู เมื่อจางกว่างฝูถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาในทันที สุดท้ายเขาก็ได้เอ่ยปากพูดออกไปว่า “แต่ในตอนนั้นเธอเองก็ช่วยลูกชายของฉันไม่ได้ไม่ใช่หรือ และก็เป็นลูกเขยของฉันที่เป็นคนช่วยเขาออกมา” ฟังจากที่จางกว่างฝูพูดแล้ว ก็เหมือนว่าเขาต้องการที่จะบอกว่า ฟู่ซินนั้นไม่มีความสามารถเอาซะเลย อีกทั้งความสามารถของฟู่ซินก็ยังห่างชั้นกับลูกเขยของเขาด้วย เพราะอย่างนั้นการที่ฟู่ซินต้องช่วยเหลือลูกชายของเขา มันก็เป็นเพราะลูกเขยของเขาด้วย
“นี่พ่อยังจำลูกเขยของพ่อได้อยู่อีกหรือคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเหยียดยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ลูกเขยของพ่อก็ช่วยลูกชายของพ่อเอาไว้เหมือนกัน เพราะครั้งนี้เขาก็ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขา พ่อไม่คิดบ้างหรือว่าทำไมเราถึงไม่แจ้งตำรวจ แล้วพ่อคิดว่าอันพาลถมึงทึงที่อยู่ในกรมตำรวจเหล่านั้นจะช่วยพวกเราอย่างนั้นหรือ ? แล้วพวกลุง ๆ ป้า ๆ คิดว่าจะได้กินดีอยู่ดีในเมืองแบบนี้ไหม ? เราควรพึ่งพาบารมีของใคร พวกลุง ๆ ป้า ๆ ไม่รู้กันเลยหรือคะ!” จางฉุ้ยเหลียนตบมือลงไปบนโต๊ะกินข้าวอย่างแรง จนหูจิ่นเหมิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงกับไม่กล้าที่จะกินต่อ
“วันนี้หนูคงพูดได้แค่นี้ เพราะถึงอย่างไรหนูก็แต่งงานมีครอบครัวแล้ว ตอนที่ยังไม่ได้ออกเรือน พวกลุง ๆ ป้า ๆ ก็เป็นคนประกาศข่าวลือนั้นออกไปไม่ใช่หรือคะ แต่เรื่องที่หนูได้เข้าไปเรียนในวิทยาลัย รวมทั้งเรื่องที่หนูได้แต่งงานออกเรือน หนูก็ไม่เคยพึ่งพาอาศัยบารมีของพ่อแม่และพวกคุณลุงคุณป้าเลยสักครั้ง หลังจากที่คุณปู่จากไป คุณลุงใหญ่อาจจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปหมดแล้ว แต่หนูไม่เคยลืม” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่หนูจะยอมช่วย ผู้ชายที่ไว้หนวดเครา อย่าคิดว่าหนูเหมือนเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ถ้าพวกลุง ๆ ป้า ๆ มีความสามารถมากพอก็คงจะจัดการเรื่องนี้กันเองแล้ว แต่การที่พวกคุณไม่มีความสามารถก็จงถ่อมตนเอาไว้บ้าง”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าทุกคนไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมา เธอจึงหันไปพูดกับหูจิ่นเหมิงเบา ๆ ว่า “กินเสร็จแล้วรึยัง ? ”
หูจิ่นเหมิงพยักหน้าเป็นการตอบรับ จางฉุ้ยเหลียนจึงลุกขึ้นยืนและหยิบกระเป๋าตังหนังของตัวเองออกมา จากนั้นก็ดึงธบัตรที่ม้วนกันอยู่สองสามใบออกมาและโยนลงไปบนโต๊ะ “นี่เป็นค่าเดินทางที่หนูช่วยจ่ายให้กับพวกคุณ หนูคืนห้องพักไปแล้ว พวกลุง ๆ ก็ซื้อตั๋วกลับเองแล้วกันนะคะ!”
เมื่อพูดจบเธอก็ลากตัวของหูจิ่นเหมิงออกไปด้วยความเย่อหยิ่ง ฟู่ซินส่งเสียงไอแห้ง ๆ ออกมา และพูดกับทุกคนออกไปว่า “เชิญคุณลุงคุณป้ากินอาหารมื้อนี้กันตามสบายเลยนะครับ เดี๋ยวผมจ่ายให้เอง ค่อย ๆ กินนะครับ พอกินเสร็จแล้วก็เก็บของกลับบ้านกันได้เลย ! ”
เขาตบมือลงไปบนไหล่ของเจิ้งเซี่ยเฟิ่งที่กำลังนั่งโง่อยู่ จากนั้นก็เดินไปคิดเงินและเดินตามจางฉุ้ยเหลียนออกไปทันที ……….
MANGA DISCUSSION