ตอนที่ 213 วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ตอบคำถามเหล่านั้นออกไปทั้งหมด เธอแค่ยิ้มและบอกกับพี่เฉินออกไปว่า เธอมีแผนจะเปิดร้านใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ถ้าเธอเปิดร้านอีกสาขาหนึ่ง เธอก็ต้องเปิดรับสมัครผู้จัดการร้านเพื่อให้มาดูแลร้านสาขาแรกของเธอ และเงินเดือนของผู้จัดการร้านก็จะอยู่ที่เดือนละ 200 หยวนต่อเดือน
แต่…. ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันก็เป็นเพียงแค่แผนการคร่าว ๆ ของเธอเท่านั้น อีกทั้งหลี่หยูหวาก็อยากจะมาสมัครตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน เพราะอย่างนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงรู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย
พี่เฉินจึงได้พูดออกไปอย่างร้อนใจว่า “มีอะไรให้ต้องลำบากใจกันล่ะ ฉันได้ยินมาว่าเธอตั้งใจจะยกตำแหน่งนี้ให้ฉันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมา พร้อมกับพยักหน้าตอบรับ “หนูตั้งใจว่าจะหาคนที่บ้านของเราเชื่อใจได้มาทำงานในตำแหน่งนี้ และพี่ก็คงจะเหมาะสมที่สุด แต่ยังไม่ทันที่หนูจะได้เปิดร้านใหม่ หนูก็ได้ยินข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ นี่เข้าซะก่อน ไหน ๆ พี่ก็มาหาหนูถึงที่นี่แล้ว พี่ลองบอกหนูมาหน่อยสิว่า หนูควรจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี เพราะหลี่หยูหวากับหนูต่างก็เป็นเพื่อนบ้านกัน เจอกันแทบทุกวัน เราสองคนไม่ได้มีความเกลียดชังต่อกัน เพราะอย่างนั้นหนูจะพูดปฏิเสธหล่อนออกไปโดยที่ไม่ละอายใจได้ยังไง”
พี่เฉินครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นหล่อนก็ลองถามหยั่งเชิงออกมาว่า : “เธอตั้งใจจะเปิดร้านใหม่จริง ๆ ใช่ไหม”
จางฉุ้ยเหลียนตอบกลับไปอย่างมีเหตุผลว่า “ทำไมหรือคะ หนูว่าธุรกิจนี้มันก็ไม่เลวเลยนะ ถึงแม้ว่าในเมืองสุ่ยหยวนจะมีร้านขายเครื่องไฟฟ้าหลายร้าน แต่จะมีร้านไหนบ้างล่ะที่จะขายถูกได้เหมือนร้านของเรา” จากนั้นเธอก็พูดออกไปด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “หนูจะบอกความลับกับพี่นะว่า ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองสุ่ยหยวนต่างก็มาซื้อสินค้าจากร้านของเราทั้งนั้นแหละ และถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ หนูก็ไม่กล้าเปิดร้านเพิ่มหรอกค่ะ”
พี่เฉินรู้สึกว่าก่อนหน้านี้หล่อนดูถูกผู้หญิงคนนี้เกินไปจริง ๆ หล่อนกัดฟันกรอดด้วยความคับแค้นใจก่อนจะถามออกไปด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “ถ้าเธอพูดแบบนี้ งั้นก็แสดงว่าถ้าเธอเปิดร้านแล้ว ถ้าเกิดหลี่หยูหวาไม่ทำ เธอก็จะให้ฉันทำใช่ไหม”
จางฉุ้ยเหลียนตอบกลับไปอย่างเป็นนัยว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนมาหาหนูก่อน งานนี้ก็คงจะไม่พ้นน้ำมือพี่หรอกค่ะ” จางฉุ้ยเหลียนยิ้มตาหยี จากนั้นก็พูดต่อว่า “จะว่าไปแล้ว งานทำความก็ไม่ใช่งานที่จะทำต่อไปได้ในระยะยาว ส่วนเรื่องของความลำบากก็ไม่ต้องพูดถึง ในอนาคตถ้าเจียวเจียวต้องเข้าไปเรียนชั้นมัธยมปลายในเมือง พี่ก็คงจะทำงานนี้ไม่ได้แล้ว”
ก็ใช่น่ะสิ พี่เฉินรู้สึกวูบไหวขึ้นมาทันที อีก 2 ปี เจียวเจียวก็ต้องขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว และโรงเรียนมัธยมปลายที่ใกล้ที่สุดตอนนี้ก็คงจะเป็นโรงเรียนในเมืองสุ่ยหยวน ไม่ว่ายังไงหล่อนก็ต้องตามไปอยู่กับลูกสาวด้วย งานที่ทำอยู่ในตอนนี้ก็คงจะต้องลาออก แต่ถ้าได้ทำงานในร้านของจางฉุ้ยเหลียนแล้วล่ะก็ หล่อนก็จะไม่มีปัญหาอีกต่อไป
สิ่งที่หล่อนต้องคิดอย่างเร่งด่วนเลยก็คือ จะทำยังไงไม่ให้หลี่หยูหวาได้งานนี้ไป พี่เฉินได้แต่คิดแผนการร้ายอยู่ในใจ หล่อนหัวเราะออกมา พร้อมกับกล่าวลาจางฉุ้ยเหลียน ระหว่างทางหล่อนก็ยังครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา การที่จะทำให้หลี่หยู่หวาชวดงานนี้ จะบอกว่าง่ายมันก็ง่าย ก็แค่ต้องตัดความสัมพันธ์กับหล่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรยากแล้ว
เมื่อวันเวลาเวียนมาถึงเช้าของวันส่งท้ายปีเก่า เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นจางฉุ้ยเหลียนไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน เขาก็เลยเริ่มฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ปีใหม่ทั้งที ถ้าขืนเอาแต่ปั้นปึ่งใส่กันแบบนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ๆ เขาจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน และตั้งใจว่าเขาจะถือโอกาสตอนที่กินอาหารเช้าง้อเธอสักหน่อย
แต่นึกไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันทีที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไรออกไป เขาก็ต้องหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเสียงโวกเวกโวยวายสนุกสนานที่ดังมาจากด้านนอก
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาก็เห็นอาหารเช้าวางเรียงรายกันอยู่บนโต๊ะ และหนึ่งในบรรดาอาหารเหล่านั้น ก็มีเป็ดที่ถูกหั่นเป็นชิ้นวางเรียงกันอย่างสวยงามอยู่บนจาน จางฉุ้ยเหลียนยังไม่ได้แตะมันแม้แต่คำเดียว เธอยังคงป้อนข้าวคังคังพร้อมกับกินสาลี่ไปด้วย
กู้จื้อเฉิงไม่อยากให้เธอกินผลไม้ตอนท้องว่าง จึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “หยุดกินสาลี่ได้แล้ว ทำไมต้องกินสาลี่เยอะขนาดนี้ด้วยล่ะ”
อาจจะเป็นเพราะสงครามเย็นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม หรืออาจจะเป็นเพราะประจำเดือน เธอถึงรู้สึกอารมณ์เสียมากขนาดนี้ เช้านี้เธอจึงเลือกที่จะกินสาลี่เพื่อระบายความหงุดหงิดในใจ ซึ่งกู้จื้อเฉิงก็มาเข้ามาแสดงความเป็นห่วงเธออย่างไม่น่าเชื่อ
เธอจึงพูดออกไปอย่างไม่ได้ระงับอารมณ์ว่า “กินสาลีแล้วมันไปหนักส่วนไหนของพี่ไม่ทราบ ” เมื่อพูดจบเธอก็โยนสาลี่ทิ้งและลุกเดินออกไป
กู้จื้อเฉิงตระหนักได้ว่าตัวเองได้พูดอะไรผิดไปอีกแล้ว จากนั้นเขาก็มองไปทางคังคังที่กำลังกินอาหารอย่างมีความสุขอยู่ เขาถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในห้องนอน เพื่อที่จะง้องอนจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังอารมณ์ขุ่นมัว “ฉันคงพูดอะไรผิดไปอีกแล้ว ปีใหม่ทั้งทีเธออย่าโกรธกันเลยนะ”
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นไปมองเขา ด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยคราบน้ำตา จากนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันสมควรต้องโกรธไหมล่ะ อะไร ๆ พี่ก็พึ่งแต่ฉัน เพราะอย่างนั้นพี่ก็เลยมีความสุขใช่ไหมล่ะ”
กู้จื้อเฉิงอยากจะถามเธอออกไปมากว่า ชาติที่แล้วเขาและเธอทะเลาะกันบ่อยไหม แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากถามอะไรออกไป จู่ ๆ เขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นั่นก็คือเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ถึงแม้ว่าในชาตินี้เธอจะสามารถเลือกที่จะไปแต่งงานกับใครก็ได้ แต่เธอก็ยังเต็มใจที่จะแต่งงานกับเขา และยอมที่จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากกับเขาตั้งแต่ชาติที่แล้วจนมาถึงชาตินี้
เขาไม่น่าทำให้เธอเสียใจเลยจริง ๆ และเมื่อเขานึกไปถึงสาเหตุที่ตัวเองโมโห เขาก็เข้าใจแล้วว่า มันเป็นเพราะเขาคิดถึงแต่ตัวเองมากเกินไป ต่อไปเขาจะมองให้กว้างขึ้น และจะไม่มองอะไรเพียงแค่ผิวเผินอีก ถ้าฟู่ซินไม่มีจางฉุ้ยเหลียน ตอนนี้เขาก็คงจะเป็นได้เป็นแต่คนงานอยู่ในโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยว และก็ไม่มีทางที่จะได้เป็นเถ้าแก่ใหญ่แบบนี้แน่นอน
เขาคิดว่าเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฟู่ซินเลย และบางทีภาระต่าง ๆ ภายในบ้าน ในอนาคตมันก็อาจจะตกมาอยู่ที่เขาก็ได้
ทันใดนั้นเองจู่ ๆ เขาก็คิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ และเขาก็คิดไปถึงตอนที่จางฉุ้ยเหลียนต้องเลี้ยงดูลูกด้วยความยากลำบาก แล้วผู้ชายอย่างเขามีสิทธิ์อะไรไปคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอล่ะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขาก็แค่ไม่อยากยอมรับว่า ตัวเองนั้นเข้มงวดกับภรรยามากเกินไปก็เท่านั้น
สองวันที่ผ่านนี้สภาพจิตใจของจางฉุ้ยเหลียนย่ำแย่มากจริง ๆ เธอรู้สึกว่าสองแม่ตระกูลชีเป็นตัวการที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนต้องมาทะเลาะและห่างเหินกันแบบนี้ แต่จริง ๆ ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาในชาตินี้ของพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้ลึกซึ้งกันเท่าไหร่นัก เมื่อคนเราตกทุกข์ได้ยากย่อมเห็นความจริงเป็นสิ่งที่ไม่จริงเสมอ พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ใช้ชีวิตด้วยกันมาอย่างราบรื่น เป็นสามีภรรยาที่เข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วก็ไม่ได้เป็นสามีภรรยาที่เพิ่งจะสร้างเนื้อสร้างตัวด้วย
กู้จื้อเฉิงเดินคอตกไปหยุดอยู่ข้างกายจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นก็พูดพึมพำออกไปโดยไม่ได้สนใจว่า สีหน้าของเธอในตอนนี้มันจะย่ำแย่มากแค่ไหน “เรื่องนี้มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันแค่อยากจะช่วยเหลือครอบครัวของผู้กำกับการชีก็เท่านั้น”
เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ และช่วงนี้เขาก็ได้ยินข่าวลือหนาหูมาไม่น้อยเลยเช่นกัน บวกกับเรื่องที่เขาได้ยินมาจากปากของชีเจียวเจียวก่อนหน้านั้นด้วยแล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะเชื่อมโยงกัน แต่เขาก็รู้ได้ในทันทีว่ามันคือความตั้งใจ
ประกอบกับมีเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมาช่วยเสริม ในที่สุดกู้จื้อเฉิงก็ตาสว่าง เขาได้แต่ครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ และในที่สุดเขาก็มองเห็นปัญหา เขาเงยหน้าขึ้นไปมองท่าทางของภรรยาอีกครั้งด้วยหัวใจที่เจ็บปวด เขาเคยให้คำสัตย์สาบานกับเธอว่า เขาจะไม่ทำให้เธอต้องลำบาก จะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีที่สุด และสงบสุขที่สุด แต่จนถึงตอนนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
“เธอพูดถูก การตอบแทนบุญคุณควรทำแต่พอดี” กู้จื้อเฉิงดึงมือของจางฉุ้ยเหลียนมากุมไว้ จากนั้นเขาก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฉันคิดเอาไว้แล้วว่า หลังจากนี้ต่อไปฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพี่เฉินอีก และตอนนี้ฉันก็จัดการดำเนินเรื่องเงินบำนาญให้กับสองแม่ลูกคู่นี้เรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปไม่ว่าจะยังไง ฉันก็จะไม่สนใจพวกหล่อนอีก อย่างมากถ้าเจียวเจียวขัดสนเรื่องเงินที่จะใช้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ฉันก็จะช่วยหล่อนแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น” คำพูดของกู้จื้อเฉิงไม่ได้ทำให้สภาพจิตใจของจางฉุ้ยเหลียนดีเลยแม้แต่น้อย
“จะว่าไปแล้ว พี่บอกว่าฉันใจแคบขี้เหนียวไม่ใช่หรือ พี่ไม่เคยรู้เลยว่าฉันโกรธพี่เรื่องอะไร” ใบหน้าของของจางฉุ้ยเหลียนเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที เธอสะบัดมือออกจากมือของกู้จื้อเฉิง จากนั้นก็ตะโกนออกไปเสียงดังว่า “ไป ไป ไป ออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยากจะฟังคำพูดแก้ตัวของพี่อีกแล้ว”
กู้จื้อเฉิงเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่ง เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยไม่รู้ว่า เขาจะแสดงความคิดของตัวเองออกไปยังไงดี เขาได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา และเดินคอตกออกมาจากห้อง จากนั้นเขาก็เดินไปอุ้มคังคังที่กินข้าวอิ่มแล้วขึ้นมา ก่อนเช็ดหน้าเช็ดตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเขา
เขาปล่อยตัวคังคังที่เปลี่ยนเสื้อผ้าจนสบายตัวแล้ว ไปให้ภรรยาของเขาที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงให้ห้อง ส่วนเขาก็เดินออกมาเก็บถ้วยและชามที่วางอยู่บนโต๊ะไปล้างทำความสะอาด เมื่อเขาเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนยังคงไม่แสดงท่าทีใด ๆ ออกมา ผู้บัญชาการกู้จึงต้องปฏิบัติภารกิจง้องอนภรรยาของตัวเองต่อไป
จากนั้นเขาก็เอาไก่ออกมาสับ ล้างผัก และหั่นผัก เพื่อเตรียมทำอาหารฉลองวันปีใหม่ แต่เขาไม่เคยทำอาหารแบบนี้มาก่อน เขาคิดเพียงแค่ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะยอมให้อภัยเขา จากการที่เขาทำอาหารให้เธอ
แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะอุ้มคังคังเดินมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอกินขนมพร้อมกับดูโทรทัศน์อย่างสบายอกสบายใจ อีกทั้งยังชวนคังคังที่กำลังส่งเสียงอ้อแอ้คุยกันอย่างสนุกสนานอีกด้วย มันช่างเป็นภาพที่แสนอบอุ่นจับใจมากจริง ๆ
กู้จื้อเฉิงกัดฟันจนเกิดเสียง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจะทำอาหารเพื่อเป็นการขอโทษให้กับภรรยาของตัวเอง เขาหยิบผ้ากันเปื้อนผืนน้อยของจางฉุ้ยเหลียนขึ้นมาใส่ จากนั้นก็ใส่ปอกแขนลายสก็อตสีขาวแดงที่เธอมักจะใส่เป็นประจำ และเดินเข้ามาทำอาหารในห้องครัวอย่างจริงจัง เขาเริ่มหั่นขิง สับกระเทียม และนำลงไปผัดกับไก่หั่นชิ้นในกระทะ ท่าทางในการทำอาหารของเขาก็น่าดึงดูดใจมากเลยทีเดียว
ในเวลา 13.00 น. ชีเจียวเจียวก็เดินเอาเกี๊ยวมาให้บ้านตระกูลกู้ ส่วนทางด้านของผู้บัญชาการกู้ ตอนนี้เขาก็อยู่ในห้องครัวได้ 3 ชั่วโมงกว่า ๆ แล้ว และในที่สุดก็ทำไก่ผัดขิงและผัก 5 สีได้สำเร็จ ส่วนปลาเขาก็ได้ล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว และในตอนนี้บนตัวของเขาก็มีคราบเลือดของมันเปรอะเปื้อนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เขากำลังหั่นเนื้อวัวชิ้นใหญ่ให้กลายเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นก็หั่นมะเขือเทศมาวางลงไปบนเนื้อดิบชิ้นนั้น
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู กู้จื้อเฉิงจึงได้ยกมือที่เปื้อนเลือดนั้นขึ้นมา และท่าทางของเขาก็เหมือนคนที่กำลังทำอาหารอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งภาพนั้นมันก็ทำให้ชีเจียวเจียวรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก นี่คือผู้ชายที่หล่อนเคยเห็นว่าเขาเป็นเหมือนเทพบุตรมาตลอดอย่างนั้นหรือ ผู้ชายที่หล่อนกำลังเห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้สวมผ้ากันเปื้อนที่มันทั้งสั้นทั้งตัวเล็ก พร้อมกับใส่ปอกแขนลายสก็อตสีขาวแดง ซึ่งมันก็ดูไม่เข้ากับร่างกายกำยำสูงใหญ่ของเขาเลยสักนิด
“เจียวเจียวเองหรือ เอาเกี๊ยวมาให้ใช่ไหม” เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นถ้วยที่อยู่ในมือของหล่อน ถึงแม้ว่าด้านบนจะถูกปิดฝาเอาไว้ แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นเกี๊ยวด้านในได้จากรอยแง้มของฝาด้านบนที่ยังปิดไม่สนิท
เจียวเจียวพยักหน้าเป็นการตอบรับ กู้จื้อเฉิงรับถ้วยเกี๊ยวนั้นมา และด้วยความที่เขากลัวว่าจางฉุ้ยเหลียนจะเห็นเจียวเจียว และเกิดความไม่พอใจขึ้นมาอีก เขาจึงรีบหันหลังเดินถือถ้วยเกี๊ยวเข้าไปในห้องครัวทันที โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะเชิญเจียวเจียวเข้าไปในบ้านเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็เดินถือถ้วยใส่เกี๊ยวที่เขาเอาเกี๊ยวออกไปแล้วของตระกูลชีมาที่ห้องรับแขก เขาหยิบลูกอมมาใส่ไว้ในถ้วยจนเต็มและเอามันไปให้หล่อน
“ขอบคุณนะ อาให้ลูกอมนี้เป็นการขอบคุณแล้วกัน พอดีตอนนี้อากำลังยุ่ง ๆ ไว้อาจะหาโอกาสไปเยี่ยมเธอที่บ้านนะ” การทำตัวห่างเหินเป็นครั้งแรกของกู้จื้อเฉิง ทำให้ชีเจียวเจียวปรับตัวไม่ทัน
หล่อนยืนมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาจากหน้าประตูห้องรับแขก ส่วนคังคังก็กำลังหลับปุ๋ยอยู่ข้างตัวของผู้เป็นแม่ อีกฝ่ายได้ยินเสียงของเจียวเจียว แต่กลับไม่ได้หันมากล่าวทักทายแต่อย่างใด และไม่มีทีท่าว่าจะเชิญเจียวเจียวเข้าไปนั่งในบ้านด้วย
วันนี้เป็นวันฉลองปีใหม่ เธอมีเงินมากมายขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่คิดที่จะให้เงินเด็ก ๆ เป็นขวัญถุงสักหน่อยเลยรึไง
ชีเจียวเจียวเดินกลับไปที่บ้านของตัวเองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เมื่อมาถึงบ้าน พี่เฉินที่กำลังนั่งแทะเมล็ดทานตะวันอยู่ในบ้านก็ถามขึ้นมาว่า “อาสะใภ้ให้เงินแกมาเท่าไหร่ ? ”
แต่ชีเจียวเจียวกลับโยนถ้วยที่อยู่ในมือลงไปบนโต๊ะอย่างแรง จากนั้นหล่อนก็ดันถ้วยใบนั้นเพื่อให้แม่ของหล่อนดู ก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า : “พวกเขาให้แค่ของไร้สาระพวกนี้มา”
เมื่อพี่เฉินเห็นลูกสาวไม่พอใจ หล่อนจึงพูดโน้มน้าวออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ เพราะเมื่อสองวันก่อนอากู้ก็ให้เงินแกมาตั้ง 100 หยวนแล้ว บางทีเจ้าตัวอาจจะคิดว่ามันมากพอแล้วก็ได้” เมื่อเห็นสีหน้าของลูกสาวยังคงแสดงออกว่าไม่พอใจ หล่อนก็พูดปลอบโยนต่อไปอีกว่า “เดี๋ยวแม่จะให้แกเพิ่มอีก 100 หยวนแล้วกัน แกพอใจรึยัง ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของชีเจียวเจียวก็อ่อนลง จากนั้นก็เดินอย่างไม่สบอารมณ์ไปนั่งข้างเตียง ก่อนจะพูดกับพี่เฉินว่า “หนูเพิ่งไปบ้านของคุณอากู้มา คุณอากู้กำลังทำอาหารฉลองวันปีใหม่อยู่ในครัว แถมยังใส่ชุดอะไรก็ไม่รู้ลายตาไปหมด บนตัวของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวของปลาน่าขยะแขยง พอหนูเห็นอย่างนั้น หนูก็ยังรู้สึกทนไม่ได้ เลย แต่อาสะใภ้กู้กลับนั่งดูโทรทัศน์อย่างสบายใจอยู่ในบ้าน แม่ลองคิดดูสิว่าเธอมีประโยชน์อะไรบ้าง”
เมื่อพี่เฉินได้ยินอย่างนั้น หล่อนก็อดที่จะรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นก็พูดกับลูกสาวออกไปว่า “นั่นน่ะสิ หล่อนคงจะคิดว่าตัวเองมีเงินก็เลยจะรังแกใครยังไงก็ได้ แกเห็นอากู้ของแกไหมล่ะ เขาเป็นผู้ชายที่แสนดีมากขนาดนั้น คงจะโดนรังแกบ่อยแน่ ๆ ไม่ยุติธรรมกับเขาเอาซะเลย”
ชีเจียวเจียวเบะปาก “วันนี้อากู้ไม่กล้าเชิญหนูเข้าไปนั่งในบ้านด้วย ส่วนอาสะใภ้กู้ก็ไม่ได้พูดทักทายหนูเลยแม้แต่คำเดียว ผู้ชายอย่างอากู้คงจะไม่พ้นถูกรังแกอย่างแน่นอน ถึงได้รีบร้อนหยิบลูกอมพวกนี้มาให้หนู และไล่ให้หนูรีบกลับบ้าน”
พี่เฉินกัดฟันกรอด “คนมีเงินแบบพวกเขา แม่ล่ะเกลียดที่สุด คิดว่าตัวเองมีเงินก็เลยไม่เห็นหัวคนจน” หลังจากที่พูดจบหล่อนก็บ่นต่อไปอีกว่า “แกก็เห็นแก่หน้าแม่หน่อยแล้วกัน สอบให้คะแนนออกมาดี ๆ หน่อย ก่อนหน้านี้อาสะใภ้กู้คงจะกลัวว่าอากู้ของแกจะขนเอาของที่อยู่ในบ้านมาให้เราหมด ก็เลยกระตุ้นให้อากู้ไปช่วยหางานให้แม่ เหอะ! เขาดันหางานทำความสะอาดเดือนละไม่กี่หยวน ให้แม่ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่”
เมื่อชีเจียวเจียวได้ยินแบบนั้น หล่อนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที “ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้เพื่อน ๆ ในห้องกับครูก็เอาแต่ถามหนูอยู่นั่นแหละว่าแม่ทำงานอะไร หนูอายที่จะบอก ใครจะไปกล้าบอกล่ะว่า แม่ของตัวเองเป็นพนักงานทำความสะอาดข้างถนนล่ะ”
พี่เฉินเค้นเสียง “เหอะ” ออกมา จากนั้นก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ทำไมแกจะต้องอายด้วย ตอนที่แม่ไปเล่นไพ่ยังน่าอายกว่าอีก แถมพวกหล่อนยังทำให้แม่กลายเป็นคนเก็บของเก่าด้วย อะไรที่เป็นของเก่าของชำรุดก็เอามาให้แม่หมด แต่แม่ก็ทำได้แค่แสร้งทำเป็นซาบซึ้งในน้ำใจ จำใจรับมาเท่านั้นแหละ เหอะ ! ” หล่อนบ่นอย่างไม่พอใจพลางชี้ไปทางถุงสีเหลืองที่บรรจุขยะและของเก่าเหล่านั้น “แกไปดูสิ ของพวกนั้นเป็นของที่ใกล้จะหมดอายุแล้วทั้งนั้น ”
MANGA DISCUSSION