ตอนที่ 212 เริ่มต้นตอบโต้
หลังจากจบมื้ออาหาร ทั้งสองคนต่างก็พากันแยกย้ายกันออกไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น และเริ่มทำสงครามเย็นต่อกัน ไม่มีใครยอมพูดกับใครก่อน
กู้จื้อเฉิงโมโหตัวเองที่ไม่สามารถหารายได้เทียบเท่ากับภรรยาของตนเองได้ และกลายเป็นผู้ชายที่ต้องพึ่งพาภรรยา นอกเหนือจากนี้เขาก็ยังรู้สึกหดหู่ใจที่จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจตัวเขาเลย ถึงอย่างไรเธอก็ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา และเธอก็มีความสุขมากกว่าพี่เฉิน
จางฉุ้ยเหลียนเกลียดกู้จื้อเฉิงที่ทำตัวเหมือนไอ้โง่ไร้เดียงสาคนหนึ่ง คอยช่วยคนอื่นโดยที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง และเธอก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ที่เขาไม่เคยเข้าใจอะไรตัวเธอเลย ทั้ง ๆ ที่พวกเขาทั้งสองคนก็แต่งงานอยู่กันมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่เขาก็ยังคิดว่าที่เธอโกรธเป็นเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาเอาของนั่นไปให้คนอื่นอย่างนั้นหรือ
และตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านมาจนใกล้จะถึงวันปีใหม่ ทั้งสองคนก็ยังไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้แก่กัน กู้จื้อเฉิงมักจะไประบายความโกรธของตัวเองที่ทำงานอยู่เสมอ เหล่าบรรดาลูกน้องต่างก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจกู้จื้อเฉิงเท่าไหร่นัก เขาเอาแต่ฝึกทหารอย่างหนักจนแทบจะกระอักเลือดตายทุกวัน จนมีผู้กำกับการหลายคนคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่า เขาอาจจะทะเลาะกับภรรยาที่บ้านและมาระบายอารมณ์โกรธที่นี่
พวกเขาก็เลยถือโอกาสในช่วงปิดงบประมาณปลายปีไปมาหาจางฉุ้ยเหลียนที่บ้าน และมันก็เป็นอย่างพวกเขาที่คาดการณ์เอาไว้จริง ๆ พวกเขาเห็นจางฉุ้ยเหลียนนั่งเศร้าสร้อยและไม่มีชีวิตชีวา จางฉุ้ยเหลียนไม่ใช่คนโง่ เธออารมณ์เสียแค่ในบ้านเท่านั้น แต่เธอก็ยังกินได้ดื่มได้ปกติ แค่ไม่ได้สนใจกู้จื้อเฉิงก็เท่านั้น
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ในกรมทหารก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า จางฉุ้ยเหลียนไม่พอใจกู้จื้อเฉิงและหึงหวงที่เขาแสดงออกกับลูกสาวของผู้กำกับการชีอย่างเกินหน้าเกินตา บางคนก็บอกว่าเห็นกู้จื้อเฉิงหอบเอาสิ่งของมากมายไปมอบให้กับสองแม่ลูกคู่นั้นถึงบ้าน หลังจากที่เขากลับมาที่บ้าน เขาก็ทะเลาะกับภรรยา จนถึงกับมีคนไปรื้อฟื้นปัญหาเก่า ๆ คนพวกนั้นบอกว่า เพราะจางฉุ้ยเหลียนหึงหวง ใจแคบถึงขนาดกล่าวโทษชีเจียวเจียวเลยทีเดียว
ข่าวลือนั้นแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างพากันนินทาว่าร้ายจางฉุ้ยเหลียนกันอย่างสนุกปาก ในที่สุดอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ในใจก็ได้ระเบิดออกมาราวกับระเบิดปรมาณู จนเธอถึงกับอยากจะทุ่มระเบิดใส่คนที่แพร่ข่าวลือบ้า ๆ นี่ออกไป
ในเวลานี้พี่เฉินกลับวิ่งออกมา พร้อมกับพยายามที่จะอธิบายกับคนอื่น ๆ ว่า จางฉุ้ยหลียนเป็นคนดีมาก แถมตอนนี้หล่อนก็ยังใส่เสื้อผ้าที่จางฉุ้ยเหลียนเคยให้ไว้อีกด้วย หลังจากที่หยิบยกเรื่องของผู้กำกับการชีขึ้นมาพูดแล้ว สองแม่ลูกก็ได้รับการช่วยเหลือจากจางฉุ้ยเหลียนไม่น้อย
ทุกคนต่างก็รู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นทำธุรกิจค้าขายเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ในเมืองสุ่ยหยวน ปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน หรือเสื้อผ้าที่สวมใส่ของเธอมันก็ย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว และนั่นมันก็แสดงว่าเธอมีเงินเก็บอยู่ในมือไม่น้อยเลย แล้วอีกอย่างเสื้อผ้าที่เธอให้กับพี่เฉินไปก็เป็นเสื้อผ้าที่เธอเคยใส่แล้วทั้งนั้น ยิ่งพี่เฉินพูดแบบนี้ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นตระหนี่ถี่เหนียว ใจแคบ และชอบสร้างภาพมากขนาดไหน
ซูหยาซิ่วทนฟังไม่ได้อีกต่อไป ถ้าจับตัวคนที่ปากไม่มีหูรูดได้ล่ะก็ หล่อนก็คงจะด่าไม่ยั้งเลยทีเดียว แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือ เพราะตอนนี้มันก็ได้แพร่สะพัดขยายออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว
ป้าหยูก็ทนดูไม่ได้เช่นกัน หล่อนออกไปลากตัวฟ่านจินเซิ่ง ซูหยาซิ่ว รวมทั้งหลี่หยูหวาตรงไปไกล่เกลี่ยกับจางฉุ้ยเหลียนถึงที่บ้าน แน่นอนว่าพวกหล่อนไม่สามารถพูดเรื่องข่าวลือที่กระจายอยู่ข้างนอกได้ ได้แต่พูดให้พวกเขาสองสามีภรรยาร่วมฉลองวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้อย่างมีความสุข เพื่อจะได้มั่งมีไปตลอดทั้งปี อีกทั้งพวกหล่อนยังบอกอีกว่า สิ่งของเธอก็ให้สองแม่ลูกคู่นั้นไปแล้ว แล้วทำไมจางฉุ้ยเหลียนยังต้องมานั่งกลัดกลุ้มใจกับเรื่องนี้อยู่อีก
จางฉุ้ยเหลียนระงับอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป : “ทำไมฉันถึงยังกลัดกลุ้มอยู่อย่างนั้นหรือ พวกเธอไม่รู้หรือว่าคนข้างนอกพูดถึงฉันว่ายังไงกันบ้าง คนพวกนั้นหาว่าฉันเอาเสื้อผ้าที่ชำรุดและไม่ใส่แล้วเอาไปให้หล่อน แต่เสื้อผ้าพวกนั้นที่ฉันให้หล่อนไป ก็เพราะว่าฉันอ้วนขึ้นเลยใส่ไม่ได้ แล้วอีกอย่าง หล่อนยังกล้าพูดอีกว่าเสื้อผ้าพวกนั้นไม่มีคุณภาพ แต่พอหล่อนอยู่ต่อหน้าฉัน หล่อนกลับมองฉันด้วยสายตาน่าสงสาร แล้วอย่างนี้ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไร แล้วอีกอย่าง ถึงฉันจะมีเงินแต่ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อเสื้อผ้าไปประเคนให้พวกหล่อนนี่ แม้แต่เสื้อผ้าที่คนอื่นใส่แล้ว พวกหล่อนก็ไม่อยากได้อย่างนั้นหรือ”
จางฉุ้ยเหลียนชำเลืองตาไปมองที่หลี่หยูหวา ก่อนจะคิดใคร่ครวญถึงแผนการของตัวเองในใจ จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “แถมคนพวกนั้นยังหาว่าฉันไปต่อว่าชีเจียวเจียวอีก ฉันจะไปต่อว่าหล่อนได้ยังไง แต่ทำไมหล่อนไม่เคยบอกว่าฉันดีกับหล่อนบ้างล่ะ หล่อนแอบกินขนมช็อกโกแลตของฉัน แอบหยิบนิยายของฉันไปโดยที่ไม่ขออนุญาต แล้วทำไมหล่อนถึงไปบอกกับคนอื่นว่าฉันทารุณหล่อน เดิมทีที่ฉันพยายามอดทนอดกลั้นก็เป็นเพราะฉันเห็นแก่พี่เฉิน ที่หล่อนต้องตรากตรำทำงานกวาดหิมะอย่างยากลำบาก และถ้าผ่านพ้นช่วงปีใหม่นี้ไป ฉันก็จะเปิดรับสมัครผู้จัดการร้าน และฉันก็จะให้พี่เฉินไปบริหารจัดการร้านของฉัน ค่ารถไปทำงาน รวมทั้งค่าอาหารกลางวัน ฉันก็จะเป็นคนออกให้ทุกอย่าง ฉันจะให้เงินเดือนหล่อนเดือนละ 200 หยวน ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรออกไป ข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับฉันก็แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว เพราะฉะนั้นการที่ฉันคิดจะพาหล่อนเข้ามาอยู่ด้วยกัน นั่นก็ทำให้เห็นว่า ฉันกินปูนร้อนท้องเกินไป”
ดวงตาของหลี่หยูหวาวูบไหวเล็กน้อย จากนั้นก็พูดซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เธออยากรับสมัครผู้จัดการร้านอย่างนั้นหรือ เธอให้เงินเดือนสูงมากเลยนะ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่าไหร่นักว่า “ธุรกิจของฉันกำลังไปได้ดี และตอนนี้ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของฉันในสุ่ยหยวนก็มั่นคง ฉันไม่อยากเสียค่าเดินทางทั้งสองที่ ก็เลยอยากให้คนของเรามาทำงานด้วยกัน ทุกอย่างมันกำลังจะไปได้ดี แต่แล้วมันก็มีข่าวลือนี้แพร่ออกมา ฉันไม่รู้หรอกนะว่าใครจะใจดำได้ขนาดนั้น ฉันคิดว่าหลังจากนี้ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วล่ะ ยิ่งทำก็ยิ่งผิดพลาด เพราะอย่างนั้นฉันสมควรที่จะต้องมานั่งกลัดกลุ้มใจแบบนี้ไหมล่ะ”
หลี่หยูหวาไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากที่เหล่าบรรดาหญิงสาวที่มาหาจางฉุ้ยเหลียนที่บ้านแยกย้ายกลับไปที่บ้านของตัวเองได้ไม่นาน หลี่หยูหวาก็ย้อนกลับมาที่บ้านของเธอ หล่อนอ้างว่าลืมคืนหนังสือ แต่ในความเป็นจริง หล่อนตั้งใจที่จะมาสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งผู้จัดการร้าน ที่หล่อนไม่กล้าถามก่อนหน้านี้ต่างหากล่ะ จางฉุ้ยเหลียนยิ้มหวานออกมาในทันที “อา ในความคิดของฉัน ฉันต้องการคนที่ไว้ใจได้มากกว่าคนอื่นน่ะ”
หลี่หยูหวามองไปทางจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นหล่อนก็พูดออกมาว่า “งานในโรงอาหารทั้งเหนื่อยและได้เงินน้อย เธอคิดว่าฉันพอจะทำงานเป็นผู้จัดการร้านให้เธอได้ไหม”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางหลี่หยู่หวาด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ เพียงแต่เธอต้องพูดมากขึ้น ตาต้องไว และหูต้องฟังอยู่ตลอด เพราะไม่อย่างนั้นคงได้มีปัญหาในเรื่องบัญชีแน่ ๆ สินค้านำเข้า สินค้าส่งออก คิดเงินเท่าไหร่ แต่เธอไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันสอนเธอได้”
ดวงตาของหลี่หยู่หวาลุกวาวขึ้นมาทันที “จริง ๆ นะ งั้นก็แสดงว่าเธอรับฉันเข้าทำงานแล้วใช่ไหม”
จางฉุ้ยเหลียนเม้มปากเป็นเส้นตรง จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ตอนนี้ฉันยังไม่กล้ารับปากหรอกนะ เพราะมันก็เป็นแค่แผนการในอนาคตของฉัน ฉันจะต้องดูแนวโน้มของผู้บริโภคในตลาดก่อนว่าเป็นยังไง ถ้าขายได้ดีฉันก็อยากจะเปิดสาขาใหม่ และจำเป็นจะต้องมีคนมาดูแลร้านนี้แทนฉัน”
“สาขา ? ” หลี่หยูหวาไม่เข้าใจ จางฉุ้ยเหลียนยกยิ้มและพูดว่า “เมืองสุ่ยหยวนมีเนื้อที่ใหญ่มาก ถ้าเปิดร้านเพิ่มอีก 1 ร้าน ในทางทิศเหนือของเมือง แบบนี้หลังจากที่ผู้คนลงมาจากรถโดยสารประจำทางที่สถานีขนส่ง ชาวต่างชาติหรือแม้แต่กลุ่มคนที่มาจากเมืองอื่น พวกเขาก็จะเห็นร้านนี้ได้ง่าย ๆ จะขายได้หรือไม่ได้แต่มันก็สร้างรายได้ให้กับเราถึง 80,000 หยวนเลยทีเดียว”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ฟังดูยิ่งใหญ่ของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว หลี่หยูหวาก็รู้สึกขมขื่นไม่น้อย ลูก ๆ ทั้งสองคนของหล่อนก็สร้างเรื่องทำให้ผู้เป็นแม่อย่างหล่อนต้องเสียหน้า ทุกวันนี้จึงได้แต่ล้างผักหั่นผักไม่กล้าใช้จ่ายเงินมั่ว ๆ เลยแม้แต่น้อย หลายปีมานี้หล่อนแทบไม่มีเงินเก็บเลย ซึ่งนั่นมันจะไปเทียบกับธุรกิจใหญ่โตของจางฉุ้ยเหลียนได้ยังไง
ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ทำไมสามีของเธอยังทำงานหาเงินอยู่ล่ะ พวกเขาก็มีเงินมากมายขนาดนี้ แล้วเขายังจะเป็นทหารเงินเดือนต่ำ ๆ แบบนี้อยู่อีกทำไม เปลี่ยนอาชีพมาทำงานหาเงินให้เยอะยิ่งขึ้น ไม่ดีกว่าหรือ
ตลอดเวลาที่พูดคุยกันอยู่นั้น หลี่หยูหวาก็ไม่ได้ระงับอารมณ์แต่อย่างใด หล่อนยังคงแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน จางฉุ้ยเหลียนที่ระมัดระวังตัวและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ก่อนหน้านี้เธอก็แค่คาดเดาเอาเองเท่านั้น แต่วันนี้เธอก็ได้ลองหยั่งเชิงหล่อนออกไปจนเกือบจะจับได้อยู่แล้วเชียว
“ตระกูลกู้ของเราก็อาศัยอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานหลายปีแล้ว และมันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ครอบครัวอื่นเทียบกับครอบครัวของเธอไม่ได้หรอก เพราะฉันรู้สึกสนิทกับครอบครัวของเธอที่สุด” จางฉุ้ยเหลียนพูดกับหลี่หยูหวาออกไปด้วยเสียงเบา ๆ
“หมายความว่ายังไง?” หลี่หยูผงะไปเล็กน้อย จางฉุ้ยเหลียนเม้มปากอมยิ้ม : “ฉันได้ยินมาว่ากรมทหาร y จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง เพราะอย่างนั้นเบื้องบนจึงได้ทำการคัดเลือกคนที่จะได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งแทน เธอเองก็รู้ว่าที่นั่นมันลำบากมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนที่ทนไม่ได้และต้องออกไป”
หลี่หยูหวาไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้ยังไง นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเลือกคนจากกรมทหารของเรา”
จางฉุ้ยเหลียนแสยะยิ้มมุมปาก พร้อมกับแสดงสีหน้าบ่งบอกว่าฉันไม่รู้เรื่อง “ผู้นำกองทัพได้ย้ายจากที่นี่ไปประจำการอยู่ที่นั่น แน่นอนว่ากองกำลังใหม่ เขาก็อยากจะใช้คนของตัวเองอยู่แล้ว เธอบอกว่าเหล่ากู้ดีและยังเป็นคนที่กล้าหาญมากอีกด้วย แต่เขาก็ไม่ใช่ทหารที่อยู่ใต้บัญชาของผู้นำคนนั้น ผู้นำคนนั้นต้องการคนที่คล่องงาน คล่องมือ แล้วอีกอย่าง รายชื่อของคนที่เขาอยากได้ ก็ไม่มีชื่อของนายที่ทหารที่ได้รับคัดเลือกก่อนหน้านี้ด้วย ฉันว่านี่มันเป็นปัญหานะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลี่หยูหวาจึงได้ก่อเกิดอารมณ์ที่ดูเหมือนจะฮึกเหิมขึ้นมาในใจ ถ้ากู้จื้อเฉิงไม่ได้รับเลือก หล่อนก็พอจะเข้าใจได้ แต่ทำไมสามีของหล่อนไม่ได้รับเลือกล่ะ ถึงแม้ว่าสามีของหล่อนจะได้เลื่อนขั้น แต่ก็เทียบกับการที่เขาได้ย้ายไปประจำการที่กรมทหารใหญ่ ๆ อย่างกรมทหาร y ไม่ได้หรอก
“เธอคิดว่าเวลาฉันออกไปข้างนอก ฉันจะไม่สนใจอะไรเลยอย่างนั้นหรือ” จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ “จะพูดยังไงดีล่ะ เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายคนหนึ่งมันก็ต้องมีผู้หญิงที่ดูยิ่งใหญ่คอยสนับสนุนเขา” จางฉุ้ยเหลียนชี้ไปทางโต๊ะอาหาร “ฉันสอบถามคนอื่นมาแล้ว ผู้บังคับการซุนค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ตอนนี้เขาก็กำลังนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ฉันเตรียมของบำรุงที่จะนำไปเยี่ยมเขาอยู่พอดี โสมที่ฉันซื้อมาล้วนแล้วแต่เป็นของดีทั้งนั้น ต่อแต่นี้ไปตระกูลกู้ของเราก็ยังพอจะขยับไปไหนได้บ้าง เหอะ ! ดูสิว่าครั้งนี้เขาจะยังโกรธฉันอยู่อีกไหม”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ หลี่หยูหวาจึงเข้าใจได้ในทันที เพราะตอนนี้เธอและสามีกำลังโกรธกันอยู่ จางฉุ้ยเหลียนจึงคิดจะเอาใจสามีของตัวเอง โดยการลุกขึ้นมาจับจ่ายใช้เงินอย่างไม่เสียดาย เพียงแต่ไม่รู้เลยว่าเงินเหล่านี้มันจะมีประโยชน์มากพอไหม นี่คือการติดสินบนอย่างหนึ่ง จะมากหรือจะน้อยก็เท่านั้น
“เธอไม่เชื่อหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา จากนั้นก็ส่งยิ้มให้กับหลี่หวาหยู “ไอ้หยา คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร แล้วอีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้จะเอาเงินไปให้เขานี่ ก็แค่ไปเยี่ยมคนป่วยก็เท่านั้น เธอคิดดูสิว่าโสมพวกนี้มันก็ช่วยปรับสมดุลภายในร่างกายได้ ถ้าเธอเอามันไปขาย เธอก็จะได้เงินเหมือนกัน ”
“แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เธอจะพูดได้อย่างถูกต้อง และดูน่าเชื่อถือรึเปล่า อย่าเอาเงินไปละลายในแม่น้ำเลยนะ” หลี่หยูหวาแสดงออกถึงความเป็นห่วงขึ้นมาทันที ท่าทางระแวดระวัง
“เธอคิดว่าฉันโง่รึไง ฉันรู้อยู่แล้วล่ะน่า ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะว่า ฉันรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านขนาดเล็กในเมืองสุ่ยหยวน แค่ออกไปถามก็ได้คำตอบมาแล้ว และบ้านหลังนั้นก็เป็นบ้านเก่าของพวกเขา” จางฉุ้ยเหลียนยิ้มจนตาหยีอย่างไม่เกรงกลัว ส่วนทางด้านของหลี่หยู่หวา หล่อนก็พยายามจดจำข้อมูลเอาไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ
“แล้วเธอจะไปเมื่อไหร่ล่ะ?” จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิด จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมา ก่อนจะพูดว่า “หลังจากวันฉลองปีใหม่ เพราะฉันไม่อยากจะเป็นที่สะดุดตา ไว้หลังจากที่ฉลองปีใหม่เสร็จแล้วค่อยไป หึ หึ ! ”
พอหลี่หยูหวากลับมาถึงบ้าน หล่อนก็เอ่ยปากถามถึงเรื่องกรมทหาร y กับสวี๋ต้าหยง ขึ้นมาลอย ๆ สวี๋ต้าหยงกลับตื่นตกใจขึ้นมาทันที “พวกผู้หญิงนี่มีความสามารถกันมากจริง ๆ เพราะฉันก็ได้ยินข่าวลือนี้มาเหมือนกัน”
และนี่ก็เป็นการยืนยันข่าวลือเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าข่าวลือนี้มีมูลความจริง หลี่หยูหวาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที ไม่กี่วันหลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ได้ยินเถ้าแก่จากร้านค้านอกกรมทหารเล่าให้ฟังว่า มีคนมาถามหาโสมในเมืองสุ่ยหยวน เถ้าแก่หวังคนนั้นจึงบอกกับจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “ฉันจำได้ว่าเธอเคยบอกฉันว่า เธอมีเพื่อนที่ปลูกโสมอยู่ ฉันก็เลยอยากจะบอกให้คนที่มาถามซื้อโสม ไปซื้อโสมจากเธอ แต่ฉันก็รู้ว่าเธอคงจะไม่ยอมขายหรอกเธอ เรื่องนี้ฉันรู้ดี”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าใครเป็นคนมาถาม เธอได้แต่ยิ้มและพูดออกไปว่า “ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย คุณอย่าพลั้งปากพูดออกไปล่ะ พอถึงตอนนั้นหล่อนวิ่งมาหาฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะช่วยหล่อนได้หรือเปล่า ถ้าฉันขายของแพง หล่อนก็จะคิดว่าฉันอยากจะหารายได้จากมัน แต่ถ้าฉันขายถูกไป ฉันก็จะไม่ได้อะไรเลย”
เถ้าแก่เจ้าของร้านเข้าใจความสัมพันธ์ของคนแบบนี้ดี ยิ้มนิดยิ้มหน่อยก็เปิดโปงออกมาจนหมดเปลือกแล้ว
จะว่าไปแล้ว ในตอนที่จางฉุ้ยเหยียนกำลังโกรธอยู่นั้น เธอก็ได้หลุดปากบอกเรื่องที่เธอจะเปิดรับสมัครผู้จัดการร้านออกไป ข่าวลือนี้ก็ได้แพร่สะพัดออกไปทั่ว ไม่นานก็รู้ไปถึงหูของพี่เฉิน
200 หยวนต่อ 1 เดือน สวัสดิการออกค่ารถไปกลับและอาหาร 1 มื้อ แค่เงินเดือนก็น่าตกใจมากแล้ว แถมยังได้นั่งอยู่ในห้องแอร์ไม่ต้องไปตรากตรำลำบากตากแดดอยู่ข้างนอกอีก
พี่เฉินนั่งไม่ติดอีกต่อไป หล่อนจึงรีบไปหาจางฉุ้ยเหลียนด้วยความรีบร้อนในทันที………….
MANGA DISCUSSION