ตอนที่ 217 ขายตรงอย่างแน่นอน
และคาบเรียนในช่วงบ่ายก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ในคาบเรียนนี้คนที่มาเป็นผู้บรรยายก็เป็นคนที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเช่นเดียวกับจางฉุ้ยจวิน เขาพูดเรื่องทั่ว ๆ ไปด้วยสำเนียงบ้านเกิด ซึ่งหลี่หยวนเหอก็ได้ผ่อนคลายลง และลดความหวาดระแวงของตัวเองลงไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ผู้บรรยายที่เป็นคนบ้านเดียวกันได้เล่าให้พวกเขาฟังถึงยุคสมัยที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นยุคสมัยที่กำลังรุ่งเรืองและร่ำรวยมหาศาล เป็นยุคสมัยที่ทำให้ความฝันกลายเป็นความจริง ในตอนนี้หลี่หยวนเหอก็เอาแต่นั่งสัปหงก ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนก็ไม่ได้ใฝ่หาความก้าวหน้า มีเพียงแค่จางฉุ้ยจวินที่ตั้งใจฟังอย่างกระตือรือร้น เขาทั้งตบโต๊ะทั้งพยักหน้าอย่างเห็นด้วยในคำพูดของผู้บรรยาย
เพราะอย่างนั้นผู้บรรยายจึงชอบพูดกับจางฉุ้ยจวินแค่คนเดียว หลังจากที่คุยกันอยู่พักใหญ่ก็วกกลับมาเรื่องของคนในครอบครัว เมื่อได้ยินจางฉุ้ยจวินพูดถึงหุ้น เขาก็ใช้เรื่องหุ้นมาเป็นใบเบิกทางทันที เขาได้อธิบายว่าอะไรคือการทำธุรกิจ และอะไรถึงเรียกว่าการเงินให้กับจางฉุ้ยจวินได้ฟัง
จางฉุ้ยจวินพยักหน้าเป็นการตอบรับ และยังพูดด้วยความรู้สึกเหมือนเจอคนพวกเดียวกันอีกว่า : “ผมรู้ ผมรู้ครับ เถ้าแก่ที่ผมเคยทำงานด้วยเป็นเพื่อนกับพี่สาวของผม เขาทำเงินได้อย่างมหาศาล เปลี่ยนเงิน 1 หยวนให้กลายเป็นเงิน 1,000 หยวน ผมยังไม่ได้เจอโอกาสที่ดีแบบนี้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผมก็คงจะรวยเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว”
ผู้บรรยายคนนั้นเบะปากอย่างดูถูก และพูดออกไปว่า “นั่นเขาเรียกว่าภาวะฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นายไม่เห็นหรือว่าหลังจากนั้นมีคนล้มละลายไปตั้งเท่าไหร่ ? และมีอีกตั้งกี่คนที่ต้องกระโดดตึกเพื่อจบชีวิตตัวเอง อีกอย่าง ของพวกนี้มันก็เป็นเพียงแค่กำไรชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นกำไรในระยะยาว”
เมื่อวานหัวหน้าที่พาเดินชมโรงงานได้อธิบายถึงเรื่องฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ให้เขาฟังแล้ว ว่ากันว่าราคาอาคารที่อยู่อาศัยได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหันในช่วงปลายปี 1980 เพราะเจ้าของโครงการทั้งสองฝั่งต่างก็จับจ้องช่วงเวลานี้ พื้นที่ 1 ตารางเมตรถูกตีค่าสูงขึ้นจาก 6 หยวนเป็น 6,000 หยวนในเวลาอันรวดเร็ว แต่เมื่อปีที่แล้วกลับล้มเหลว และทุกอย่างก็ได้จบสิ้นลง
จางฉุ้ยจวินไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ได้ และทำไมมันถึงเกิดสภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ขึ้นมา ผู้บรรยายก็ไม่ได้พูดอธิบายใด ๆ ได้แต่ส่งยิ้มอย่างเลศนัยให้กับเขาเท่านั้น ราวกับว่าต้องการยิ้มให้ความไม่รู้ของเขาและบอกกับเขาเป็นนัย ๆ ว่า หลังจากนี้เป็นต้นไปเขาควรจะต้องรู้เอาไว้
เมื่อเห็นจางฉุ้ยจวินกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ผู้บรรยายคนนั้นก็รีบเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาทันที เขาใช้ความเพ้อฝันของจางฉุ้ยจวินมาจับความคิดของเขา จากนั้นก็หยิบปากกาขึ้นมาวาดโครงร่างบนกระดาษสีขาวพลางพูดขึ้นมาว่า “การเป็นเศรษฐีเงินล้านไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เราสามารถผลักดันความฝันของนายให้กลายเป็นความจริงได้อย่างรวดเร็ว”
“นายจะกลายเป็นเศรษฐีอย่างสมบูรณ์แบบภายใน 5 ปี สามารถทำกำไรได้ 200,000 ต่อ 1 ปี ทำกำไรได้ 16,000 หยวน ใน 1 เดือน ดูเหมือนว่ามันเยอะมากเลยใช่ไหมล่ะ ? ” ผู้บรรยายที่เป็นคนเดียวกันคลี่ยิ้มจนตาหยีพร้อมกับถามขึ้น
จางฉุ้ยจวินพยักหน้าด้วยสีหน้าลำบากใจ “เยอะมากเลยครับ เป็นไปไม่ได้หรอก”
ผู้บรรยายคนนั้นหัวเราะออกมา “ฉันจะคิดบัญชีให้นายเอง โครงการของเรามีชื่อว่า แสงแดดและความรัก เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของคนที่มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับนายและฉัน นี่คือนโยบายระดับชาติเป็นการยินยอมของประเทศ และก็เป็นการส่งเสริมระดับประเทศด้วย สินค้าทั้งหมดของเราเป็นสินค้าชั้นเลิศจากบริษัทข้ามชาติของอเมริกา ทางเจ้าของได้ขายส่งออกสินค้ากับต่างประเทศเป็นเวลายาวนานมากกว่า 20 ปีแล้ว อย่าว่าแต่เศรษฐีหนึ่งล้านเลย เศรษฐีเป็นสิบล้านก็เดินกันเกลื่อนกลาดไปหมด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของตางฉุ้ยจวินก็เปล่งประกายลุกวาวขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “สินค้าอะไรหรือครับ ? ”
ผู้บรรยายยิ้มและตอบกลับไปว่า : “มันคือเครื่องมือกายภาพบำบัด มีชื่อเรียกว่า คังเล่ออาน ราคา 2,999 หยวน ถ้านายอยากเข้าร่วมโครงการของเรา นายก็จะต้องซื้อมัน 1 เครื่องเพื่อที่นายจะได้เป็นลูกค้าของบริษัทเรา จากนั้นจึงจะมีสิทธิ์กลายมาเป็นพนักงานขายได้”
จางฉุ้ยจวินงุนงงเล็กน้อย “3,000 หยวนเลยหรือ ? แพงมากเลยนะครับ”
ผู้บรรยายหัวเราะออกมา “ปฏิกิริยาแรกเริ่มของฉันก็เหมือนกับของนายตอนนี้นี่แหละ แต่นายเห็นไหมว่าตอนนี้เงิน 3,000 หยวนมันไม่ได้อยู่สายตาของฉันเลย แล้วนายรู้ไหมว่าทำไม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนถามออกไปด้วยความดีใจ “เพราะคุณมีเงิน ? ”
ผู้บรรยายพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่แล้วล่ะ เพราะฉันขายเครื่องบริหารออกไปได้วันละ 1 เครื่อง ได้ค่าคอมมิชชั่น 40 เปอร์เซ็นต์ และฉันจะบอกนายนะว่า ถ้าฉันขายมันออกไปเครื่องละ 3,000 หยวน ฉันก็จะได้กำไรจากการขายแต่ละครั้งจำนวน 1,200 หยวน และถ้าคนที่อยู่ในสายงานของฉัน เขาขายออกไปได้ 1 เครื่อง ฉันก็จะได้รับกำไร 40 เปอร์เซ็นต์ เทียบเท่ากับ 1,200 หยวน นายลองคิดดูสิ ถ้านายหาคนที่อยู่ในสายงานของนายมาได้ 10 คน และพวกเขาสามารถขายออกไปได้เดือนละ 1 เครื่อง ก็จะคิดเป็นเงิน 12,000 หยวนเลยไม่ใช่หรือ ? ต่อจากนั้นสายงานของนาย ก็จะไปตามหาสายงานของตัวเองต่อ แล้วทุกคนก็หาคนมาได้อีกคนละ 10 คน คิดดูสิว่านายจะได้เงินเท่าไหร่ ? ”
จางฉุ้ยจวินแทบจะกลายเป็นบ้าไปในทันที ตอนนี้นิ้วมือของเขาก็เอามาคิดคำนวณไม่พอแล้ว นี่…นี่…นี่…นี่ฉันจะรวยแล้วหรือเนี่ย!
“ฉันก็พูดกับเสี่ยวจวินแล้วว่า ถ้าของมันดีขนาดนั้น แล้วพวกเขาจะให้เรามาขายให้ทำไม ? อีกอย่างราคาก็แพงขนาดนั้น จะเอาไปขายให้ใครได้ ? ” หลี่หยวนเหอแสดงสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมา เขาอยากจะอธิบายให้จางฉุ้ยจวินฟัง แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่ามันคือธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เพราะชาติที่แล้วเธอก็เคยได้ยินเรื่องธุรกิจแชร์ลูกโซ่มาก่อน อย่าเพิ่งไปพูดถึงตัวสินค้าน้ำยาล้างทำความสะอาดพวกนั้นเลย และก็ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องประสบการณ์ที่โชกโชนเหล่านั้นด้วย และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ต้องพูดถึงพวกเพื่อนเก่าที่ไม่ได้ติดต่อกันนานและเหล่าบรรดาญาติที่ถูกล้างสมองอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยเช่นกัน เพราะแค่เราออกไปเดินเล่นอยู่ในห้างสรรพสินค้าในช่วงกลางวัน คนพวกนั้นก็สามารถลากเราที่กำลังเดิน ๆ อยู่ให้มาเป็นลูกค้าของพวกเขาได้แล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะดึงเราเข้ากลุ่ม 15-16 คน และเริ่มพูดถึงคุณสมบัติของน้ำยาล้างจานที่น่าอัศจรรย์ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาจะให้เราเขียนเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของเราเอาไว้ จากนั้นพวกเขาก็จะเตรียมตัวบุกไปหาเราที่บ้าน
ในชาติที่แล้วจางฉุ้ยเหลียนก็ได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกตั้ง 40 ปี คนที่หมดเนื้อหมดตัวไปกับการขายตรงรอบ ๆ ตัวของเธอก็มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ เด็กที่เพิ่งเข้าสังคมยังไม่มีการป้องกันในตัวเองก็จบเห่กันมานักต่อนักแล้ว และช่วงวัยที่น่ากลัวที่สุดก็คือ วัยกลางคนที่ยังต้องแบกความเพ้อฝันของพวกญาติ ๆ เอาไว้
ตั้งแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันไปจนถึงเครื่องสำอาง ตั้งแต่ของบำรุงไปจนถึงของใช้ในบ้าน ถึงขนาดมีการผลิตสร้อยที่ใส่อยู่บนคอสามารถรักษาโรคกระดูกคอได้ ปานที่มีมาตั้งแต่เกิดสามารถเช็ดออกได้ด้วยครีมวิเศษ สุดท้ายก็รักษาโรคมะเร็งโดยไม่ต้องใช้เคมีบำบัด กินอาหารเสริมบำรุงชะลอความแก่ มากมายหลายอย่างจนเราคาดไม่ถึง สร้าง “ความโอ่อ่า” มากมายด้วยเงินทองหลังเกษียณให้กับเหล่าชายชราและหญิงชรามากมาย ซึ่งของเหล่านี้ต่างก็เป็นบริษัทที่มีใบประกอบการอย่างเป็นทางการ แถมยังได้รับการจดสิทธิบัตรให้สามารถโฆษณาทางโทรทัศน์ได้อีกด้วย
พวกนี้ก็เป็นเพียงแค่บริษัทขายตรงที่น่ารำคาญเท่านั้น อย่างน้อยก็ได้เห็นตัวสินค้าจริง ๆ เพื่อให้ได้ใบเสร็จมา จากนั้นก็จะได้เลื่อนขั้น คนพวกนั้นถึงกับควักเงินของตัวเองออกมาจ่าย
แต่คนที่ไม่คิดจะหยิบจับอะไรเลยเหล่านั้น จะมาแบกความฝันเปลี่ยนโลกได้ยังไง แถมยังมีสมาชิก ‘กลุ่มลับ’ ใต้ดินในประเทศอีกเป็นจำนวนมากด้วย เหมือนคนพิการทางสมองคิดเองไม่ได้ โน้มน้าวคล้อยไปตามคำพูดเหล่านี้ เหมือนกับเจ้าจ๋อที่วิ่งเพ่นพ่านไม่ทั่วพยายามดึงกล้วยออกมาจากร่องฟันโดยที่ไม่รู้วิธีอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็โยนไปบนต้นไม้ เพราะคิดว่านี่คือสิ่งที่ตัวเองลงทุน
ตั้งแต่เชี่ยวเชี่ยวเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จางฉุ้ยเหลียนก็ได้พบกับกลอุบายหลอกลวงใหม่ ๆ แทบจะทุกวัน หลังจากที่เปิดเรียนไปได้ไม่ถึง 2 วัน ก็มีคนส่งข้อความมาหาเธอ : แม่คะ หนูเกิดอุบัติเหตุ ช่วยโอนเงินเข้ามาในเลขบัญชีนี้ นี่คือxxx อาจารย์ของหนู
ผู้ปกครองบางคนคงอาจจะร้อนใจก็เลยโอนเงินไปให้ทันที ต่อมาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เลยโทรศัพท์กลับไปถามเหตุการณ์กับลูกของตัวเอง ด้วยความที่จำนวนเงินที่โอนไปนั้นสูง ประกอบกับลูก ๆ ของพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย พวกผู้ใหญ่จึงนิ่งงันไปทันที ถึงแม้ว่าจะโดนหลอก แต่ถ้าไปแจ้งตำรวจ และตำรวจสามารถจับผู้ร้ายได้ก็แล้วไป แต่ถ้าจับไม่ได้ก็คงต้องรับความซวยไปแทน
จางฉุ้ยเหลียนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มานักต่อนักแล้ว เธอจึงค่อนข้างระแวดระวังเป็นพิเศษ ประกอบกับข่าวลือที่ได้ยินมาจากเซี่ยจวินในช่วงนี้ด้วยแล้ว หลังจากได้ฟังจากปากของหลี่หยวนเหอแล้ว ก็ยิ่งทำให้เธอมั่นใจได้ว่า นั่นคือธุรกิจแชร์ลูกโซ่หรือว่าธุรกิจขายตรงอย่างแน่นอน
เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่หยวนเหอถึงได้หนีออกมาได้ แล้วทำไมจางฉุ้ยจวินถึงออกมาไม่ได้ล่ะ ? แล้วเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ไปกับเขาล่ะ อยู่ที่ไหน
หลี่หยวนเหอพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ฉันไม่ได้หนีออกมาสักหน่อย ในนั้นไม่มีใครสนใจพวกเราหรอก ที่นั่นคนเยอะจะตายไป มีคนตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นั่นเยอะมาก ฉันก็เลยเกิดความคิดว่า ทำไมบริษัทใหญ่ขนาดนั้นถึงไม่รับสมัครบุคคลที่มีความสามารถล่ะ แถมยังลากพวกเราเข้าไปอีกต่างหาก อีกอย่างอากาศข้างนอกในตอนนี้ก็หนาวจะตาย แล้วยังจะให้พวกเรานอนบนพื้นกันอีก”
ฟู่ซินขมวดคิ้ว “ก็ในเมื่อออกมาได้ ทำไมพวกเขาถึงไม่กลับบ้านล่ะ ? ”
“ถูกล้างสมองไง ! ” จางฉุ้ยเหลียนโพล่งออกมาอย่างหมดความอดทน
ฟู่ซินจึงได้เบนสายตาจากจางฉุ้ยเหลียนไปมองหลี่หยวนเหอและถามขึ้นว่า “ล้างสมองยังไง ? ”
หลี่หยวนเหอหัวเราะออกมา “พวกเขาให้เราเข้าเรียนทุกวัน กลุ่มคนขนาดใหญ่ต่างพากันส่งเสียงเชียร์โห่ร้อง และตะโกนคำขวัญของตัวเอง ฉันไม่ได้ตั้งใจฟังพวกเขาบรรยายหรอก พอฉันนั่งหลับ ฉันก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว หัวหน้าของที่นั่นไม่อยากให้ฉันอยู่ที่นั่น ฉันไม่มีเงินและก็ยังขี้เกียจด้วย ฉันเห็นว่าที่นั่นไม่มีเงินเดือนให้ ฉันก็เลยกลับมาที่บ้าน”
“เสี่ยวจวินก็ไม่ได้ขวางแกเอาไว้หรือ ? ” จางกว่างฝูยังคงนั่งฟังด้วยความหวัง
หลี่หยวนเหอยักไหล่อย่างจนปัญญาและพูดว่า “คนในครอบครัวของพวกพี่ก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน อีกอย่างที่นั่นมันก็ไม่มีที่อยู่ ถ้าฉันออกมาแล้ว พวกเขาก็จะได้มีที่อยู่ไง”
“พวกเขาไปถึงก็เชื่อเลยอย่างนั้นหรือ ? ” ถึงอย่างไรฟู่ซินก็ไม่เข้าใจ ที่นั่นขายยาเสพติดกันรึไง ทำไมพวกเขาถึงได้ขังคนเหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด หลี่หยวนเหอดันทำตัวเป็นซุนหงอคง เขาก็เลยหนีออกมาได้
เดิมทีการเรียนแบบนี้ไม่ได้เรียนกันแค่วันเดียวแล้วจะจบ จำเป็นจะต้องเข้าร่วมเรียนอีกหลายคาบและเรียนซ้ำ ๆ จนทำให้คุณเกิดความศรัทธา
คาบเรียนระดับ 5 ขึ้นไป ทำให้ทุกคนต่างก็รู้ว่าจะต้องหาเงินยังไง ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะหลี่หยวนเหอนั้นโง่เกินไป แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่เข้าใจและไม่อยากฟังมากกว่า เขาก็เลยปฏิเสธที่จะเข้าฟังในคาบหลังจากนั้น อีกทั้งเขาก็ยังคิดว่าในเมื่อตัวเขาไม่ตั้งใจเรียนมากพอไม่มีความทะเยอะทะยาน ยังไง ๆ เขาก็ต้องถูกมองข้ามอย่างแน่นอน
จางฉุ้ยเหลียนยกมือขึ้นมาตบไปบนหน้าผากของตัวเองอย่างแรง โดยที่ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่มีธุรกิจแชร์ลูกโซ่ออกไปสู่ท้องตลาดเกลื่อนกลาดมากที่สุด จนในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมาประเทศจึงได้ออกฎหมายปราบปรามธุรกิจแชร์ลูกโซ่ในท้องตลาด ถึงแม้ว่าจะมีบริษัทแชร์ลูกโซ่จำนวนมากต้องล้มละลาย แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถทำลายได้ก็คือ ความคิดที่เกี่ยวกับธุรกิจแชร์ลูกโซ่ที่ฝั่งรากลึกลงไปในสมองของผู้คน
คำโกหกต่อให้พูดมันออกมาเป็นพัน ๆ ครั้ง ยังไง ๆ คนก็ย่อมคิดว่าเป็นความจริง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนประเภทนี้อีกเป็นจำนวนมากที่ยังคงเชื่อมั่นและคิดว่านั่นคือหนทางสู่ความมั่งคั่งที่แท้จริง ประกอบกับคนหัวกะทิแต่ละหลากหลายอาชีพ และคนที่เป็นเถ้าแก่คนนั้นก็มีดีกรีเป็นถึงบัณฑิตมหาวิทยาลัย แถมยังเป็นสมาชิกในรัฐบาลมาพูดทั้งที จะไม่น่าเชื่อได้ยังไง ?
หลี่หยวนเหอ เด็กคนนี้ไม่ได้ฉลาดแถมยังโง่เกินไปด้วยซ้ำ ไม่ยอมคิดใคร่ครวญไตร่ตรองก่อนว่านั่นคือความจริงหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นปกติเขาก็เป็นคนขี้เกียจและรักในการกินอยู่แล้ว เขาโทรไปขอเงินจากครอบครัว แต่พวกเขาก็ไม่มีให้สักแดงเดียว ทำให้เขาต้องไปเขียนใบสมัครเพื่อไปทำงานหาเงินที่นั่น จากนั้นก็กินเปอร์เซ็นต์ในการขาย แต่เพราะชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ที่ผ่านมา จึงไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะมีงานที่ดีทำได้ คนอื่นก็ขี้เกียจสันหลังยาวดูไม่จริงจัง สุดท้ายก็เดินตบก้นกลับไปเป็นคนว่างงานอยู่ที่บ้าน
แต่เรื่องที่น่าเสียดายก็คือ พี่น้องสองในสามคนอย่างพี่ใหญ่และลุงเขยสี่ ก็ถูกจางฉุ้ยจวินพาไปที่นั่นด้วย แล้วไหนจะยังมีน้องชายของพี่สะใภ้ใหญ่ของฟู่ซินอีก จางฉุ้ยเหลียนถึงกับต้องนวดขมับเลยทีเดียว เธอรู้สึกเหมือนสมองจะทะลักออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าไม่ได้จริง ๆ เราก็ไปลากตัวพวกเขากลับมากันเถอะ!” เซี่ยจวินมองไปยังท่าทางเงียบขรึมของจางกว่างฝู
เขารู้สึกเจ็บปวดใจกับความสัมพันธ์ของจางฉุ้ยเหลียนและฟู่ซินไม่น้อย เขาจะอาสาเอง แต่กลับถูกจางฉุ้ยเหลียนปฏิเสธ “ไม่ได้ ถ้าไปช่วยแล้วไม่สำเร็จขึ้นมา แล้วคนที่อยู่ข้างในล่ะจะทำยังไง ? ”
ฟู่ซินขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “งั้นก็แจ้งตำรวจเถอะ บอกว่ามีคนหายตัวไปหรือไม่ก็ถูกหลอกไปขาย”
“ได้ที่ไหนกันเล่า แบบนั้นตำรวจก็จับเสี่ยวจวินด้วยสิ ? เธอ ! ทำไมเธอถึงได้มีความคิดแย่ ๆ แบบนี้!” จางกว่างฝูที่เงียบมาเนิ่นนานก็พูดปฏิเสธออกมา เขาลุกพรวดขึ้นและบ่นพึมพำใส่ฟู่ซินทันที
MANGA DISCUSSION