ตอนที่ 216 เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะต้องจัดการกับสวี๋ต้าหยงอย่างไร และเธอก็ไม่รู้ว่าหลี่หยู่หวาเอาความหน้าด้านหน้าทนจากไหนมาเผชิญหน้ากับเธอ อีกทั้งเธอก็ไม่รู้เลยว่าหลังจากที่กู้จื้อเฉิงมองความเจ้าเล่ห์ของพี่เฉินออกแล้ว เขาจะรู้สึกเสียใจหรือว่าผิดหวังบ้างไหม
ในตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ถูกจางกว่างฝูและเซี่ยจวินเรียกตัวให้กลับไปที่เมือง Q โดยด่วน เพราะตระกูลจางเกิดเรื่องขึ้น และมันก็เป็นเรื่องใหญ่มากอีกด้วย
จางกว่างฝูได้มาขอร้องให้กู้จื้อเฉิงช่วย แต่กู้จื้อเฉิงก็ไม่สามารถบอกว่าเขาจะกลับบ้าน ก็จะกลับบ้านได้เลย หรือจะโทรศัพท์ไปจัดการเรื่องทุกอย่างก็จะสามารถจัดการได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องทำเรื่องยื่นขอลากับหน่วยงานของเขาก่อน ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้จางฉุ้ยเหลียนอุ้มคังคังกลับไปจัดการกับปัญหาที่บ้าน ส่วนร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในสุ่ยหยวน เขาก็จะไปเก็บเงินจากพนักงานคิดเงินเป็นครั้งคราว โชคดีที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าของจางฉุ้ยเหลียนมีโทรศัพท์ เพราะอย่างนั้นเธอจึงสามารถจัดการงานในร้านของเธอที่อยู่ในเมืองสุ่ยหยวนได้อย่างสบาย ๆ ตราบใดที่กู้จื้อเฉิงไม่ลืมไปเก็บเงินที่ร้าน ก็ย่อมไม่มีอุปสรรคอื่น ๆ ตามมาอย่างแน่นอน
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่บ้านกันแน่ และในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ จางกว่างฝูที่ตื่นตระหนกก็ไม่สามารถเปิดปากพูดออกมาได้ โชคดีที่มีเซี่ยจวินอยู่ข้าง ๆ เขาจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เธอฟังอย่างละเอียด
เรื่องนี้ต้องเท้าความย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่บริษัทตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าของฟู่ซินและจางฉุ้ยเหลียนเพิ่งจะเปิดกิจการได้ไม่นาน จางฉุ้ยจวินก็ได้ตามเพื่อนของเขาลงไปทางตอนใต้ เพราะเขาอยากที่จะลองออกไปเสี่ยงโชคดูสักครั้ง
“ตอนแรกมันก็ดีแหละ น้องชายของลูกโทรศัพท์กลับมาบอกที่บ้านว่า เขาได้ไปเจอกับสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง มันก้าวหน้ามาก และมันก็ให้ความสำคัญกับเขาด้วย แล้วเขายังบอกอีกว่า ถ้าลงทุนได้มันก็จะสร้างเงินให้กับเขาได้อย่างมากมายมหาศาล การลงทุนธุรกิจนี้ต้องใช้เงินประมาณ 3,000 หยวน แม่ของลูกก็เลยคิดที่จะไปปรึกษากับฟู่ซิน เพราะหล่อนอยากจะกู้เงินจากธนาคาร หล่อนคิดว่าถ้าเขาทำเงินได้ น้องชายของลูกก็ต้องทำเงินได้เหมือนกัน” จางกว่างฝูก้มหน้าลงสูบบุหรี่เงียบ ๆ เซี่ยจวินจึงเป็นคนเล่ารายละเอียดเรื่องทุกอย่างให้จางฉุ้ยเหลียนฟังแทน
หัวใจของจางฉุ้ยเหลียนเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ขึ้นมาในทันที ยังไม่ทันที่เซี่ยจวินจะพูดจบ หล่อนก็โพล่งถามออกไปว่า “ใช่งานที่ไม่กี่วันก่อนเขาพาคนในบ้านไปทำ และยังบอกอีกว่าเขาสามารถหาเงินได้เท่าไหร่ ๆ ต่อเดือนนั่นไหมคะ”
เซี่ยจวินถึงกับผงะในทันที ส่วนทางด้านของจางกว่างฝูก็เงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน “ลูกรู้ได้ยังไง น้องชายของลูกโทรศัพท์ไปบอกลูกแล้วอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา เพราะเธอไม่รู้ควรจะพูดอะไรออกไปดี นอกจากจะถามเซี่ยจวินออกไปด้วยใบหน้าซีดเผือดว่า “มีใครที่ไปแล้วยังไม่กลับมาบ้างคะ”
เซี่ยจวินขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับหันไปมองจางกว่างฝู จากนั้นก็พูดออกไปว่า “กั๋วซิ่งลูกชายของคุณลุงใหญ่ กั๋วฉวนลูกชายของคุณลุงรอง แล้วก็ยังมีน้าเขยสี่ด้วยอีกคน” เมื่อพูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองจางฉุ้ยเหลียน และพูดออกไปว่า “แล้วก็ยังมีน้องชายของภรรยาของฟู่เฉียง พี่ชายของฟู่ซินด้วยอีก 1 คน”
จางฉุ้ยเหลียน : “…………” ทำไมหนึ่งในสองคนนั้นถึงได้มาฉุดเอาน้องชายของพี่สะใภ้ใหญ่ของฟู่ซินไปด้วยได้ล่ะ
“ทำไมฟู่ซินถึงไม่บอกอะไรหนูเลยล่ะ” จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางเซี่ยจวิน เซี่ยจวินตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ก่อนจะพูดออกไปว่า “ตระกูลฟู่ยังไม่รู้เรื่องนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะเด็กที่ไปกับเสี่ยวจวินหนีกลับมา และตะโกนร้องบอกกับที่บ้านว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว และทุกคนที่ไปก็โดนหลอก เราก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นพวกเราก็เลยรีบโทรศัพท์ไปหาเสี่ยวจวิน แต่ก็ไม่มีคนรับสาย ไอ้หยา เขาบอกแค่ว่าจะต้องหาเงิน”
เซี่ยจวินไม่อยากให้จางฉุ้ยเหลียนเข้าไปเกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่ แต่ต่อให้จางฉุ้ยเหลียนไม่สนใจ ถึงยังไงเธอก็ต้องสนใจแล้วล่ะ
“แล้วเด็กคนนั้นว่ายังไงบ้างคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนอยากจะไปเจอกับเด็กคนนั้น อย่างน้อยเธอก็อาจจะได้รู้ที่อยู่และขบวนการของคนพวกนั้น
หลังจากที่ลงมาจากรถไฟ จางฉุ้ยเหลียนก็ได้เจอกับฟู่ซินที่ดูท่าทางเหนื่อยล้า หนวดเครารกรุงรัง และดูท่าทางเขาจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เซี่ยจวินมารับจางฉุ้ยเหลียนกลับไปที่บ้าน หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนกินข้าวเสร็จแล้ว เธอก็ตรงไปร้านของฟู่ซินทันที ซึ่งร้านเครื่องไฟฟ้าที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ก็มีห้องทำงานขนาดใหญ่อยู่ 1 ห้อง ภายในห้องทำงานนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ได้เจอกับหลี่หยวนเหอ เด็กที่โลภในเงินและได้ลงใต้ไปพร้อมกับจางฉุ้ยจวิน
หลี่หยวนเหอเป็นเพื่อนอันธพาลอันดับหนึ่งของจางฉุ้ยจวิน เด็กคนนี้มีความคิดที่เฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก เพราะเขาสามารถหนีจากแก็งอันธพาลพวกนั้นออกมาได้
เมื่อหลี่หยวนเหอเห็นห้องทำงานที่เปิดไฟสว่างจ้าและพี่สาวตัวดีของจางฉุ้ยจวิน จิตใจที่กระวนกระวายของเขาก็ผ่อนคลายลงในที่สุด จากนั้นก็เกิดความคิดที่จะเรียกร้องเงินค่าเสียหายจากพี่สาวของจางฉุ้ยจวิน และความคิดนี้มันก็สอดคล้องกับเรื่องที่เขาจะเล่าพอดี
ตั้งแต่ที่จางฉุ้ยจวินออกมาจากโรงงานของฟู่ซิน เขาก็ได้พาเพื่อนสองสามคนของเขา ไปทำงานในโรงงานของเหล่าหวังผู้ที่มีจิตใจอำมหิต มีหลายคนเริ่มมีเงินเก็บเพียงพอที่จะก่ออิฐสร้างบ้านขึ้นมาได้บ้างแล้ว เหล่าหวังคนนี้คือคนที่คิดจะโกงฟู่จินเพราะสินค้าของเขาขายไม่ออกก่อนหน้านี้ แต่ต่อมาแผนของเขาก็ล้มเหลวไป นั่นจึงทำให้ทั้งสองตระกูลกลายมาเป็นศัตรูกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ไม่ใช่เพราะว่าฟู่จินยังไปรังควานเขาหรอก แต่เพราะเหล่าหวังคนนี้ไม่สามารถปล่อยวางได้ต่างหาก เขาทำราวกับว่าเรื่องที่ตัวเองทำลงไปนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิด ทั้ง ๆ ที่ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่า เขาไม่ใช่คนที่มีคุณธรรม ไม่มีสัจจะวาจา แต่จู่ ๆ กลับกลายเป็นคนที่น่าเชื่อถือและน่าเกรงขามซะอย่างนั้น
เดิมทีจางฉุ้ยจวินก็เป็นคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรอยู่แล้ว เขาทำงานเป็นลูกน้องอยู่ภายใต้บัญชาของฟู่ซินมาโดยตลอด นั่นจึงไม่แปลกใจที่เขาจะโดนคนอื่นดูถูก เขามักจะคิดว่าตัวเองนั้นมีความสามารถที่โดดเด่น เก่งโดยที่ไม่ต้องเรียนรู้ และไม่มีใครสอนก็สามารถทำงานเองได้
แต่ในทางตรงกันข้าม เขากลับเป็นไอ้โง่ในสายตาของคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นความไม่เข้าใจมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำธุรกิจก็คือ ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่มีฐานะร่ำรวย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการกิน ดื่ม เล่นการพนัน และพูดคุยต่างก็เป็นสิ่งที่สนุกสำหรับเขา และถ้าเขาไม่ตั้งสติให้ดี สิ่งเหล่านั้นก็จะสามารถทำให้เราหลงมัวเมากับมันได้
เหล่าหวังดูออกว่าเด็กคนนี้ก็เป็นแค่ไอ้ทึ่มคนหนึ่ง แค่ต้องหาเหตุผลมารั้งเขาเอาไว้ก็เท่านั้น และเขาก็รู้ว่าถ้าคนอย่างจางฉุ้ยจวินทำเรื่องเสียหน้าต่อหน้าเหล่าบรรดาเพื่อนพ้องของตัวเอง เขาย่อมทนไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะในช่วงวัยที่กำลังมีอำนาจ ชอบออกสังคม ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนคุ้นหน้า หากเกิดเรื่องบาดหมางกันขึ้น จางฉุ้ยจวินก็คงต้องหันมาสู้กับเหล่าหวังสักตั้งอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเหล่าหวังจะต้องเจ็บปวด และต้องกลืนคำพูดเหล่านี้ลงไปด้วยความฝืนใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าหลังจากที่เขาได้ตัวของจางฉุ้ยจวินมาแล้ว เขาก็จะสามารถหาคนมาคอยสนับสนุนตัวเขาได้ และหลังจากที่จางฉุ้ยจวินได้รับโอกาสจากเหล่าหวัง เขาก็กลายเป็นเด็กที่ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุได้ เพราะอย่างนั้นเหล่าหวังจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทน และคิดหาโอกาสจัดการจางฉุ้ยจวินทีหลัง
แต่ปากเจ้ากรรมของจางฉุ้ยจวินก็ยังไม่หยุดพล่าม ถ้าไม่ใช่เพราะถูกเยาะเย้ยถากถางว่า เขานั้นเอาแต่พึ่งพิงพี่สาวให้ช่วยออกหน้าให้ และยังบอกว่าเขาไม่มีความสามารถ จางฉุ้ยจวินจะมาได้ยินคำพูดเหล่านี้อย่างนั้นหรือ หลังจากที่ดื่มเบียร์ไปแล้วสองสามขวด เขาก็บังเอิญได้ยินเพื่อนอันธพาลของเขาคนหนึ่งพูดว่า เขาอิจฉาที่จางฉุ้ยจวินมีพี่สาวที่แสนดีแบบนี้ และก่อนหน้านี้ที่จางฉุ้ยจวินได้ไปเป็นหัวหน้าในโรงงานเหมืองทรายก็เป็นเพราะว่า เถ้าแก่เจ้าของโรงงานเหมืองทรายแห่งนั้นชอบพี่สาวของเขา ต่อมาหลังจากที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับเขา เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากสามีของพี่สาวของเขา
“เด็กคนนั้นช่างโชคดีจริง ๆ เลย พ่อแม่ของเขาแย่มาก แต่สามีของพี่สาวของเขาเก่งมากจริง ๆ ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คงจะกลายเป็นพระมาตุลาไปแล้ว”
คำพูดที่สองสามีภรรยาตระกูลจางมักจะได้ก็คือ พวกเขาประจบสอพลอบ้างล่ะ อิจฉาบ้างล่ะ ไม่ก็อวดดีบ้างล่ะ และเมื่อจางฉุ้ยจวินได้ยินมัน สำหรับเขามันคือความอัปยศ อัปยศอดสูอย่างหนักหนาเลยทีเดียว
เพราะพี่สาวได้เข้าเรียนในวิทยาลัย และได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดี พรสวรรค์ของเขาจึงถูกกลบไปจนหมดสิ้น และก็เป็นที่น่าเสียดายที่ตัวเขาเองก็เหมือนกับม้าที่ไม่มีป๋อเล่อคนไหนเลือก
ต่อมาเมื่อเขาได้ยินมาว่า ฟู่ซินหาเงินได้มากมายมหาศาลจากทางตอนใต้ และก็ไม่รู้เช่นกันว่าเงินมากมายมหาศาลเหล่านั้นของเขามันมีอยู่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฟู่ซินได้ยกโรงงานเหมืองทรายแห่งนั้นให้กับพี่ชายของเขาเป็นคนดูแลแล้ว และในหนึ่งเดือนกำไรที่ได้รับจากโรงงานเหมืองทรายแห่งนั้น คิดเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ จางฉุ้ยจวินย่อมรู้ดี
และต่อมาฟู่ซินก็ได้เปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า 2 แห่งในเมือง Q เขาขายจำพวกตู้เย็น เครื่องซักผ้า และโทรทัศน์ ซึ่งของที่เขานำมาขายในร้านก็คิดเป็นเงินหลายหมื่นหยวนเลยทีเดียว เพราะอย่างนั้นแล้วการที่ฟู่ซินจะมีเงินมากมายขนาดนี้ นอกจากจะไปปล้นธนาคารแล้ว เขาจะไปทำอะไรได้อีก
ต่อมาจางฉุ้ยจวินก็เห็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ ฟังข่าวจากวิทยุ และได้ยินคนที่กลับมาจากเมืองทางตอนใต้เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ทางเมืองเสินเจิ้นและเมืองกว่างโจว ต่างก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทุกที่ ขนาดธุรกิจค้าขายก็ยังมีครอบครัวที่เข้าร่วมทำธุรกิจเป็นหมื่นครัวเรือนเลยทีเดียว
ราวกับว่าอิฐก้อนหนึ่งได้ร่วงหล่นลงมาใส่คน 5 คน เถ้าแก่ 4 คน และคนที่กำลังจะกลายเป็นเถ้าแก่อีก 1 คน
จางฉุ้ยจวินสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ง่าย เขากลับมาคุยโม้โอ้อวดกับเช่าหวาที่บ้านทุกวัน และเช่าหวาที่ได้เห็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของฟูซินกับตาของตัวเอง ว่าเขานั้นซื้อกำไลหนาเท่าหัวแม่โป้งให้กับภรรยาของตัวเอง
หล่อนรู้สึกว่าลูกสาวของตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ อีกทั้งฟู่ซินเองก็แสนดีอีกด้วย ตอนที่เขาลงใต้ไปก็ยังหาเงินกลับมาได้เป็นแสน เพราะอย่างนั้นหล่อนจึงได้ตอบตกลงลูกชายไป
จางฉุ้ยจวินนัดกับเพื่อนไว้อีกสองคนว่าจะเดินทางลงไปทางตอนใต้ด้วยรถไฟ ระหว่างทางพวกเขาก็ได้เจอกับผู้ชายใจดีคนหนึ่งบนรถไฟ ผู้ชายคนนั้นช่วยแนะประเพณี และนิสัยของผู้คนที่นั่น อีกทั้งเขายังบอกสถานที่ที่เหมาะแก่การหางานให้พวกเขาอีกด้วย
หลังจากที่นั่งรถไฟได้ไม่กี่วัน ทุกคนก็เริ่มสนิทกันในที่สุด ผู้ชายคนนั้นบอกกับพวกเขาว่า ญาติของเขาเปิดโรงงานแห่งหนึ่ง เขาจะพาทุกคนไปดูโรงงานนั่น แล้วก็จะให้พวกเขาลองทำดูก่อน และถ้าไม่ชอบก็ขอออกได้ ที่นั่นมีที่พักให้ มีข้าวให้กินสามารถประหยัดเงินได้อีกแรง และครอบครัวก็สามารถวางใจได้อีกด้วย
เมื่อจางฉุ้ยจวินได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที เขารู้สึกว่าตอนเองนั้นได้พบกับโชคชะตาเข้าเสียแล้ว หลังจากที่ลงรถไฟแล้ว เขาก็เดินตามผ้ชายคนนั้นไป พอพวกเขาไปถึงสถานที่แห่งนั้น มันก็เป็นดั่งที่คาดคิดเอาไว้จริง ๆ เขาเห็นคนมากมาย จากนั้นก็มีคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า เดินเข้ามากล่าวทักทายและต้อนรับพวกเขา ท่าทางกระตือรือร้นราวกับต้อนรับคนสำคัญอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเข้ามาในห้องทำงานแล้ว จางฉุ้ยจวินก็วางกระเป๋าเดินทางของตัวเองลง และเดินตามผู้ชายที่มาด้วยกันเข้าไปแนะนำตัวกับหัวหน้าได้รู้จัก เมื่อหัวหน้าได้ยินว่าเขาเคยทำงานในตำแหน่งผู้จัดการอยู่ในโรงงานขนาดใหญ่มาก่อน จึงได้รีบสอบถามในทันที หลังจากที่ฟังคำพูดขี้โม้โอ้อวดของจางฉุ้ยจวินจบแล้ว เขาก็เอ่ยปากพูดออกไปว่า โรงงานของพวกเขายินดีต้อนรับบุคคลที่มีความสามารถ
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยจวินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และในวันนั้นเขาก็มีโอกาสได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับพวกหัวหน้าเหล่านั้น นั่งดื่มเบียร์และคุยโม้โอ้อวดเรื่องในบ้านของตัวเองอย่างสนุกปาก จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนค่ำ ก็ยังไม่มีใครยอมนอน จนกระทั่งทุกคนได้รู้ว่าจางฉุ้ยจวินนั้นเป็นเสมือนเจ้าชายคนหนึ่ง มีพลังอำนาจอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ และยังมีร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเปิดโลกธุรกิจของตัวเอง และยังมีสมาชิกในบ้านเป็นทหารอีกด้วย
หลังจากที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันที่สอง หัวหน้าก็ได้มาเรียกเขาให้ไปเริ่มงาน อีกทั้งยังดูมีความเป็นมืออาชีพ พูดถึงนโยบายของประเทศได้ มีโครงการในอนาคต มีเงินเดือนและสวัสดิการต่าง ๆ และยังบอกอีกว่า จางฉุ้ยจวินนั้นมีความกระตือรือร้นและเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอย่างมาก
แต่พวกเขาไม่ได้รีบพิจารณาจางฉุ้ยจวินแต่อย่างใด แต่เลือกที่จะพาเขาเดินทัวร์โรงงานของพวกเขา จางฉุ้ยจวินเห็นคนที่ขับรถยนต์พวกนั้น เห็นคนที่แต่งตัวสดใสมีชีวิตชีวาพวกนั้น และเห็นตึกสูงใหญ่แห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง
ถ้าไม่มีโครงการเหล่านี้ หมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็กแห่งนี้ จะกลายเป็นเมืองที่มีอำนาจยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ย่างไร
จางฉุ้ยจวินพยักหน้าหงึกหงัก ด้วยความรู้สึกที่แม้แต่เมืองที่แสนคุ้นเคยของเขา ก็ยังเทียบกับที่นี่ไม่ได้ ถนนใหญ่ในเมือง Q ต่างก็แออัดไปด้วยรถม้า จะมีสักกี่คนที่กล้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสเหล่านี้
แต่หัวหน้าก็ยังคงไม่พอใจ เขายังคงพาจางฉุ้ยจวินเดินเอ้อระเหยเชยชมไปทั่วทั้งโรงงาน จนกระทั่งจางฉุ้ยจวินเอ่ยปากพูดออกไปถึงเรื่องขั้นตอนการพิจารณารับเขาเข้าทำงาน เพราะอย่างนั้นแล้วหัวหน้าจึงค่อย ๆ พาเขาเดินกลับไป เขาไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรที่เป็นรูปธรรมมากนัก เพียงแต่หลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จ หัวหน้าก็พาจางฉุ้ยจวินไปเจอกับคนอีกหลาย ๆ คน
ในระหว่างที่กินข้าวด้วยกันนั้น ก็มีชายวัยกลางคนเนื้อตัวมอมแมมดูไม่ได้คนหนึ่งมานั่งร่วมรับประทานอาหารที่โต๊ะด้วย บอกว่าเมื่อก่อนเขานั้นเป็นคนเก็บสิ่งของในกองขยะ ต่อมาได้มีโอกาสมาทำงานในโรงงานแห่งนี้ จนกระทั่งซื้อห้องพักใจกลางเมืองได้ด้วยตัวเอง และก็ยังมีห้องพักขนาดใหญ่อีก 3 ห้อง แต่ต้องใช้เวลากว่า 3 ปี ถึงจะเติบโตได้ในที่สุด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำตาของจางฉุ้ยจวินก็แทบจะไหลออกมา คนเก็บขยะแบบนี้ก็ยังสามารถซื้อห้องได้ ดังนั้นตัวเองก็ต้องทำได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ เพราะเขาก็ดีกว่าคนเก็บขยะเป็นไหน ๆ
พอตกกลางคืนจางฉุ้ยจวินก็ต้องการใช้โทรศัพท์ เขาบอกว่าอยากจะคุยเรื่องการลงทุนกับคนที่บ้าน แต่หัวหน้าไม่ยอม ก่อนจะเริ่มโน้มน้าวจางฉุ้ยจวินและหลี่หยวนเหอที่มาด้วยกันให้เตรียมตัวรับการพิจารณาจากหัวหน้างานดี ๆ
วันที่สามพวกเขาเริ่มเรียนรู้งานกันอย่างจริงจัง เป็นคาบเรียน 3 คน ต่อผู้บรรยาย 1 คน คาบแรกเรียนเกี่ยวกับความฝันของทุกคน ไม่มีใครไม่มีความฝันเป็นของตัวเอง สำหรับเรื่องครอบครัว การแต่งงาน ใคร ๆ ต่างก็คาดหวังเรื่องเหล่านี้กันทั้งนั้น และความฝันก็คือ ไม่อยากเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความรวย ไม่มีประวัติการศึกษา มีภูมิหลังของครอบครัวที่ย่ำแย่ คนที่ไม่มีความฝันก็ได้แต่ยิ้ม คนที่พูดก็พูดอย่างมีความกระตือรือร้น จางฉุ้ยจวินพยักหน้าชื่นชมด้วยความรู้สึกที่ว่าเขามาถูกทางแล้ว
“ฉันรู้สึกว่าคนพวกนั้นดูแปลก ๆ วัน ๆ ก็จนไม่มีรายได้อะไรอยู่แล้วยังจะให้นอนบนพื้นอีก อีกทั้งยังพูดถึงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ อะไรก็ไม่รู้ ” หลี่หยวนเหอเบะปาก ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนี่จะเฉลียวฉลาดมากกว่าจางฉุ้ยจวินไม่น้อยเลยทีเดียว
MANGA DISCUSSION