ตอนที่ 214 เธอจน เธอก็มีเหตุผลของเธอ
วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในปี 1994 กู้จื้อเฉิงก็ได้ลงมือทำอาหารกลางวันด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่ารสชาติของมันจะเทียบเคียงกับฝีมือของจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่มันสามารถเอาชนะใจของจางฉุ้ยเหลียนได้ก็คือความตั้งใจ
โชคดีที่จางฉุ้ยเหลียนเป็นคนที่รู้จักเกรงใจคนอื่น เธอเลยหันมาส่งยิ้มให้กับกู้จื้อเฉิง เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึง 19.00 น. พวกเขาทั้งสองคนก็มานั่งดูการแสดงวันฉลองปีใหม่ที่ห้องนั่งเล่น พวกเขาดูการแสดงในโทรทัศน์พร้อมกับห่อเกี๊ยวด้วยกันอย่างมีความสุข และเสียงเพลงที่บรรเลงออกมานั้นมันก็ช่วยเพิ่มบรรยากาศที่มีความสุขนี้ได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากจางฉุ้ยเหลียนเสนองานที่ดีกว่าให้กับพี่เฉิน เพราะอย่างนั้นตอนนี้พี่เฉินก็เลยรู้สึกเป็นกังวลว่าหลี่หยูหวาจะลาออกจากงานที่โรงอาหารทันทีหลังปีใหม่ จากนั้นก็ไปสมัครงานเป็นผู้จัดการร้านให้กับจางฉุ้ยเหลียน ถ้าเป็นแบบนั้นพี่เฉินก็อาจจะชวดงานนี้ไปได้ หล่อนก็เลยเดินถือเค้กและคุกกี้ไปที่บ้านฝั่งตะวันตก
ในเวลานี้หลี่หยูหวาและสวี๋ต้าหยงต่างก็อยู่ในบ้านของตัวเอง พวกเขาไปรับต้าหลงและเสี่ยวหลงลูกชายทั้งสองคนของพวกเขามาฉลองปีใหม่ที่นี่ด้วยกัน เมื่อพวกเขาเห็นว่าจู่ ๆ พี่เฉินก็มาที่บ้านฝั่งตะวันตก สองสามีภรรยาจึงอดที่จะแปลกใจไม่ได้
พี่เฉินมองไปทางเด็กผู้ชาย 2 คนที่กำลังยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงไพเราะ หล่อนอิจฉาที่หลี่หยูหวาได้ให้กำเนิดลูกชาย 2 คน เพราะยามที่หล่อนแก่ชราแล้ว หล่อนก็จะไม่ลำบากอย่างแน่นอน
สวี๋ต้าหยงรู้ว่าที่พี่เฉินมาที่นี่ต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยเรียกลูกชายทั้งสองคนให้เข้ามาในห้องนอน เมื่อหลี่หยูหวาเปิดประตูห้องนอนออกมา หล่อนก็เห็นพี่เฉินนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเงียบ ๆ “พี่เฉิน มีธุระอะไรหรือคะ ? ”
พี่เฉินเอาแต่นั่งบิดไปบิดมาด้วยความละอายแก่ใจ เก้ ๆ กัง ๆ อยู่พักใหญ่ จากนั้นก็แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “จางฉุ้ยเหลียนจะเปิดร้านใหม่หลังวันปีใหม่นี้ เธอรู้เรื่องนี้รึเปล่า”
หลี่หยูหวาตื่นตกใจขึ้นมาเล็กน้อย “ดูท่าทางแล้วพี่คงจะมาเพราะเรื่องนี้สินะ”
ใบหน้าของพี่เฉินแสดงออกถึงความไม่พอใจทันที ราวกับกำลังบ่งบอกว่าฉันดูออกนานแล้วว่า หล่อนน่ะเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้าฉัน “ดูท่าทางแล้วอะไรกันล่ะ ฉันมาเพราะเรื่องนี้เลยต่างหาก” ยังไม่ทันที่หลี่หยูหวาจะได้พูดอะไรออกไป พี่เฉินก็ชิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันซะก่อนว่า “ฉันได้ยินมาว่า หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเปิดร้านใหม่แล้ว หล่อนก็จะต้องไปบริหารร้านใหม่ เพราะอย่างนั้นตอนนี้หล่อนก็เลยอยากจะจ้างคนที่หล่อนรู้จักและไว้ใจได้ไปเป็นผู้จัดการร้านแรกของหล่อน เงินเดือน 200 หยวนต่อ 1 เดือน และหล่อนก็กำลังเลือกที่จะจ้างหนึ่งในพวกเราสองคน”
หลี่หยูหวาเข้าใจได้ในทันที เพราะดูจากท่าทางแล้วพี่เฉินก็คงจะรู้เรื่องที่หล่อนคุยกับจางฉุ้ยเหลียนเป็นอย่างดี พี่เฉินมาที่นี่เพื่อแบไพ่ที่อยู่ในมือของตัวเองอย่างที่หล่อนคาดการณ์เอาไว้จริง ๆ พี่เฉินเริ่มชวนหล่อนคุยอย่างรวดเร็ว “ตามหลักเหตุผลแล้ว ฉันก็ไม่ควรที่จะมาพูดเรื่องนี้กับเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็น่าจะรู้สถานการณ์ของครอบครัวฉันแล้ว เดิมทีแล้วงานนี้มันก็ควรที่จะเป็นของฉัน แต่ในเมื่อมันยังไม่มีการวางแผนใด ๆ อีกทั้งจางฉุ้ยเหลียนก็ยังไม่ได้พูดอะไรกับฉัน เพราะอย่างนั้นแล้วเธอสงสารฉันเถอะนะ อย่ามาแข่งขันกับฉันเลย”
หลี่หยูหวาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าหล่อนจะเป็นคนไม่ชอบพูด แต่นั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่า หล่อนจะยอมให้ใครมาบีบบังคับได้ ทำไมตัวเองจะต้องยอมเป็นฝ่ายหลีกทางให้ด้วยล่ะ
งานตำแหน่งผู้จัดการร้านในหนึ่งปีสามารถทำเงินได้ 2,400 หยวนเลยนะ อีกทั้งค่ากินหรือว่าค่าเดินทาง รวมไปถึงของเล็ก ๆ น้อย ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็ออกให้ทั้งหมด โดยที่หล่อนไม่ต้องเสียเงินเองเลยแม้แต่หยวนเดียว และถ้าตอนที่หล่อนได้เป็นผู้จัดการร้านแล้ว จางฉุ้ยเหลียนสามารถขายตู้เย็นได้ 30 – 40 เครื่องล่ะ ปีต่อ ๆ ไปจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ขึ้นเงินให้หล่อนปีละ 3,000 เลยหรือ
ถ้าหล่อนปล่อยงานนี้ให้หลุดมือไปล่ะก็ หล่อนก็คงจะโง่เต็มทนแล้วล่ะ
“ดูที่พี่พูดเข้าสิ จางฉุ้ยเหลียนยังไม่ได้เปิดร้านใหม่เลยไม่ใช่หรือ ถ้าหล่อนเปิดร้านใหม่แล้ว เราสองคนค่อยมาคุยกันอีกทีก็ได้ เถ้าแก่เนี้ยก็ยังไม่ได้บอกนี่ว่าเราสองคนจะต้องทำยังไง” สีหน้าของหลี่หยูหวาเปลี่ยนไปทันที หล่อนคลี่ยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินออกไป เมื่อเดินเข้าไปในห้องนอนแล้ว หล่อนก็พูดกับสวี๋ต้าหยงว่า “ฉันจำได้ว่าแม่ของคุณให้ซอสพริกเรามา 2 กระปุก คุณเอาวางไว้ตรงไหน ฉันจะเอาให้พี่เฉินกระปุกหนึ่ง”
พี่เฉินแสดงสีหน้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟออกมาขนาดนี้ หลี่หยูหวายังจะมีกระจิตกระใจแบ่งซอสพริกให้หล่อนกระปุกหนึ่งอีกหรือ คิดว่าหล่อนเป็นขอทานรึไง ถึงได้กลั่นแกล้งกันขนาดนี้
“หลี่หยูหวา เธอหมายความว่ายังไง ? ” พี่เฉินถึงกับกระเด้งตัวขึ้นมาทันทีอย่างอดไม่ได้ ต่อให้ต้องตัดขาดความสัมพันธ์กัน หล่อนก็ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น
เมื่อหลี่หยูได้ยินเสียงอันแหลมปรี๊ดของพี่เฉินที่ดังขึ้นมาจากด้านหลัง หล่อนก็ขมวดคิ้วและอดที่จะหันกลับไปมองไม่ได้ “อะไรคือหมายความว่ายังไง ? ”
พี่เฉินยกมือขึ้นมาเท้าสะเอว พร้อมกับตะโกนออกไปอย่างสุดเสียงด้วยอารมณ์โกรธถึงขีดสุด “เธอหมายความว่า เธออยากจะแข่งกับฉันใช่ไหม ? ”
หลี่หยูหวาหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกลับไป “ทำไมหรือ นั่นมันก็ไม่ใช่ร้านของพี่สักหน่อย แล้วพี่จะมาบังคับว่าใครจะอยู่ใครจะไปได้ยังไง พี่เป็นขี้ข้าของตระกูลกู้รึไง ที่พอรู้ว่าหล่อนจะเปิดร้านใหม่ พี่ก็รีบเสนอตัวดูแลบริหารให้กับเจ้าตัวทันทีแบบนี้น่ะ ”
“หยูหวา” สวี๋ต้าหยงขมวดคิ้วพร้อมกับส่งเสียงเรียกต่ำ ๆ ออกมา ราวกับว่าไม่ชอบให้หลี่หยูหวาแสดงอากัปกิริยาแบบนี้กับพี่เฉิน
ดูเหมือนว่าพี่เฉินจะหาผู้ช่วยได้โดยไม่ต้องร้องขอแล้ว หล่อนผลักหลี่หยูหวาที่ตัวเล็กกว่าออกไป และย่างก้าวสามขุมเข้าไปหยุดหยืนอยู่ข้างกายของสวี๋ต้าหยง ก่อนจะแกล้งบีบน้ำตาให้ไหลพรากออกมา พลางพูดออกไปว่า “สวี๋ต้าหยง เธอก็รู้เรื่องครอบครัวของฉันดี ตอนที่เราสองแม่ลูกต้องขาดหัวหน้าครอบครัวอย่างพี่ชีไป เธอเองก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเหมือนกัน เธอก็เห็นว่าครอบครัวของเธอดีกว่าฉันมากแค่ไหน อย่ามาชิงหม้อข้าวทำมาหากินกับแม่หม้ายลูกติดอย่างฉันเลยนะ”
สวี๋ต้าหยงไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของพี่เฉิน เขาจึงหันไปมองภรรยาของตนเองด้วยความสงสัย หลี่หยูหวาจึงได้บอกใบ้เป็นนัย ๆ ว่า ให้อดทนดูท่าทางของหล่อนไปก่อน จากนั้นร่างเล็กของหล่อนก็ได้ระเบิดพลังมหาศาลด้วยการตะโกนตอกกลับไปว่า “ทำไมฉันจะต้องไปแย่งหม้อข้าวทำมาหากินกับพี่ด้วยไม่ทราบ เดิมทีเรื่องนี้มันก็ยังไม่มีแผนการเป็นรูปเป็นร่างอะไรอยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง ตอนนี้พี่ก็มีงาน ฉันเองก็มีงาน ถ้าจางฉุ้ยเหลียนต้องการคนช่วยจริง ๆ หล่อนก็ควรจะวัดกันที่ความสามารถ มันอยู่ที่ว่าหล่อนจะเลือกใคร พี่จะมาโวยวายใส่ฉันให้มันได้อะไร ”
พี่เฉินเงยหน้าตะโกนกลับไปเสียงดังอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกันว่า “เธอได้คุยกับหล่อนแล้ว หล่อนก็คงจะตัดใจปล่อยเธอไปไม่ได้ พวกเธอสองคนเจอหน้ากันแทบจะทุกวัน แล้วอีกอย่างสามีของหล่อนและสามีของเธอก็เป็นเพื่อนทหารในกรมเดียวกัน ยังไง ๆ เธอก็ย่อมได้เปรียบกว่าฉันอยู่แล้ว แล้วทีนี้เธอรู้รึยังล่ะว่า ทำไมฉันถึงต้องมาหาเธอ”
หลังจากพูดจบหล่อนก็ยกมือขึ้นมาปิดหน้า ก้มหน้าลงและพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “ฉันเป็นแม่หม้ายลูกติด เราต้องทนอยู่ภายใต้การเหยียดหยามทางสีหน้าของคนอื่น เพราะอย่างนี้เราสองคนแม่ลูกจะไปยั่วยุสร้างปัญหาให้ใครได้ ครอบครัวของเราก็ลำบาก พวกเธอทั้งสองคนก็มีงานมีเงิน ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องมาแข่งขันกับฉัน ถ้าเธอเก่งจริง งั้นเธอก็ไปแข่งขันกับเงินเหล่านั้นสิ จะมาแกล้งฉันแบบนี้ทำไม”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลี่หยูหวาก็ยิ่งโกรธจนตัวสั่นเข้าไปอีก หล่อนไม่เคยได้ยินใครไร้เหตุผลขนาดนี้มาก่อนเลย
พี่เฉินปาดน้ำตาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม จากนั้นหล่อนก็มองไปทางสวี๋ต้าหยงที่ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำด้วยความร้อนใจ สวี๋ต้าหยงไม่ได้มีนิสัยเหมือนกับกู้จื้อเฉิง เขาไม่ได้เห็นใจคนอ่อนแอไปเสียหมดทุกคน พวกเขาทั้งสองคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิด จริง ๆ แล้วทั้งสองคนก็ไม่ใช่คนดีมากมายอะไร แอบทำเรื่องไม่ดีลับหลังคนอื่นตั้งเยอะตั้งแยะ คนอื่นไม่รู้ แต่พวกเขากลับรู้อยู่แก่ใจดีราวกับกระจกเงาตามตัว
โชคดีที่พวกหล่อนทั้งสองคนต่างก็มีงานทำอยู่ที่นี่ พวกหล่อนก็เลยไม่ได้สนใจ ถึงหล่อนจะสร้างปัญหา แต่หล่อนก็ยังมีบรรดาหัวหน้าและกู้จื้อเฉิงที่พร้อมจะช่วยหล่อนตลอดเวลา ถ้าสวี๋ต้าหยงกล้าทำเรื่องเลวร้ายลับหลังหล่อนล่ะก็ เขาก็อย่ามาโทษว่าหล่อนไร้หัวใจเลย
เมื่อคิดได้ดังนั้น สภาพจิตใจของพี่เฉินก็ค่อย ๆ ดีขึ้น หล่อนขู่สวี๋ต้าหยงพร้อมทั้งน้ำตาอย่างไม่เป็นธรรมว่า “เธอเป็นทหาร ส่วนเราเป็นครอบครัวของทหารผู้เสียสละ ถ้าพวกเธอกลั่นแกล้งเราแบบนี้ เราก็ไม่กลัวหรอกนะที่จะไปร้องเรียนเรื่องนี้กับเบื้องบน”
ถ้าไปพูดกับหัวหน้าที่อยู่เบื้องบน ถึงจะเป็นเรื่องที่ไร้ยางอาย แต่มันก็สามารถทำให้ครอบครัวของพวกเขาเสียเปรียบมากเลยทีเดียว
หลี่หยูหวารู้สึกโกรธแค้นอยู่ในใจ เพราะอย่างนั้นจึงพูดออกไปอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “พี่จะไปร้องเรียนก็ไปเลยสิ ใครกลัวพี่กันล่ะ พี่คิดว่าการที่พี่จน แล้วพี่จะใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผลได้หรือ”
ในที่สุดพี่เฉินก็หาจุดอ่อนที่ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นขี้ปากของชาวบ้านได้แล้ว หล่อนรีบร้องไห้ออกมาเสียงดังอย่างไม่สนใจสายตาใครทันที จากนั้นก็นั่งลงไปบนพื้นและเริ่มชักดิ้นชักงอราวกับเด็กน้อย “ฉันมันจน ฉันมันจน พวกเธอรังแกคนจนอย่างฉัน ไอ้หยา ฟ้าเบื้องบนไม่ยุติธรรม พี่ชีก็เหมือนกัน ไอ้คนไม่ได้เรื่อง ทิ้งฉันให้กลายเป็นแม่หม้ายลูกติดแล้วจากไปเสียดื้อ ๆ พี่รีบลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ลืมตาขึ้นมาดูเลยว่าเพื่อนทหารของพี่รังแกภรรยาและลูกสาวของพี่ยังไงบ้าง”
ในช่วงวันปีใหม่ทุกคนต่างก็กลับบ้านในช่วงวันหยุดกันทั้งนั้น ทุกครอบครัวต่างก็รักใคร่กลมเกลียวกัน พ่อแม่ให้ความรักแก่ลูก และลูกก็กตัญญูต่อพ่อแม่ ถึงลูก ๆ จะซุกซนและเอาแต่ใจไปบ้าง แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวในช่วงปีใหม่แต่อย่างใด
ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ดังขนาดนี้ และดูเหมือนว่ายิ่งร้องระดับเสียงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ คนที่เปิดประตูออกมาดูเป็นคนแรกเลยก็คือฟ่านจินเซิ่ง หล่อนได้ยินเสียงร้องไห้นี้ชัดเจนจากในครัว ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อได้ยินประโยคที่ว่า “พี่ชี แม่หม้ายลูกติด” ก็รู้ในทันทีว่ามันเป็นเสียงของใคร
ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นกู้จื้อเฉิงก็เปิดประตูออกมาเป็นคนที่สอง และยืนมองลาดเลาอยู่ตรงบริเวณลานบ้านด้วยความสนอกสนใจ ยังไม่ทันที่จะรู้เรื่อง ก็เห็นป้าหยูเดินคลุมเสื้อออกมาจากบ้านแล้ว
“ไอ้หยา เกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย” ป้าหยูเอ่ยถามกู้จื้อเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ราวกับโจรที่ทำความผิดมาอย่างไรอย่างนั้น
ฟ่านจินเซิ่งชำเลืองตาไปมองที่บ้านหลังที่หนึ่ง จากนั้นก็รีบสาวเท้าก้าวไปยังกำแพงที่กั้นระหว่างบ้านของหล่อนและบ้านของกู้จื้อเฉิงทันที ก่อนจะพูดออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไม่รู้สิ ดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาตระกูลสวี๋จะกำลังรังแกภรรยาของผู้กำกับการชีนะ”
ป้าหยูเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไร้สาระ ใครจะกล้ารังแกสองแม่ลูกคู่นั้นกันล่ะ เพราะนอกจากจะเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว ยังหมดอนาคตอีกต่างหาก”
กู้จื้อเฉิงไม่อยากถูกบีบจนกลายเป็นของตกแต่งไร้ค่าของหญิงชราคู่นี้ เขาก็เลยหมุนตัวและเดินกลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นเขาเดินกลับเข้ามาบ้าน เธอจึงปรายตามองไปทางเขาและพูดขึ้นมาว่า “ฉลองปีใหม่ทั้งที บ้านใครมาทะเลาะกัน”
“ดูเหมือนว่าพี่เฉินจะกำลังร้องไห้ใหญ่โตอยู่ที่บ้านของสวี๋ต้าหยงนะ แต่ทำไมพี่เฉินถึงได้ไปอยู่ในบ้านของพวกเขาล่ะ” กู้จื้อเฉิงไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของภรรยาตัวเองแต่อย่างใด
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมา นึกไม่ถึงเลยว่าพี่เฉินจะเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระคนประหลาดใจแสดงมาทางใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียน กู้จื้อเฉิงก็รุดหน้าเข้ามาหาเธอด้วยความสงสัยในทันที : “เธอรู้”
“ฉันก็แค่เดา เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับฉันนะ”
เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินประโยคนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที “ภรรยาสุดที่รักของฉัน เรื่องนี้เธอมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างนั้นหรือ มา ๆ ๆ รีบ ๆ บอกมา เดี๋ยวคนพวกนั้นจะมาหาพวกเราอีก ฉันไม่อยากจะไปสนใจอะไรพวกเขาอีกแล้ว”
จางฉุ้ยหลียนเล่าถึงต้นสายปลายเหตุให้สามีฟัง จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา “จะเปิดร้านใหม่รึเปล่า มันก็เป็นเรื่องของฉัน ฉันยังไม่ได้ตอบเลยว่าฉันจะเลือกจ้างใคร เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลยนะ และพวกหล่อนก็เป็นพยานได้”
กู้จื้อเฉิงยื่นมือออกไปบนลูบศีรษะของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นก็กัดฟันกรอดและพูดว่า “ฉันจะว่าอะไรเธอได้ล่ะ เธอก็แค่อยู่ให้ไกลจากหล่อนก็พอแล้ว ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่เห็นด้วย “ไม่ใช่แค่พี่เฉินคนเดียวหรอกนะ แต่สองสามีภรรยาคู่นั้นก็เหมือนกัน ฉันเห็นพวกเขาเป็นเพื่อนที่สนิทมาโดยตลอด แต่พวกเขาเห็นพวกเราเป็นอะไรกันล่ะ พวกเขามักจะตะโกนร้องเรียกฉันว่าพี่สะใภ้อย่างสนิทสนม จากนั้นพวกเขาก็สาดน้ำสกปรกใส่ฉัน สวี๋ต้าหยงก็อีกคน หมอนั่นนิสัยไม่ดีจะตายไป เขาทำร้ายเราลับหลัง อีกทั้งยังทำให้เราเข้าใจผิดคิดว่าสองสามีภรรยาตระกูลโจวเป็นคนทำอีกต่างหาก เขาหลอกลวงให้ร้ายพวกเราไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
เธอเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยความโกรธ “ฉันอัดอั้นตันใจมานานหลายปีแล้ว เพราะอย่างนั้นฉันจึงได้ยืมปากเสีย ๆ ของพี่เฉิน เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
กู้จื้อเฉิงพึมพำเบา ๆ ว่า “แต่ต่อให้ปัญหาจะมาถึงตัว ฉันก็ไม่อยากให้เธอต้องไปแปดเปื้อนกับเรื่องพวกนี้”
“แปดเปื้อนแล้วยังไงล่ะ ก็ให้พวกเขารู้ไปเลยสิว่า ฉันเป็นคนยุยงพวกเขาเอง ฉันอยากจะให้พวกหล่อนจำเอาไว้เลยว่า พวกหล่อนไม่มีทางมารังแกสามีของฉันได้หรอก”
MANGA DISCUSSION